ดอยอินทนนท์-ออบหลวง
วันเสาร์ ๒๗ พฤศจิกา วันที่สามตื่นเช้าที่บ้านพักบนดอยอินทนนท์ อากาศเย็นแต่ไม่มีลมกระโชกก็เลยไม่รู้สึกหนาวมาก ฝนยังตกอยู่ ตัดสินใจกันว่าคงต้องลงจากดอยไปเที่ยวน้ำตก และไปออบหลวงต่อ แล้วก็เข้าที่พักสุดท้ายที่จองไว้แถวชานเมืองเชียงใหม่

พี่หวินพาไปกินอาหารเช้าที่ร้านอาหารของโครงการหลวงดอยอินทนนท์ สั่งข้าวต้มกับมากินกัน ก่อนข้าวต้มจะมาเสิร์ฟเห็นมีซาลาเปาขนมจีบขายด้วย สั่งมากินกันหนุบหนับๆ กินกันจนเสร็จถึงได้สังเกตชื่อที่ตู้ซาลาเปาเขียนว่า “สุรพลฟู้ดส์” อ้าว... แหม... อุตส่าห์มากินถึงบนดอย ที่แท้ก็เหมือนกับที่ขายตามเซเว่นกับที่ขายแช่แข็งในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่กรุงเทพ

กินข้าวต้มเสร็จก็เดินไปดูวิวน้ำตกสิริภูมิ เป็นน้ำตกแฝดไหลลงมาคู่กัน ตัวน้ำตกเดินเข้าไปถึงได้ลำบาก นักท่องเที่ยวที่รักสบายก็สามารถมาดูวิวระยะไกลได้จากโครงการหลวงนี่เอง ดูเสร็จก็เดินไปดูแปลงปลูกต้นไม้ดอกไม้ของโครงการหลวงที่เขาปลูกในเรือนที่มีหลังคาคลุม ถ่ายรูปกับต้นไม้ดอกไม้กันจนพอใจ ก่อนขึ้นรถก็ซื้อสตรอเบอร์รี่ที่เพิ่งจะออกต้นฤดูมา ๒ กล่องมากินด้วยกัน

มาแวะที่น้ำตกวชิรธาร ซึ่งเป็นน้ำตกใหญ่มากๆ และเดินไม่ไกลก็จะเข้าไปใกล้น้ำตก น้ำตกกระเซ็นแรงมากๆ จนเปียกเป็นละออง พวกเราอยู่ที่นี่แค่แป๊บเดียวเพราะไม่มีที่ให้นั่งพักและคนก็เดินขึ้นเดินลงกันค่อนข้างเยอะ เลยไปต่อที่น้ำตกแม่กลางกัน อันนี้เป็นน้ำตกชั้นเดียว มีคนมาเที่ยวน้อยกว่าน้ำตกวชิรธาร ต้องเดินไกลกว่า แต่ทางเดินเป็นทางราบๆ เดินไม่ยาก เราไปนั่งๆ เล่นกันได้พักหนึ่ง ถึงจะเริ่มมีคนกลุ่มอื่นๆ มา พวกเราก็เลยกลับ

ตอนแรกวางแผนว่าจะกินไก่ย่างส้มตำเป็นมื้อกลางวัน แต่ตอนถึงน้ำตกแม่กลางก็ยังรู้สึกว่าเร็วเกินไป เพราะเพิ่งกินอาหารเช้ากันมาก็เลยยังไม่กิน ขึ้นรถมุ่งหน้าไปออบหลวงต่อ ระหว่างทางแวะไหว้พระธาตุจอมทอง เขามี Instruction ของการไหว้หนึ่งสองสามไว้ให้ด้วย เขาให้ไหว้พระธาตุ แล้วให้เดินเวียนรอบพระธาตุ ก็เลยเดินกันทุกคน (ถูกใจแม่เราจริงๆ) เราเห็นเขามีโคมขายด้วย เขียนว่าเอาไว้ให้ลอยสะเดาะเคราะห์ เห็นมีคนซื้อลอยขึ้นไปโคมสองโคมเหมือนกัน

