เศษข้าวโพด
ฉันคิดอยู่นานว่าควรจะเขียนเรื่องนี้ดีไหม และถ้าเขียนควรจะเขียนยังไงดี มันยากเหมือนกันนะ เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวพอสมควร ความจริงมันก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ก็สร้างความหงุดหงิดรำคาญใจให้ฉันพอดู มันก็คงเป็นเหมือนเศษข้าวโพดที่ติดอยู่ที่ซอกฟันอ่ะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่มันรำคาญ เราวางเฉยกับมันได้ซักพักหนึ่ง แต่เดี๋ยวๆ ก็ต้องคอยเอาลิ้นไปดุนๆ จนกว่ามันจะหลุดออกนั่นแหละ ถึงได้หายรำคาญใจ

เรื่องของเรื่องมันมีอยู่ว่า มีคนเขามาบอกว่าเขาชอบฉันอ่ะ ฟังทีแรกแหม... มันก็ช่วย boost อีโก้ฉันขึ้นมาประมาณ ๒ ขีด แต่ที่มันเป็นปัญหาคือว่า เขาไม่ได้บอกว่าเขาเป็นใคร เขาได้แต่บอกฉันว่าเขาเป็นเพื่อนฉัน แล้วฉันก็รู้จักเขา ซึ่งมันทำให้ฉันใบ้แดก อืมม์ ไม่ใช่สิ ใบ้รับประทานไปเลย เพราะถ้าเขาเป็นเพื่อนฉันจริงๆ “เขาคงต้องบ้าไปแล้วที่มาบอกว่าเขาชอบฉัน” (สำหรับคนที่ผ่านมาอ่านโดยไม่รู้จักฉัน ถ้าได้มาเจอฉันตัวเป็นๆ ก็จะรู้เองว่าทำไมฉันถึงพูดแบบนี้ ส่วนคนที่รู้จักฉันเขาพูดประโยคเดียวกับฉันไปเรียบร้อยแล้ว)

ในความคิดฉันความสัมพันธ์มันเป็นเรื่องของสองฝ่าย ฉันเคยบ่นๆ กับเพื่อนฉันว่า สังคมนี้มันไม่ค่อยยุติธรรม ที่ผู้ชายได้สิทธิเป็นฝ่ายเลือกหาคู่ครอง แต่ถ้าผู้หญิงอยากจะเป็นฝ่ายเลือกบ้างเป็นฝ่ายเข้าไปจีบผู้ชายก่อน ก็จะดูไม่ค่อยงาม เพื่อนฉันกลับบอกว่า ไม่ใช่อย่างนั้นเสียร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะถึงผู้ชายจะเป็นฝ่ายเลือกเข้าไปจีบผู้หญิง แต่ความจริงคือเป็นการเสนอตัวเข้าไปถูกเลือก ท้ายที่สุดผู้หญิงก็เป็นผู้เลือก คือเลือกว่าเธอสนใจจะเป็นแฟนของผู้ชายคนนี้ไหม ก็เลยเป็นประมาณว่าเป็นฝ่ายเลือกกันทั้งคู่แหละ ผู้ชายได้เลือกก่อน (เป็น Active Selector) ส่วนผู้หญิงได้เลือกทีหลัง (เป็น Passive Selector)

แล้วทีนี้มันเกี่ยวอะไรกับที่ฉันมาบ่นนี่นะเหรอ ก็คือว่าอย่างที่ผู้ชายคนนี้เขามาบอกว่า “ชอบฉัน” หนะ ฉันฟังแล้วก็รู้สึกขอบคุณอะนะ แบบว่ามีคนมาชอบก็ดีกว่ามีคนมาเกลียด แต่ฉันก็มีสิทธิที่ชอบหรือไม่ชอบเขาตอบใช่ไหม ฉันก็แสดงเจตนารมณ์ไปว่า ฉันไม่สนใจ คิดดูเขาเป็นใครก็ไม่รู้ ถึงจะมีคนใกล้ชิดมาคอยเป่าหู (กึ่งกดดัน) ให้ฉันคิดว่า ผู้หญิงที่อยู่เป็นโสดเหมือนเป็นความพิการผิดปกติในสังคม แต่ฉันจิตใจหนักแน่นอ่ะ คิดว่าไม่ได้เป็นปัญหาอะไร เพราะงั้นการมีคนมาชอบฉัน มันก็ไม่ได้มีผลอะไรมากไปกว่าความรู้สึกดีใจเล็กน้อย (ว่า เออ... เนอะ อย่างน้อยเราก็ไม่ได้ห่วยขนาดไม่มีคนมาสนใจ อย่างน้อยที่ฉันโสดฉันก็ single by choice นะ ประมาณนั้น)

