สวนกล้วยไม้+ฟาร์มผีเสื้อ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
วันที่สี่ วันอาทิตย์ ๒๘ พฤศจิกา ตอนเช้าเก๋มาเรียกไปเดินดูบริเวณโรงแรมก่อนไปกินข้าวเช้า โรงแรมนี้เขาว่าเอาโรงบ่มใบยาสูบมาปรับปรุงเป็นโรงแรม แต่พวกเราสงสัยกันว่าบางทีอาจะสร้างใหม่โดยใช้รูปทรงเดียวแบบเดียวกันก็ได้ โรงบ่มใบยาสูบที่ว่านี้เป็นตึกสองชั้น ตึกหนึ่งเอามาทำห้องพักได้ ๔ ห้อง ชั้นบน ๒ ห้องหนึ่ง ชั้นล่าง ๒ ห้อง หันหน้าออกจากกัน ตึกนี่เรียงกันเป็น ๒ แถว ทั้งรีสอร์ทนี้มีห้อง ๓๐ กว่าห้อง เขาทำทางเดินเชื่อมชั้นสอง จากที่เดินดูแล้วห้องพักชั้นสองดูน่าพักกว่าชั้นล่างที่พวกเราพัก

เราไม่ได้เดินดูอะไรมาก ซักพักก็ไปกินอาหารเช้า เป็นอาหารที่สั่งไว้ตั้งแต่คืนก่อน เพราะอาหารเช้าที่นี่ไม่ได้เป็นบุฟเฟต์ เป็นอาหารตามสั่งมีให้เลือก ๓ อย่าง คือ อเมริกันเบรกฟาสต์ คอนทิเนนทัลเบรกฟาสต์ และข้าวต้ม เขาเขียนราคาไว้ร้อยกว่าบาท พี่ปุ๊กไปถามว่าจะสั่งอาหารจานเดียวอื่นๆ ที่ในเมนูระบุว่าราคาต่ำกว่าได้หรือเปล่า เขาต้องโทรไปถามผู้จัดการแต่ก็สรุปว่าสั่งได้ ระหว่างกินก็มีคนถามพนักงานว่ามีปาท่องโก๋กินกับกาแฟไหม พนักงานบอกว่าไม่มี แต่จะขี่มอเตอร์ไซค์ไปซื้อให้ กุลีกุจอดีมาก แต่เขากลับมามือเปล่าบอกว่าเขาขายหมดแล้ว ปาท่องโก๋ต่างจังหวัดก็แบบนี้แหละ ต้องไปซื้อแต่เช้า สายหน่อยเขาก็เลิกขาย ไม่เหมือนที่กรุงเทพขายกันจนสายจนบ่ายจนเย็น

พอพี่หวินมารับก็ตกลงเรื่องสถานที่เที่ยวคร่าวๆ ตั้งใจจะไปสวนกล้วยไม้ฟาร์มผีเสื้อซึ่งรู้มาว่าอยู่ถนนสายที่ไปแม่ริม แล้วก็หาที่เที่ยวแถวๆ นั้นเพิ่ม พี่หวินพาไปแวะที่ตลาดบ้านถวายก่อน เป็นตลาดที่ขายของฝากงานฝีมือพื้นเมือง ให้เวลาเดินช็อปแค่ครึ่งชั่วโมง ได้ของติดมือกันมาคนละอย่างสองอย่าง มีเสียงบ่นหน่อยๆ ว่าร้านขายเยอะแยะขนาดนี้ให้เวลาน้อยไปหนอย