ออกจากพระธาตุจอมทองไปถึงหน้าที่ทำการอุทยานของออบหลวงประมาณบ่ายสองโมง มีร้านอาหารตามสั่งอยู่สามร้าน ก็สั่งไก่ย่างส้มตำกับอาหารไม่ต้องคิดมากินกัน (ข้าวผัดกะเพรา ผัดซีอิ้ว ฯลฯ) กินเสร็จก็เข้าไปในอุทยาน (ลืมบอกเรื่องที่สังเกตของทริปนี้ไปว่า ตามอุทยานต่างๆ เขาจะให้ “ผู้สูงอายุ” เข้าฟรี เตี่ย แม่ และแม่พี่ปุ๊กอายุเกิน ๖๐ แล้ว ก็ไม่ต้องเสียค่าเข้า แต่แม่พี่ปุ๊กบอกว่า ชอบลืมอยู่เรื่อยว่าตัวเองเป็นผู้สูงอายุแล้ว จะจ่ายเงินอยู่เรื่อย ไม่ได้ใช้สิทธิ์ แต่ค่าเข้าอุทยานก็ไม่แพง ๒๐-๓๐ บาท เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า ไม่เป็นไร ถ้าจ่ายเงินก็เป็นการการช่วยหมุนเวียนเงินตรา)

ออบหลวงมีจุดเด่นคือมีแม่น้ำไหลผ่านช่องเขาขาด เขาทำทางเดินขึ้นไปและทำสะพานเชื่อมเขาตรงจุดที่สูงที่สุดให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปยืนชมวิว ทางเดินขึ้นไม่ลำบากเท่าไหร่ เราค่อยๆ เดินกับแม่นำหน้าไปก่อนในระหว่างที่คนอื่นๆ ถ่ายรูปกันอยู่ ตอนที่เดินขึ้นถึงสะพาน ไปยืนกลางสะพานมองลงมาแล้วหวาดเสียวน่าดู (สะพานเขาเขียนว่ารับน้ำหนักได้ ๕ คน)

เลยจากสะพานไปก็ยังมีทางเดินต่อ มีแผนที่บอกว่ามีจุดชมวิวและแหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์อยู่เป็นจุดๆ ระยะทางรวมทั้งหมดประมาณเกือบ ๒ กิโล เราไม่ได้เดินต่อ นั่งรอเป็นเพื่อนแม่ (ขี้เกียจ) ไอโกะกับป่าป๊าก็ไม่ได้ไป (ขี้เกียจต้องอุ้มไอโกะ) ส่วนแม่พี่ปุ๊กนั่งรออยู่ตั้งแต่ด้านล่างแล้ว ที่เหลือ (เตี่ย เก๋ (แม่ไอโกะ) พี่ปุ๊ก พี่หนิง พี่หญิง เก๋) บอกว่าจะลองเดินไปดู

เราเห็นมีคนอื่นๆ ที่เดินขึ้นไปส่วนใหญ่เขาจะไปกันแค่จุดสองจุดแล้วก็ย้อนกลับลง มาแต่กรุ๊ปเราเจอเตี่ยท้าทายด้วยความฟิตของคนวัยเจ็ดสิบกว่า เลยเดินกันจนครบรอบ เราก็รอจนเงก ไอโกะก็รอจนติงต๊องไปเลย (เราพาไปดูป้ายแผนที่มันก็อ่านโน่นอ่านนี่เป็นภาษาของตัวเองที่คนปกติฟังไม่รู้เรื่อง) สภาพทุกคนตอนกลับมาดูสะบักสะบอม แม่ไอโกะทำส้นรองเท้าหลุดอีกตะหาก แต่เตี่ยหัวเราะขำๆ แบบว่า เดินแค่นี้ยังไม่เท่าไหร่เลย

