ไม่มีอำนาจต่อรอง

เราชอบเยาะเย้ยเก๋ว่า ไม่มีอำนาจต่อรอง เวลานัดกันไปเที่ยวไหน เก๋เป็นคนแรกที่ตอบว่าไป ไม่ต้องคิดว่าจะติดอะไร จะงานยุ่งหรือเปล่า กลายเป็น “ของตาย” เวลานัดกันกินข้าว เก๋ก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้เลือกร้านซักเท่าไหร่ คนส่วนใหญ่บอกว่าร้านไหน เก๋ก็ต้องโอเค แถมบางทีก็โดนหลอกง่ายๆ เช่น คนอื่นเขานัดกันกินข้าวไกลโคตรๆ จากที่ทำงานเก๋ แต่พอแค่ใส่ไข่ว่า จะมีเรื่องเด็ดๆ เล่าให้ฟัง เก๋ก็ยอมถ่อสังขารขับรถข้ามเมืองมาฟัง

แต่จะว่าไปแล้ว ทุกคนก็คงจะบางจุดบางเรื่องที่กลายเป็นคนไม่มีอำนาจต่อรอง อย่างที่เก๋เป็นนั่นคือไม่มีอำนาจต่อรองกะเพื่อนๆ ในขณะที่เราเนี่ย ไม่เคยมีอำนาจต่อรองกับแม่ค้าตามตลาดนัดเลย

ที่ทำงานเราจะมีของมาขาย ตั้งเป็นแผงๆ บ้าง ปูผ้าวางขายกับพื้นบ้าง ถูกใจพวกชอบช็อปเป็นอันมาก เราก็เดินดูของพวกนี้ทุกวัน (เพราะเป็นทางผ่านที่จะไปซื้อกาแฟเย็น) แต่ไม่ค่อยได้ซื้ออะไร แต่นานๆ ก็นะเจอของที่คิดว่าได้ใช้ก็จะซื้อซักทีหนึ่ง เวลาซื้อทีไรก็ไม่เคยต่อรองราคาได้ซักที สงสัยคงเป็นเพราะจับสังเกตทีท่าของคนขายไม่เก่ง เคยบ่นให้นักช็อปที่ต่อราคาเก่งๆ ฟัง เขาบอกว่าต้องดูหน้าแม่ค้าสิ แล้วเขาก็ยกตัวอย่าง “ป้าทัป” ให้ฟัง

ป้าคือป้าที่ขายทัปเปอร์แวร์ แกจะเป็นแม่ค้าที่ค่อนข้างเขี้ยว เวลาขายของจะชอบบอกผ่านและราคาที่ขายจริงจะขึ้นกับคนซื้อ ถ้าคนซื้อต่อเก่งๆ จะได้ราคาถูก โง่ๆ อย่างเราไปซื้อนี่เสร็จแกเลย พี่นักช็อปบอกว่า แกจะต่อราคาไปเรื่อยๆ ถ้าต่อราคาไปแล้วใกล้จะได้ราคาถูกสุดๆ พี่นักช็อปจะรู้ เพราะป้าทัปจะตากระตุก เราอึ้งเลย แบบว่า ดูยังไงวะ สังเกตไม่เห็นจริงๆ

นอกจากเราจะจับสังเกตแม่ค้าไม่ออกแล้ว เรายังเก็บอาการไม่ค่อยอยู่ เวลาเริ่มเอ่ยปากถามราคาของทีไร เราก็มักจะอยากได้ของนั้นซะแล้ว แม่ค้าเห็นท่าว่า อีนี่มันอยากได้มาก ถึงไม่ลดราคาให้มันก็ซื้ออยู่ดี มีพี่อีกคนหนึ่งที่เป็นคนต่อของไม่เก่งเหมือนเรา เคยไปซื้อเสื้อด้วยกันแล้วก็พยายามต่อราคา เสื้อประมาณ ๒๐๐ จะต่อแค่ ๒๐ บาทเขายังไม่ให้ จนสุดท้ายพี่เขาบอกว่า แหม.. ช่วยลดให้หน่อยสิคะ ต่อราคาที่ไหนๆ ไม่เคยได้ลดเลย แม่ค้าเลยลดให้ ๑๐ บาทคงจะเป็นด้วยความสมเพชอ่ะนะ

