เมืองกาญจน์มีเห็ดโคนขายแล้ว
วันก่อนดูรายการคุยคุ้ยข่าว เขาให้คนส่งข้อความเข้าไป “คุยข่าว” ได้ คือ ใครอยากถามอะไร อยากบอกอะไร อยากบ่นอะไร อยากแสดงความคิดเห็นอะไร ก็ส่งข้อความเข้าไปได้ เขาจะเอาขึ้นบนหน้าจอให้คนทั่วๆ ไปอ่านไปพร้อมๆ กับตอนที่พิธีกรพูด เราอ่านๆ อยู่ก็เห็นมีข้อความขึ้นว่า “ที่เมืองกาญจน์มีเห็ดโคนขายแล้ว” เราอ่านแล้วก็คิดว่า เออ... นี่เขาคุยกันทุกเรื่องเลยแฮะ ขนาดมีเห็ดโคนขายยังเอามาบอก ในความรู้สึกเรามันไม่ใช่เรื่องที่คิดว่าน่าจะต้องเอามาบอกอ่ะนะ

แต่ปรากฏว่าแม่อ่านข้อความเสร็จก็หันมาบอกเราว่า “เมืองกาญจน์มีเห็ดโคนขายแล้ว โทรไปบอกคนซื้อดีกว่า” แล้วแม่ก็หยิบโทรศัพท์โทรไปหาเพื่อนแม่คนที่ชอบกินเห็ดโคนมากๆ (เวลาแม่ไปชะอำแล้วถ้าเป็นหน้าเห็ดโคน ก็จะต้องซื้อมาฝากเขา และเวลาเขาไปได้เห็ดโคน ก็จะเอามาฝากแม่เหมือนกัน) แม่บอกไปในโทรศัพท์ว่า “นี่.. ตะกี้ดูในทีวี เขาบอกว่าเมืองกาญจน์มีเห็ดโคนขายแล้วนะ” แล้วก็นัดแนะกันว่าจะไปซื้อเมื่อไหร่ดี

อืมม์ เรื่องที่ถ้าเป็นเราคงไม่คิดจะส่งข้อความไปคุยข่าว ก็ยังเป็นเรื่องที่มีคนอยากรู้ บอกกับแม่ว่า “เออ เพิ่งรู้นะเนี่ยว่า มีคนอยากรู้ว่าเมื่อไหร่จะมีเห็ดโคนขาย” แม่บอกว่า “ใช่สิ ก็คนซื้อเขาอยากซื้อ แต่ถ้าไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มีขาย จะไปซื้อก็ไม่กล้า กลัวเก้อ มีคนมาบอกอย่างนี้ก็ดี”

ตอนค่ำๆ เราดูข่าวภาคค่ำ มีข่าวว่าเมืองกาญจน์จัดงานขายเห็ดโคน (ขายกิโลละสามร้อยห้าสิบ ต้องคนมีกะตังค์เท่านั้นนะ ถึงจะกินได้ แต่มันก็อร่อยจริงๆ นะเห็ดโคนเนี่ย) เดี๋ยวปีหน้าถ้าแถวบ้านเรามีงานลิ้นจี่วันไหน เราจะส่งข้อความไปคุยข่าวมั่งว่า ที่อัมพวามีลิ้นจี่ขายแล้วจ้ะ

โฆษณาดีแทค
เราชอบโฆษณาของดีแทคมากกว่าเอไอเอส เราว่าเขาทำออกมาได้ดูดี โฆษณาที่จะเป็นฮาร์ดเซล (จ้องขายของอย่างเดียว) ก็ยังทำให้ซอฟท์ได้ (เช่น โฆษณาโทร ๓ ครั้ง โทรฟรี ๑ ครั้ง เขาจับภาพคนโทรศัพท์ ตัดภาพเปลี่ยนคนไปเรื่อยๆ เราดูทีแรกไม่ทันสังเกต พอตอนสุดท้ายเขาบอกประมาณว่า นับครบ ๓ ครั้งแล้วจะได้โทรฟรีครั้งหนึ่ง เราถึงได้มาสังเกตตอนดู โฆษณารอบหลังๆ ว่าทุกคนในโฆษณา เขานับนิ้วไปด้วยตลอด ไม่ต้องแสดงโจ่งแจ้ง แต่ก็สื่อความหมาย)