ลงจากออบหลวงก็ไปที่พักที่เก๊าไม้ล้านนา อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ ๓๐ กม. เป็นโรงบ่มยาสูบเก่าที่เอามาปรับปรุงเป็นรีสอร์ท ตอนแรกไม่แน่ใจว่าจะกินมื้อเย็นกันที่โรงแรมหรือเปล่า เพราะพี่ปุ๊กได้ข่าวมาว่าอาหารไม่อร่อย แต่สุดท้ายมันค่ำมากแล้วก็เลยกิน กลายเป็นว่าอาหารก็อร่อยดี กินเสร็จพวกหนุ่มๆ สาวๆ มีแผนจะเข้าไปเที่ยวตัวเมืองเชียงใหม่ ไปดูงานลอยกระทงกัน ส่วนพวกแม่ๆ และเตี่ยให้พักที่รีสอร์ท แต่ตอนหลังเราก็ไม่ได้ไป เพราะเจ็บคอ คออักเสบ เลยคิดว่าจะนอนพัก

เรากลับไปห้องพัก เขายังไม่ได้เอาเตียงเสริมมาให้ (ที่นี่ก็จอง ๔ ห้อง และเพิ่มเตียงเสริม ๒ เตียงเหมือนกัน) เราก็เลยไปอาบน้ำก่อน กำลังอาบน้ำอยู่ดีๆ มองไปที่ที่เสียบฝักบัว เห็นกบเกาะอยู่ ก็งง เอ๊ะ... กบจริงหรือของตกแต่งห้องน้ำ ลองๆ เอาน้ำฝักบัวฉีดๆ ไป อ้าวของจริงเว้ย... โชคดีที่ห้องน้ำมันแบ่งเป็น ๒ ส่วน ชาวเวอร์กับอ่างอาบน้ำ เราก็เลยไล่กบไปอยู่ตรงอ่างอาบน้ำแล้วก็รีบอาบน้ำจนเสร็จ

ได้ยินเสียงแว่วๆ ว่ามีคนเอาเตียงเสริมมาให้ เราก็เลยรีบออกมา โชคดีมีเจ้าหน้าที่ผู้ชาย เราก็เลยบอกเขาให้ช่วยมาจับกบให้หน่อน เขาฟังแล้วก็งงๆ แต่พอเข้าไปในห้องน้ำเขาก็อ๋อๆ แล้วก็เอาทิชชู่จับมันแพร่ดติดมือออก ตอนแรกเรานึกว่ามันจะตาย แต่เขาบอกว่าไม่ตายหรอก แล้วก็มันไม่ใช่กบด้วย แต่เป็นคางคากตะหาก เราไม่รู้ว่ามันต่างกันยังไง จำได้ว่าเคยได้ยินคำนี้จากนิทานชาวบ้านของมติชน จะคางคากหรือกบหรืออะไร เราก็ไม่อยากได้ไว้ในห้องน้ำหรอกฮ่ะ

อาบน้ำเสร็จไปนั่งบนเตียงเสริม โอ้โห... หย่อนตัวลงไปมันเป็นหลุมยังกับเปล ทีแรกแม่บอกว่าจะบอกเจ้าหน้าที่ว่าไม่ต้องเอาเตียง ให้เอาแต่ฟูกมาปูก็พอ เพราะห้องเขาทำเป็นยกพื้นขึ้นมาจากหน้าห้อง และมีที่ว่างพอสมควร แต่เราบอกไปว่าไม่เป็นไร ตอนหลังมาเสียใจหน่อยๆ เพราะนอนไม่ค่อยสบาย หลับๆ ตื่นๆ ต้องลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำกลางดึกอีกตะหาก

--ดูรูปวันที่ ๓-- (บางคนอาจดูไปแล้ว เพราะเป็นอัลบั้มเดียวกับที่ไปโพสต์ที่บอร์ด)