แต่จะว่าไปเราก็ไม่ค่อยซีเรียสอะไรกับการต้องต่อราคาให้ได้ถูกสุดๆ ซักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เราดูของว่า ราคาสมเหตุสมผล เราจะได้ใช้ประโยชน์จากของนั้นก็จะซื้อ แล้วของที่ขายตามตลาดนัดมันก็จะราคาไม่ค่อยแพง จะไปต่อเขามากๆ เขาก็กลัวเขาขาดทุน จะต่อน้อยๆ ก็นึกว่า แหม... ประหยัดได้อีก ๑๐ บาท ๒๐ บาท ก็ไม่ได้ทำให้รวยขึ้น (ไม่ใช่ว่าอวดร่ำอวดรวยอะไร แต่คิดว่าเอาเวลาและพลังงานไปทำอย่างอื่นดีกว่า) เวลาซื้อก็ถามแค่ว่า “ลดให้หน่อยได้ไหม” ถ้าแม่ค้าบอกผ่าน เขาก็มักจะลดให้เรา ๑๐ บาท ๒๐ บาท พอเป็นกำลังใจ แต่ถ้าเขาไม่ได้บอกผ่าน เขาก็จะบอกว่า ลดไม่ได้หรอก

วันนี้เราไปซื้อของเล่นให้ไอโกะ เป็นกระดานแม่เหล็ก (แบบที่สมัยเราเด็กๆ มันเรียกว่า แมกน่า ดูเดิ้ล) ก่อนซื้อก็ต้องโทรไปถามแม่มันก่อน เพราะเราเป็นคนไม่ค่อยรู้ราคาของ ซื้ออะไรไปให้ใครมักจะโดนด่าว่าซื้อแพงทุกที พอได้รับ Approval จากแม่ไอโกะ เราก็ไปซื้อ ก็เหมือนเดิมถามว่าลดราคาได้ไหม เขาก็บอกว่าลดไม่ได้หรอก เขาขายถูกแล้ว ฯลฯ ฯลฯ (คืออธิบายว่าถูกจริงๆ ซึ่งไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ เพราะไม่ลดเราก็ซื้อ) แล้วเขาก็บอกอีกว่า ของเล่นอันที่เราซื้อนี่มันดีนะ คุณภาพใช้ได้ เพราะลูกเขาก็เล่นอยู่เหมือนกัน แถมพูดต่ออีกว่า เวลาเอาของมาขายเขาก็ต้องเลือกที่มันน่าเล่นเหมือนกัน ของเล่นเด็กๆ น่ะ ไม่ต้องฟังก์ชั่นเวอร์มากจนแพงเกินไป แต่ขอให้เร้าใจหน่อย เด็กก็เล่นมันส์แล้ว

เดี๋ยววันเสาร์นี้ไอโกะจะไปบ้านที่แม่กลอง จะได้รู้กันว่าของเล่นนี้จะเร้าใจไอโกะหรือเปล่า :)

Sky Captain and The World of Tomorrow
เพิ่งไปดูมาเมื่อวาน หลังจากอ่านวิจารณ์ว่าเหมือน “ฟ้าทะลายโจร” และจากคำแนะนำของพี่ปุ๊กว่า สนุกดี มันเข้าใจคิด ไปดูมาแล้วก็สนุกจริงแฮะ หนังออกแนวการ์ตูนๆ หน่อยๆ เราไม่คิดว่าถ้าเราเป็นคนแรกที่เข้าไปดู เราจะกลับมาบอกคนอื่นๆ ว่า เรื่องนี้มันเหมือน ฟ้าทะลายโจร (ในแง่ของโพรดักชั่น) ไม่รู้สินะ เราว่ามันเหมือนกับหนังการ์ตูนมากกว่า

แต่พอมีคนพูด เราก็คิดตาม และได้ข้อสรุปว่า ที่เหมือนกันก็คงคงเทียบในแง่ที่ว่า ทั้งสองเรื่องเขาเลียนแบบเทคนิคการทำหนังยุคเก่า ฟ้าทะลายโจร ใช้วิธีถ่ายภาพแล้วมาแต่งฟิล์มให้เป็นสีๆ เหมือนสมัยก่อนที่มีแต่ฟิล์มขาวดำ ก็ถ่ายเป็นขาวดำแล้วระบายสี Sky Caption ทำเป็นภาพโทนซีเปีย และสถานที่ส่วนใหญ่เป็นฉากที่ทำปลอมขึ้นมา โดยที่ยังดูรู้ว่าปลอม

