จากเชียงรายไปดอยอินทนนท์
วันศุกร์ ๒๖ พฤศจิกา วันที่สองของทริป เราตื่นแต่เช้าเพราะไอโกะตื่นขึ้นมาร้องงอแง โผล่หัวออกมาที่ระเบียงไม่มีทะเลหมอกและยังมืดอยู่เลยกลับไปนอนต่อ แต่ซักพักได้ยินพวกข้างล่าง (เราได้นอนห้องข้างบน) เรียกๆ บอกว่าให้ออกไปเดินเล่น ก็เลยเด้งไปเปลี่ยนเสื้อกางเกงแล้วก็ไป แวะดูสระว่ายน้ำ สวยเชียว เป็นสระฟรีฟอร์ม มีสระเล็กให้เด็กด้วย เสียดายที่พักที่นี่แค่วันเดียว และฝนตกอากาศเย็นเลยไม่ได้ลงมาว่ายน้ำเล่น ข้างๆ สระมีแท่นคล้ายกับจะมีบริการนวดด้วย

       

เดินมาถ่ายรูปเล่นที่ล็อบบี้แล้วก็เดินออกไปด้านหน้า เห็นแผนที่บอกว่ามีถ้ำศักดิ์สิทธิ์ด้วย แต่ก็งงๆ ไม่แน่ใจว่าไกลหรือเปล่า แต่ก็ตกลงจะเดินกันไป เดินไปได้พักหนึ่งก็หยุดดูต้นไม้ดอกไม้ แล้วก็มีพนักงานรีสอร์ทขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมา ก็เลยถามเรื่องถ้ำว่าไปอีกไกลไหม เขาบอกว่าเลยมาแล้ว เดินย้อนกลับไป ไม่มีอะไรเลยเป็นเหมือนถ้ำทำเอง (ไม่ใช่ถ้ำทำมะชาด) มีรูปแม่พระมารีอยู่ข้างใน คงเป็นเพราะแบบนี้เลยเรียกว่าถ้ำศักดิ์สิทธิ์

ตอนเดินกลับโรงแรมพอดีพี่หวินขับรถผ่านมาพอดีเลยติดรถกลับไปไม่ต้องเดินขึ้นเนิน พี่หวินบอกว่าที่โรงแรมเขามีห้องพักให้คนขับรถนอนด้วย เรากลับไปที่บ้านตอนแรกว่าจะไม่อาบน้ำ แต่โดนแม่คะยั้นคะยอ อาบน้ำเสร็จก็เก็บของแล้วไปกินอาหารเช้า ตอนแรกพี่ปุ๊กถามเจ้าหน้าที่วว่าต้องสั่งอาหารเช้าไว้ก่อนหรือเปล่า เพราะโรงแรมบางที่ถ้าจำนวนแขกไม่เยอะเขาจะไม่ทำเป็นบุฟเฟต์เพราะไม่คุ้ม แต่อาหารเช้าที่นี่เป็นบุฟเฟต์ อาหารจัดว่าคุณภาพดีมากทีเดียว มีน้ำส้มคั้นสดๆ ด้วย เรากินไปซะหลายแก้วเลย

เสร็จจากอาหารเช้าก็ออกจากโรงแรม โปรแกรมวันนี้คือขึ้นดอยอินทนนท์ โดยผ่านตัวเมืองเชียงใหม่เพื่อไปกินอาหารกลางวัน ระหว่างทางเราก็แวะเที่ยวน้ำพุร้อนอีกแห่งหนึ่ง (จำชื่อไม่ได้อีกแล้ว) อันนี้ค่อนข้างจะเป็นที่นิยมกับคนทั่วไปมากกว่าเพราะอยู่ติดริมถนน ด้านหน้ามีร้านขายของเต็มพรืดไปหมด (จนดูไม่ค่อยน่ามองในความรู้สึกเรา) ต้องเดินทะลุร้านค้าเข้าไปถึงจะเจอบ่อน้ำพุร้อน มี ๒ บ่อ เขาเอารั้วกั้นไว้ มีคนขายไข่ต้มอีกตามเคย แต่คราวนี้ไม่ได้ต้มนักท่องเที่ยวซะทีเดียว เพราะน้ำพุร้อนที่นี่ร้อนถึงเก้าสิบกว่าองศา ถ้าเอาไข่ดิบมาต้มซัก ๑๐ นาทีก็คงสุกกินได้ ไม่ต้องแอบเอาไปต้มสุกไว้ก่อนแล้วมาหลอกให้นักท่องเที่ยวอุ่นในบ่อเหมือนที่ห้วยหมากเหลี่ยม