ออกจากบ้านถวายระหว่างทางจะไปที่สวนกล้วยไม้ฟาร์มผีเสื้อ เราเห็นแผงข้างทางขายสตรอเบอร์รี่ ก็ตั้งใจกันว่าขากลับจะมาแวะซื้อ สวนกล้วยไม้กับฟาร์มผีเสื้ออยู่ที่เดียวกัน มีกล้วยไม้เยอะพอประมาณ แต่ผีเสื้อน้อยมาก อาจจะเป็นเพราะที่เราเคยไปดูที่เมืองนอก (จำไม่ได้ว่าที่อังกฤษหรือออสเตรีย) มันบินว่อนเต็มไปหมด ที่ฟาร์มนี้ผีเสื้อน้อยจนต้องไล่หา พอเจอแล้วเข้าไปใกล้ๆ มันก็บินหนี (เขาว่า ผีเสื้อก็เหมือนความสุขนะ ยิ่งไล่ตามหามันยิ่งห่างออกไป แต่ถ้าเราอยู่เฉยๆ มันจะเข้ามาหาเอง)

ตอนจะออกจากสวนกล้วยไม้ มีรถบัสคันใหญ่หลายๆ คันมาจอด เป็นรถนักท่องเที่ยวมาจากภาคใต้ พวกเรารีบออกจากที่นั่นก่อนโดนคลื่นนักท่องเที่ยว นึกดีใจที่มาถึงก่อนและเดินดูเสร็จก่อน ไม่งั้นคงได้ดูแต่คลื่นมหาชน ไม่เห็นกล้วยไม้ไม่เห็นผีเสื้อแน่ๆ ขึ้นรถแล้วมาคุยกัน พี่ปุ๊กบอกว่าสงสัยว่าเราจะไปผิดที่ เพราะที่อ่านจากอินเทอร์เน็ตเขาบอกว่าต้องแยกออกจากถนนใหญ่ไป ๑ กม. แต่อันที่เราไปอยู่ริมถนนเลย

พอเรามาอ่านไกด์เที่ยวเชียงใหม่ทีหลัง ก็เป็นจริงอย่างที่พี่ปุ๊กว่า เพราะเขาบอกว่า สวนกล้วยไม้ที่พวกเราอยากไปชื่อสายน้ำผึ้งพิพิธภัณฑ์กล้วยไม้ไทย เป็นสวนกล้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ มีฟาร์มผีเสื้อและแมวไทยให้ดูด้วย แต่อันที่เราไปชื่อ แม่แรมออร์คิด มีสาธิตการปลูกกล้วยไม้และฟาร์มผีเสื้อ แต่ความจริงถนนสายแม่ริมนี้ก็มีฟาร์มกล้วยไม้อยู่อีกมากมายหลายแห่งที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม

ต่อจากฟาร์มก็ไปสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เขามีทั้งส่วนที่ทำเป็นเรือนกระจกอยู่หลายสิบหลัง และส่วนที่เป็นสวนกว้างๆ มีทางเดินให้ศึกษาธรรมชาติ ส่วนที่เป็นเรือนกระจก ปลูกพืชต่างๆ แยกตามพันธุ์และตามสถานที่ที่ปลูก เช่น เรือนพืชทนแล้ง (ก็มีพวกกระบองเพชร กุหลาบหิน ไม้ทนแล้งต่างๆ) เรือนป่าร้อนชื้น (ก็ทำเหมือนป่า เขาต้องสเปรย์น้ำออกมาตลอดให้มันชื้นๆ) เรือนที่มีบัวพันธุ์ต่างๆ กล้วยไม้พันธุ์ต่างๆ (มีรองเท้านารีอยู่หลายสีมาก) ดอกหน้าวัวพันธุ์ต่างๆ มีต้นไม้ที่เหมือนเป็นพุ่มๆ มีใบหนามๆ เหมือนสับปะรด แต่มีดอกสีต่างๆ ทรงต่างๆ

เราเดินดูอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังเดินไม่ทั่ว คิดว่าถ้าจะเดินให้หมดคงต้องใช้เวลาเป็นวันๆ ระหว่างเรือนกระจก เขาก็ปลูกต้นไม้ดอกไม้สวยงาม มีต้นไม้ประจำจังหวัดตั้งเรียงเป็นแถว เตี่ยกับแม่อุตส่าห์เดินดูหาต้นไม้ประจำจังหวัดสมุทรสงคราม เพราะไม่รู้ว่ามันคือต้นอะไร บอกว่า น่าจะเอาสมุดมาจดเผื่อเอาไว้ตอบคำถามรายการเกมเศรษฐี เราเห็นด้วยว่าต้องเอาสมุดมาจด เพราะทั้งๆ ที่หาต้นไม้ประจำจังหวัดสมุทรสงครามเจอแล้ว แต่ตอนนี้เราก็ลืมไปแล้วว่ามันคือต้นอะไร

ส่วนที่เป็นเส้นทางเดินเท้าที่จัดไว้ให้เดินศึกษาธรรมชาติ เขามีแบบใช้เวลาเดินประมาณครึ่งชั่วโมง, สี่สิบห้านาที, และหนึ่งถึงชั่วโมง แต่ด้วยเวลาจำกัด (และสังขารจำกัด) พวกเราก็เลยไม่ได้เดิน ออกจากสวนพฤษศาสตร์ก็เลยเที่ยงมาเยอะแล้วด้วย ก็เลยรีบคิดกันแต่ว่าจะหาอาหารกินกัน พี่หนิงจำได้เลาๆ ว่ามีร้านอาหารของบุญรอดบริวเวอร์รี่ แต่จำชื่อไม่ได้ โชคดีที่พี่หวินนึกขึ้นมาได้ว่ามีร้านอาหารอร่อยที่ถนนสายนี้ พอพาไปถึงพี่หนิงเห็นชื่อร้าน “โปงแยง แก่งดอย” ก็บอกทันทีว่า ร้านนี้แหละๆ อาหารรสชาติใช้ได้ แต่พนักงานที่มาบริการโต๊ะเราทำให้เราหงุดหงิดจนต้องออกปากบ่น ประมาณว่าขอถ้วยแบ่งก็เอามาให้ไม่ครบคน ตักข้าวไม่ครบคน ฯลฯ

กินอาหารเสร็จก็เห็นว่าคงจะไม่มีเวลาไปเที่ยวที่อื่นแล้ว ก็เลยเดินลงไปด้านล่างของร้านอาหารในส่วนที่เขาทำเป็นรีสอร์ท ไปดูวิวน้ำตก แอบชะโงกดูบ้านพัก เผื่อว่ามาคราวหน้าอาจจะมาพัก แต่มองไม่เห็นอะไร เดินยืดเส้นยืดสายแก้อิ่มอืดกันนิดหน่อยแล้วก็กลับ แวะที่แผงข้างทางที่ขายสตรอเบอร์รี่ตามที่ตั้งใจ แต่ไม่ได้ซื้อ เพราะลูกไม่สวย มีให้เลือกน้อย ประมาณว่าเรามาเย็นเกินไป คนอื่นเขาเลือกซื้อกันไปหมดแล้วตั้งแต่เช้า แม่ค้าบอกว่าช่วงนี้ยังเป็นต้นฤดูอยู่ ยังออกไม่มาก ให้รออีกสักเดือนหนึ่งจะเยอะกว่าและราคาถูกกว่ามาก

นั่งรถย้อนกลับเข้าไปในตัวเมืองเชียงใหม่ ไปแวะซื้อของฝากที่ตลาดวโรรส (ซึ่งจะเปิดถึงแค่ประมาณห้าโมงเย็น) เขาขายพวกของกินต่างๆ อย่างแหนม หมูยอ น้ำพริกหนุ่ม แค็บหมู ลำไยแห้ง ฯลฯ ซื้อของเสร็จแล้วก็พาพี่หนิงกับพี่หญิงไปส่งที่สนามบิน แล้วก็กลับมาที่ตลาดโต้รุ่งใกล้ๆ ไนท์บาร์ซาร์ เพราะคิดกันว่าจะกินมื้อเย็นกันก่อนแล้วค่อยกลับโรงแรม พี่หวินพาพวกเรามาส่งแล้วตัวแกก็วนรถออกไปที่อื่นเพราะไม่มีที่จอดรอ