เนื้อเรื่องก็สนุกดีนะ การ์ตูนๆ ดูสนุกไม่ต้องคิดมาก แถมมุขเยอะอีกตะหาก พระเอก Jude Law กับนางเอก Gwyneth ก็เล่นเข้าขากันดี ตอนแรกๆ ดูเกร็งๆ ไปหน่อย Angelina Jolie ตั้งแต่ไปเล่นเรื่อง Tomb Raider เป็นต้นมาก็รู้สึกว่าจะเล่นแต่บทฉูดๆ ฉาดๆ เรื่องนี้ก็เท่เชียว เป็นนายพัน (หรือเปล่านะ จำยศไม่ได้) ทหารหญิง เก่งเชียว

ความจริงมุขในหนังมันค่อนข้างจะเก่าๆ แต่ได้จังหวะพอดี (ต่อไปนี้เป็นมุขในหนัง คนที่อยากจะไปดู ก็อย่าเพิ่งอ่าน เดี๋ยวจะเสียอรรถรสในการชมซะหมด) อย่างตอนที่เครื่องบินของพระเอกจะน้ำมันหมดแล้วติดต่อ เพื่อนเก่าชื่อแฟรงค์กี้ เราว่าคนดูก็พอจะเดาได้หรอกว่า แฟรงค์กี้ ต้องเป็น Angelina Jolie ก็มีดารานำอยู่ ๓ คน ผ่านมาเกือบครึ่งเรื่อง เพิ่งออกมา ๒ คน คนที่ ๓ ไม่ออกตอนนี้ก็ไม่รู้จะออกตอนไหนแล้ว แต่ขนาดนี้แล้วก็ยังจัดว่าเป็นเซอร์ไพรส์นิดๆ ได้เหมือนกัน

เราชอบมุขที่กล้องนางเอกเหลือฟิล์มอยู่แค่ ๒ รูปด้วย แบบว่ามุขเดียวเอามาเล่นต่อเนื่องได้หลายฉาก ตั้งแต่ตอนที่นางเอกไม่ยอมถ่ายพวกสัตว์ประหลาดต่างๆ ไม่ยอมถ่ายรูปเรือของโนอาห์จนพระเอกเซ็งอารมณ์ แล้วก็มาร้องไห้น้ำตาไหล เพราะดันพลาดไปถ่ายรูปพื้นไปตอนที่ชุลมุนเอาตัวรอด แล้วก็มาหยอดมุขกุ๊กกิ๊กที่นางเอกตัดสินใจใช้ฟิล์มรูปสุดท้ายถ่ายหน้าพระเอก แล้วก็ตามมาติดๆ ด้วยมุขสุดท้ายก่อนจบว่า นางเอกลืมเปิดหน้ากล้องอีกอ่ะ (แต่ความจริงถ้านางเอกลืมเปิดหน้ากล้อง ก็น่าจะหมุนฟิล์มกลับไปถ่ายได้อีกรอบหรือเปล่า เพราะมันยังไม่ได้โดนแสงอ่ะ?)

แต่มุขที่ทำให้เราขำก๊ากคือตอนที่นักวิทยาศาสตร์จะเข้าไปหาโทเทนคอฟท์ พอเหยียบไปที่หน้าประตู ปืนรังสีก็ทำงาน “แซ้ป” นักวิทยาศาสตร์ซะจนหลือแต่เศษกระดูก แล้วเพื่อนพระเอกก็ไปหาปลั๊กของปืนรังสีเจอ พอถอดปลั๊กออก คนที่เหลืออยู่ก็จะเดินเข้าไป พระเอกกับนางเอกอยู่ข้างหน้าสุด นางเอกก็หันมาถามว่า แน่ใจนะว่ามันปลอดภัย เพื่อนพระเอกบอกว่า “There is only one way to find out” นางเอกก็หันไปคว้ามือพระเอก ประมาณว่าด้วยความซาบซึ้ง เราจะไปไหนไปกัน ถ้าจะตายก็ตายด้วยกัน จับมือกันแน่น แล้วสองคนก็ก้าวขาเหยียบที่หน้าประตูพร้อมกัน “ชึ้บ” ปลอดภัย ไม่โดน “แซ้ป” สองคนหันมาทำหน้าโล่งอก แต่เพื่อนพระเอกพูดขึ้นมาว่า “I mean throw something” เราหัวเราะก๊าก (อยู่คนเดียว สงสัยคนอื่นไม่ขำ) เพราะเราก็คิดอยู่พอดีว่า เอ๊อ... ทำไมไม่ลองโยนอะไรลงไปก่อนฟะ :)