พอฉันก็แสดงเจตนารมณ์ว่าไม่สนใจ เรื่องมันก็ควรจะจบใช่ไหม แต่มันไม่จบอ่ะ เพราะว่างๆ เขาก็ส่งอีเมล์มาหาฉัน เขียนโน่นเขียนนี่ที่ฉันไม่สนใจจะอยากรู้ แสดงความเป็นห่วงเป็นใยที่ฉันไม่ได้ต้องการ ฉันสงสัยมากว่าที่เขาเพียรเข้ามาวนเวียนในชีวิตฉันนี่เขาจะเอายังไงกับฉัน (จะให้เป็นเพื่อนกันเหรอ ฉันว่าไม่ใช่อ่ะ แล้วฉันก็ไม่ใช่เพื่อนที่ดีนักหรอก) ฉันมาคิดๆ ดู เขาบอกว่าเขาชอบฉัน ฉันว่าไม่ใช่อ่ะ เขาแค่ “คิดว่า” เขาชอบ “ฉัน” ตะหาก ในความจริงเขาชอบ “คนที่เขาคิดว่าเป็นฉัน” เพราะเขาไม่รู้จักตัวฉันจริงๆ ไง ใช่... เขาอาจจะรู้ว่าฉันเป็นใคร หน้าตาเป็นยังไง ทำอะไรคิดอะไร (จากที่ฉันมาพล่ามไว้ในไดอารี่นี่) แต่มันก็เป็นแค่บางส่วนที่น้อยมากๆ แล้วที่เหลือเขาก็คิดแต่งเติมเอาเองว่าฉันน่าจะเป็นแบบนั้นแบบนี้

ถ้าเขาจะแค่ “คิด” ฉันก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่เขาเอาความคิดของเขามาก้าวก่ายชีวิตฉัน เขาส่งอีเมล์มาหาฉันที่ทำงาน (ฉันซวยเองปล่อยที่ทำให้ข้อมูลนี้ available สำหรับคนทั่วไป) เขามาแสดงคิดเห็นว่าฉันน่าจะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ (เช่น เขาเคยบอกว่า ไม่อยากให้ฉันพูดวะพูดโว้ย ไม่สุภาพ ไม่เหมือนฉันที่เขาเคยเห็น อืมม์ เพราะเคยเห็นฉันแค่เสี้ยวเดียวไง) เขาเป็นอะไรกับฉันเหรอ(วะ) มีสิทธิอะไรเหรอถึงมาบอกว่าอยากจะให้ฉันเป็นยังไง เขาอาจจะบอกว่า เขาหวังดีกับฉัน แต่จริงๆ แล้วคือเขาหวัง “สิ่งที่เขาเห็นว่าดี” ฉันจะเป็นยังไงมันไม่หนักอวัยวะอะไรของใคร(โว้ย) ใครจะเกลียดฉันเพราะฉันเป็นคนไม่ดีไม่น่าคบ มันก็ไม่ลำบากใครนอกจากตัวฉันเอง

ฉันว่าเขาเห็นแก่ตัว เพราะเขาเอาอารมณ์ของเขามาดัมพ์ใส่ฉันโดยไม่สนว่ามันจะเป็นยังไงกับฉัน จะทำให้ฉันอึดอัดลำบากใจหรือเปล่า ฉันมีภาระหน้าที่ผูกพันอะไรหรือที่จะต้องไปแคร์หรือรับรู้ว่าเขารู้สึกยังไง ฉันว่าเขารักตัวเองมากกว่าที่เขาชอบฉัน เพราะถ้าเขาชอบฉันมากกว่า ฉันบอกว่าฉันไม่สนใจ เขาควรจะต้องปล่อยฉันไว้ตามลำพัง ไม่มายุ่งวุ่นวายกับฉัน ให้ฉันต้องรำคาญใจ