ความที่ยังเร็วเกินไปที่จะกินข้าว ก็เลยว่าจะเดินเล่นกันก่อน แต่แม่พี่ปุ๊กจะไม่เดิน พอดีมีคนตั้งเต็นท์รับนวดเท้า แม่พี่ปุ๊กก็เลยบอกว่าจะไปให้เขานวดซักชั่วโมงหนึ่ง (ชั่วโมงละ ๑๕๐ บาท) พวกเราที่เหลือก็เดินไปเรื่อยๆ จากตลาดโต้รุ่งไปถึงไนท์บาร์ซาร์ ตามถนนมีคนมาตั้งแผงขายของตลอดแนวถนน ของที่ขายก็คล้ายๆ กันไปหมด ในไนท์บาร์ซาร์ชั้นล่างมีคนรับวาดภาพเหมือนเยอะแยะ ก็วาดภาพคล้ายๆ กันไปหมด ภาพคนแก่ชาวเขาหน้าเหี่ยวย่น ภาพเด็กชาวเขา ภาพ Mysterious Eyes (คิดว่าชื่อนี้นะ) ของผู้หญิงตะวันออกกลางตาสีเขียวที่เคยลงปก National Geography ประมาณว่าเป็นภาพโชว์เต๊ง (strength)

เดินดูโน่นดูนี่จนเมื่อยแล้วก็เลยเดินกลับมาที่ตลาดโต้รุ่ง แม่พี่ปุ๊กยังนวดไม่เสร็จ ก็เลยนั่งรอ นั่งๆ อยู่พี่ปุ๊กก็เลยไปนวดด้วย แล้วคนอื่นๆ ก็ทยอยไปนั่งให้นวดกันหมดจนเหลือแต่เตี่ย-เรา-เก๋ ตอนหลังเตี่ยโดนคะยั้นคะยอหนักๆ เข้าก็ไปนวดมั่ง เจอพวกเรากลุ่มเดียวหมอนวดหมดเลย ตอนแรกเราก็จะไม่นวดแล้วเพราะไม่มีหมอนวดแล้ว แต่พอดีเขานวดลูกค้าคนอื่นเสร็จ เราก็เลยไปนวดมั่ง แล้วสุดท้ายเก๋ก็โดนคะยั้นคะยอให้ไปนวดด้วย สรุปว่านวดเท้ากันคนละครึ่งชั่วโมง (เต่จะบอกว่าเรานวดแล้ว ไม่รู้สึกว่าสบายคลายเมื่อยซักเท่าไหร่เลยอ่ะ)

นวดเสร็จก็ไปกินบะหมี่ข้าวซอยที่ร้านใกล้ๆ เต็นท์นวดเท้านั่นแหละ เตี่ยกับแม่ไม่ชอบบะหมี่แห้งของเขาเพราะใส่ซีอิ้วหวาน แต่เราเฉยๆ ก็กินได้ (ลิ้นจระเข้ก็ดีแบบนี้แหละ) กินโน่นกินนี่กันอีกคนละอย่างสองอย่าง เสร็จแล้วก็โทรเรียกพี่หวินให้มารับ กลับมาถึงโรงแรม ก็ต้องทยอยขนของที่ซื้อออกมาจากรถ จ่ายเงินค่ารถให้พี่หวิน แล้วก็แยกย้ายกันเข้าห้องพัก เราเรียกให้เก๋แวะมาที่ห้องแม่แป๊บหนึ่งก่อน เพราะมีของของแม่ที่ต้องแบ่งกัน แต่เก๋ไม่ไปบอกว่าจะรีบไปอาบน้ำให้ไอโกะก่อน เราว่าคนที่เป็นแม่นี่ priority มันเปลี่ยนไปทันที จะให้ความสำคัญกับลูกมากที่สุดเลย