เราดูโฆษณาหรือแคมเปญต่างๆ ของดีแทค แล้วรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คิดแต่เอากำไร แต่ห่วงใยสังคมด้วย แต่ก็มีคนพูดว่า คนบ้าที่ไหนทำธุรกิจไม่เอากำไร แต่เขาเก่งในการสร้างภาพ ทำให้ดูดีไว้ก่อนผู้บริโภคจะได้ตายใจ แต่สุดท้ายก็ุมุ่งกำไรอยู่ดี เราก็ยังคิดของเราเงียบๆ ว่า ดีแทคดูดีกว่าเอไอเอส อย่างน้อยก็ไอเดียโฆษณาและเรื่องแคมเปญต่างๆ

วันก่อนเราฟังวิทยุ มีนักจัดรายการคนหนึ่งเขาก็พูดตรงกับที่เราคิด เขาบอกว่าโครงการของดีแทคที่ทำออกมาเนี่ย “ได้ใจ” เขาไปหลายๆ อย่าง ที่เขาพูดแบบนี้เป็นตอนที่นักกีฬาพาราลิมปิก (โอลิมปิกคนพิการ) เพิ่งกลับถึงเมืองไทย แล้วดีแทคประกาศจ่ายเงินอัดฉีดให้นักกีฬาเหรียญทองทันที เขาบอกว่า ดูิสิดีแทคเขาไม่ได้ทำเฉพาะเรื่องที่อยู่ในกระแส (อย่างโอลิมปิกที่เอเธนส์) แต่สนใจเรื่องอื่นๆ ด้วย แล้วเอไอเอสทำอะไรอยู่

คนที่จัดรายการคู่ด้วยกัน เขาก็บอกว่า “แหม แค่นี้เองเหรอ” เขาก็บอกว่า มีอีกนะ อย่างตอนที่หนังโหมโรงออกฉาย แล้วเริ่มดังแต่ยังไม่มีคนดู ดีแทคเหมาโรงหนังแล้วประกาศให้ลูกค้าดีแทคดูฟรี เขาบอกว่าเรื่องแบบนี้มันแสดงวิสัยทัศน์ของผู้นำองค์กร คือผู้นำไปทางไหน องค์กรก็ไปทางนั้น ผู้นำมีใจที่จะทำกิจกรรมเพื่อสังคม มีโอกาสตรงไหนเขาก็ทำ นักจัดรายการคนที่ว่าเขาก็บอกว่า เนี่ย ถึงไม่ได้อะไร ก็ได้ใจเขาไปแล้วอ่ะ

เราเคยอ่านในมติชน เขาก็บอกประมาณว่าดีแทคพยายามจะทำให้องค์กรของตัวเองมีความตื่นตัว สนับสนุนให้พนักงานมีความคิดสร้างสรรค์ (ซึ่งเราก็เห็นด้วย อย่างเช่น ในโทรศัพท์แบบพรีเพดที่ แคมเปญซิมรุ่นเล็ก – เอไอเอสคิดไม่ทัน พอออก “สวัสดี” ตามรอยดีแทค ก็เลยต้องใช้กลยุทธ์ตัดราคาสู้, ดีแทคออก แคมเปญเงินหมดให้ยืม กับ วันเหลือแลกเงิน-เงินเหลือแลกวัน สองอันหลังนี้ เอไอเอส ยังไม่ออกอะไรมาแก้)