อีกอันที่ทำให้ฉันเสียอารมณ์ คือ ฉันว่าเขาไม่เป็นลูกผู้ชาย เขาทำเหมือนกับกล้าหาญนะ ที่มาบอกฉันตรงๆ ว่าเขาชอบฉัน แต่ความจริงแล้วเขาขี้ขลาดมากๆ เพราะเขาไม่ยอมบอกว่าเขาเป็นใคร คิดดูเขามาเขียนในเกสต์บุ๊กฉัน เขาส่งอีเมล์มาหาฉัน ให้ตายเหอะ... ในโลกของอินเตอร์เน็ตเนี่ย เวลาที่คนบอกชื่อกัน เราไม่มีทางรู้หรอกจริงๆ แล้วเขาเป็นคนนั้นจริงหรือเปล่า จะเป็นนายเป็ดนายไก่หรือพี่ติ๊กเจษฎาภรณ์หรือพี่วิลลี่ เราก็ไม่มีทางรู้ แล้วคนคนนี้เขาไม่บอกชื่อเขาด้วยซ้ำ ใช้ชื่อบ้าบออะไรที่ไม่มีใครอ่านออกสักคน และบอกเป็นนัยๆ ว่าฉันรู้จักเขา แต่ฉันจะไปกล้าเดาว่าเป็นใครได้ล่ะ ก็ฉันอ่านที่หลวงเมืองเขียนไว้ว่า “ไม่มีผู้หญิงคนไหนในโลกที่จะทึกทักว่าผู้ชายรักเขาจนกว่าจะได้ยินจากปาก” จะให้ฉันจะไปทึกทักใครล่ะ

ที่ไม่เป็นลูกผู้ชายอีกอย่างคือ เขายอมแพ้ไม่เป็นอ่ะ เพราะความจริงประโยคข้างบนของหลวงเมืองเขามีต่ออีกด้วยว่าถึงบอกให้ผู้หญิงรู้ตัวจากปากแล้ว “แต่แม้กระนั้นยังไม่แน่ว่าผู้ชายจะได้ความรักตอบแทนเสมอไป” ฉันเห็นด้วยกับหลวงเมืองอย่างที่สุด ฉันใช้สิทธิ Passive Selector ของฉันแล้ว แต่ว่าคนคนนี้เขาไม่ยอมรับการตัดสินใจของฉัน เขาคงคิดว่าเขายังไม่แพ้ เขาพยายามจะสู้ต่ออ่ะ

อืมม์ เผอิญฉันดันอยู่ในที่ open และก็ขี้เกียจจะไปไล่ปิดประตูสถานที่ต่างๆ ที่ฉันเปิดไว้ (ฉันอาจจะตั้ง filter ให้ delete อีเมล์อัตโนมัติได้ ฉันอาจจะล็อกไดอารี่, ย้ายเกสต์บุ๊ก, ย้ายเว็บบอร์ดได้ แต่มันต้องใช้แรงมาก แล้วฉันก็ว่ามันป้องกัน persistency ของคนไม่ได้หรอก Where there is a will, there is a way อ่ะ) เพราะงั้นฉันคงจะทำอะไรได้ไม่มากไปกว่าที่ทำมา คือ อย่าไปใส่ใจ และในบางทีที่อดไม่ใส่ใจไม่ได้ ฉันก็ระบายมันออกมาซะทีหนึ่ง หรือไม่ฉันก็คงจะต้องฝึกสมาธิและทำจิตใจให้สงบ เมื่อไหร่ที่ฉันบรรลุถึงระดับหนึ่ง ฉันคงเอาใจไปอยู่ที่อื่นได้ ทีนี้ถึงเศษข้าวโพดมันจะอยู่ตรงนั้น ฉันก็จะไม่รำคาญมันอีกต่อไป

ปล. ฉันเขียนเรื่องนี้จนจบแล้ว ฉันก็มาคิดต่อว่า กับแค่คำพูดไม่กี่คำ (ตัวอักษรไม่กี่ตัว) ของใครก็ไม่รู้ที่ฉันไม่รู้จัก มันทำให้ฉันเห่อเหิมกับ ego ของฉันมากเกินไปจนคิดมากไปต่างๆ นานาหรือเปล่า คนอย่างฉันเนี่ยเหรอจะมีใครมาชอบขนาดยอมรับไม่ได้ถ้าฉันไม่ชอบเขาตอบ?? ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน... แต่ฉันแอบหวังอยู่เหมือนกันนะว่าให้สิ่งที่ฉันพล่ามมาทั้งหมดนี้ เป็น “ความคิดมากไปเอง” ของฉันอ่ะ