       

บ่อน้ำพุร้อนอันนี้ติดกับลำธารเล็ก เขาเอาหินมาถมเป็นตลิ่งสูงๆ เราเดินข้ามตลิ่งไปด้านล่าง น้ำในลำธารตรงใกล้ๆ กับตลิ่งจะมีบางจุดที่เป็นน้ำอุ่น เพราะน้ำพุร้อนไหลซึมออกมาปน แต่ตรงที่ไกลจากตลิ่งออกไปก็จะเป็นน้ำเย็นๆ ปกติ ก่อนขึ้นรถมุ่งหน้าเข้าเมืองก็ซื้อของกินติดไม้ติดมือขึ้นมา มีข้าวโพดต้มที่กลายเป็นอาหารหลักของไอโกะ มีลูกก่อที่คนขายบอกว่าเป็นเกาลัดไทย รสชาติเหมือนเกาลัดแต่เม็ดเล็กมากๆ เล็กกว่าปลายนิ้วโป้งเสียอีก ตอนที่ซื้อก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ตอนหลังถึงได้สำนึกว่า เสียเวลาแกะมากๆ ซื้อมา ๑๐ บาท แกะกินกันเป็นวันๆ เลย

เข้ามาถึงที่ตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณเที่ยงๆ พี่หวินพาไปกินข้าวซอย (จำชื่อร้านไม่ได้ อยู่ตรงข้ามโรงแรมอะไรซักอย่าง ไม่ใช่ร้าน “ฟ้าฮ่าม” ที่เราเคยไปกินเมื่อประมาณสิบปีก่อน) พวกกินเนื้อก็ทำท่าโอ้อวดว่าข้าวซอยเนื้ออร่อยกว่าข้าวซอยไก่หรือหมูมากมายขนาดไหน จะกินให้สาแก่ความอร่อย แต่เราไม่ได้กินข้าวซอยหรอก ไม่ได้ชอบรสชาติที่เหมือนก๋วยเตี๋ยวแขกขนาดนั้น ก็เลยกินก๋วยเตี๋ยวซี่โครงกระดูกอ่อน (หรืออะไรประมาณนั้น) น้ำซุปหวานน้ำต้มกระดูก แล้วก็สั่งหมูสะเต๊ะกับกุ้งฝอยทอดฟักทองทอด อร่อยดีเหมือนกัน กินกันเอร็ดอร่อย คิดราคาแล้วตกคนละ ๔๐ กว่าบาท ของถูกและดีก็มีเหมือนกันแฮะ

จากตัวเมืองเชียงใหม่กว่าจะไปถึงบนดอยก็ใช้เวลานานพอดู (รู้สึกจะประมาณ ๓ ชั่วโมง แต่รถติดในตัวเมืองซะเกือบชั่วโมง) ไปแวะเอากุญแจบ้านพักที่ที่ทำการอุทยาน พี่ปุ๊กจองบ้านไว้ ๒ หลัง หลังใหญ่นอนได้ ๗ คน หลังเล็กนอนได้ ๓ คน ตอนแรกนึกว่าอยู่ไม่ไกลกัน แต่พอเอาเข้าจริงห่างกันแบบเดินเหนื่อย (เพราะทางเป็นเนินด้วย) หลังจากงงๆ ไม่รู้จะแบ่งกันนอนยังไง สุดท้ายสรุปได้ว่าพี่หนิงพี่หญิงเก๋แยกไปนอนบ้านเล็ก ที่เหลือนอนบ้านใหญ่ ก็แวะเอาของขึ้นไปเก็บที่บ้านใหญ่ก่อนแล้วก็จะออกไปดูพระธาตุ