นอกจากเน้นความคิดสร้างสรรค์แล้ว เขาก็พยายามจะปรับให้เป็นองค์กรที่มีความสนุกสนาน และมีผู้บริหารที่ทำงานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับคนในทีม เขาถึงได้ทำโฆษณาที่ให้ซีอีโอคนไทยกับฝรั่งมาแนะนำตัว (มาทำท่าตลกๆ แต่มุ่งมั่น) และต่อมาก็ใช้ซีอีโอสองคนนี้กลายเป็นพรีเซนเตอร์ในโฆษณาชุดต่างๆ ด้วย อย่างตอนที่เขาออกโฆษณาชุดก่อนหน้านี้ที่พยายามจะบอกว่า พวกเขาทำงานกันหนักมากขึ้นเพื่อปรับปรุงเทคโนโลยีของเครือข่ายให้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้น ก็เอาซีอีโอมาเล่นด้วย คือพนักงานทำงานหนัก จะลุกไปเติมกาแฟ ซีอีโอก็เอากาแฟมาเติมให้

ส่วนโฆษณาล่าสุดที่เพิ่งออกมารู้สึกว่าจะบอกว่า ดีแทคอยู่กับคุณทุกที่ ก็เอาซีอีโอสองคน (เจ้าเก่า ใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าตัวเก่ง) มาเล่นเป็นคนที่ร่วมกิจกรรมทุกๆ อย่างกับเราตั้งแต่ตื่นนอน แปรงฟัน กินข้าว ดูทีวี เล่นเกมกลางแจ้ง ไปตั้งแคมป์ในป่า ไปทะเล เชียร์มวย นั่งรถสองแถว ภาพตลกๆ มาประกอบกับเพลง Close to you ก็น่ารักดี

เรื่องโฆษณาเนี่ย ก่อนหน้านี้ ดีแทคออกซิมรุ่นเล็กมาให้คนโทรน้อยใช้ได้นานๆ โฆษณาก็น่ารักเชียว อันที่แม่โทรเลขไปหาลูก บอกให้โทรหาแม่ด่วน แล้วพอลูกโทรไป ถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า แม่บอกว่า ไม่เป็นอะไร แค่อยากได้ยินเสียง ลูกก็ถามว่า คิดถึงแล้วทำไมไม่โทรมา แล้วมีเสียงพ่อบอกข้างๆ ว่า ทำไมไม่บอกลูกมันไปล่ะ ว่า ลืมไปแล้วว่าโทรออกยังไง คือไม่ค่อยได้โทรไง แต่เอไอเอสออกโฆษณามาพร้อมๆ กันเป็นเด็กวัยรุ่น โทรคุยกับแฟน ไม่ยอมวาง (เธอวางก่อนเด่ะ เธอวางก่อนเด่ะ ก่อนเด่ะๆๆๆๆ) โดนคนด่ากันทั้งบ้านทั้งเมือง (เราเคยเขียนด่าไปแล้ว) จนต้องออกโฆษณาอีกชุดหนึ่งมาแก้เก้อ เอาพวกตลกมาเล่นเปลี่ยนโทนให้กลายเป็นเรื่องตลกไป

เราเคยถามเพื่อนที่ทำงานบริษัทโฆษณาที่ทำให้เอไอเอสว่า ทำไมโฆษณาเอไอเอสถึงสู้ดีแทคไม่ได้ซะที หาคนทำโฆษณามือดีๆ ไม่ได้เหรอ เพื่อนก็ส่ายหัว ประมาณว่า อำนาจการตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่คนทำโฆษณาอย่างเดียว ประมาณว่า เราเสนอไอเดียไป แต่ลูกค้าไม่ต้องการก็จบกัน ก็เลยกลับมาที่จุดเดิมที่คุณพิธีกรรายการวิทยุเขาพูดไป คือผู้นำองค์กรไปทางไหน ส่วนอื่นๆ ขององค์กรก็ไปทางนั้น

แบบนี้ บางคนอาจสรุปว่า ผู้นำของเอไอเอสกับดีแทคก็ไปทางเดียวกันแหละ (คือ หากำไรๆๆๆๆ) แต่ดีแทคทำได้เนียนว่า แต่เราก็ยังไม่ค่อยเชื่อ เรายังคิดว่าดีแทคดูดีกว่า และเราเชียร์ดีแทคมากกว่า ทั้งๆ ที่ตอนนี้ยังใช้มือถือของเอไอเอสอยู่ :P