ก่อนออกไปมีคนจากร้านอาหารมาติดต่อว่าจะสั่งอาหารที่ร้านเขาก็ได้ เขาจะเอาอาหารมาส่งให้ตามเวลา เราก็เลยสั่งอาหารเย็นเอาไว้แล้วก็ออกไปเที่ยว บรรยากาศไม่ค่อยเป็นใจเลย ฝนตกปรอยๆ แล้วก็มีหมอกครึ้มไปหมด คนที่มารับรายการอาหารบอกว่า วันก่อนตอนที่ฝนยังไม่ตก ตอนเช้าๆ มีแม่คะนิ้ง (น้ำค้างแข็ง) ด้วย เขาบอกว่าถ้าพรุ่งนี้ฝนไม่ตกก็คงมีเหมือนกัน เพราะอากาศยังเย็นอยู่ ทำเอาพวกเราเสียดายไปตามๆ กัน เพราะดูทีท่าแล้วฝนคงยังไม่หายง่ายๆ

       

พี่หวินพาพวกเราไปที่พระมหาธาตุนภเมทนีดลและพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ (สร้างถวายในหลวงกับพระราชินี ฉลองพระชนมายุครบ 5 รอบ) บรรยากาศเหมือนอยู่อังกฤษเลย (คือเป็นหมอก และมีฝนเป็นละออง) พวกเราก็เลยไม่ได้เดินมาก แค่เดินขึ้นไปไหว้พระธาตุทั้งสองแล้วก็ลง น่าเสียดายมาก เพราะบริเวณรอบๆ องค์พระธาตุมีต้นไม้ดอกไม้ปลูกไว้เยอะแยะ และสามารถดูวิวไปได้ไกลๆ

จากพระธาตุก็ไปจุดสูงสุดในสยาม เขาใช้เป็นที่ตั้งสถานีเรด้าของกองทัพอากาศและเป็นที่ประดิษฐานสถูปเจ้าอินทวิชยานนท์เจ้าเมืองเชียงใหม่องค์สุดท้ายด้วย ที่นี่มีเทอร์โมมิเตอร์ อ่านค่าได้ ๑๐ องศา พวกเราแวะไหว้เจ้าเมืองเชียงใหม่ ถ่ายรูปกับป้าย แล้วก็กลับบ้านพัก นั่งยืดเส้นยืดสายสักพัก อาหารที่สั่งก็มาส่ง อาหารไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ แต่ประมาณว่าอยู่บนดอยก็กินกันตามสภาพ

บ้านใหญ่แบ่งเป็น ๓ ห้องนอน มีห้องน้ำ ๓ ห้อง แต่อาบน้ำได้แค่ ๒ ห้อง มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้ด้วย แต่ใช้งานพร้อมๆ กันไม่ได้ ตอนที่เราอาบ น้ำอุ่นอยู่ประมาณ ๓ นาที แล้วก็รู้สึกเหมือนไฟตก แล้วเครื่องก็ตัดไป น้ำอุ่นก็กลายเป็นน้ำเย็นเจี๊ยบ จะเลิกอาบก็ไม่ได้เพราะฟองสบู่ยังเต็มอยู่เลย อาบน้ำเสร็จแขนขาชาไปหมด ตัดสินใจมาดมั่นว่าเช้าวันรุ่งขึ้นจะไม่อาบน้ำ

ตอนเราเข้านอน ฝนยังตกเป็นละอองๆ คุยกันว่าถ้าตอนเช้าฝนไม่ตก จะไปเดินที่อ่างกาหลวงเป็นเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ แต่ถ้าฝนยังตกอยู่ ก็คงต้องมุ่งหน้าลงจากดอยไปเที่ยวที่อื่นกัน

--ดูรูปวันที่ ๒--