เราไปย้ายกระเป๋าจากห้องเตี่ยกับแม่มาที่ห้องเก๋ เพราะคืนนี้เหลือแค่ ๘ คน ยังไม่ทันได้ทำอะไรพี่ปุ๊กก็มาชวนไปจ่ายค่าเตียงเสริมกับค่ารถตู้ไปส่งสนามบินตอนเช้าวันรุ่งขึ้น แล้วก็บอกเรื่องอาหารเช้าว่าจะให้เขาทำเป็นข้าวกล่องให้ ตอนแรกก็กลัวว่าเขาจะไม่มีช้อนพลาสติกให้ (เพราะวันแรกที่เราซื้อข้าวไปกินที่น้ำตก เราลืมขอช้อนพลาสติกจากร้าน ต้องใช้ช้อนกาแฟพลาสติกที่การบินไทยแจกพร้อมอาหารบนเครื่อง ทุลักทุเลน่าดู) แต่พนักงานยืนยันว่าจะหาให้

จ่ายเงินเสร็จก็กลับมาเก็บของ จะอาบน้ำก็ปรากฏว่าพี่ปุ๊กกลับมาใหม่บอกว่า อาบน้ำไม่ได้ น้ำไม่ไหล โทรไปถามเจ้าหน้าที่เขาบอกว่าน้ำหมด เดี๋ยวถ้ามีน้ำแล้วจะโทรมาบอก เรากับพี่ปุ๊กก็เลยช่วยกันคิดค่าใช้จ่าย ความที่ออกเงินกันไปหลายคน ต่างกรรมต่างวาระกัน กว่าจะสรุปได้ว่าใครต้องจ่ายเพิ่มเท่าไหร่ ใครต้องได้เงินคืนเท่าไหร่ ก็เล่นเอางงกันไปพักใหญ่ ต้องใช้สามัญวิศวกรถึง ๒ คนในการทำให้ค่าใช้จ่ายลงตัว

พูดเรื่องที่พักที่เก๊าไม้หน่อย เราว่าโดยรวมๆ ก็ดูโอเค แต่ไม่คิดว่าจะมาพักอีก เพราะไม่ค่อยอินกับบรรยากาศเก่าๆ แอนทีคซักเท่าไหร่ ประกอบกับรู้สึกว่าเขาไม่ค่อยดูแลสถานที่ให้ดี เช่นว่า ไฟตรงทางเดินระหว่างอาคารไม่ค่อยสว่าง การจัดการไม่ค่อยดี (ปล่อยให้น้ำหมด แขกมาพักไม่มีน้ำอาบได้ไง) เก๋ก็บอกด้วยว่าดูๆ อีกทีที่พักก็ค่อนข้างน่ากลัว เขาบอกว่าห้องพักมีคนพักเต็ม แต่พวกเราเดินผ่านตามห้องๆ ก็ไฟมืดตื๋อ เหมือนไม่มีคน แล้วตอนกลางคืนไอโกะมันก็กลัว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบรรยากาศหรือเพราะเขาเอาของเก่าๆ มาเป็นของใช้และของตกแต่ง ไอโกะร้องไห้เสียงดังมาก (จนแม่พี่ปุ๊กยังได้ยิน) จนพี่เธียรมาบอกทีหลังว่า ถ้าขับรถมาเอง คงขับรถไปหาที่นอนที่อื่นแล้ว

--ดูรูปวันที่ ๔--

วันที่ ๕ วันจันทร์ ๒๙ พฤศจิกา รถตู้มารับไปสนามบินหกโมงสิบห้า สายการบินแอร์เอเชียบอกให้เราต้องไปถึงสนามบินก่อน ๔๕ นาที คนเยอะอีกตามเคย เช็คอินเสร็จก็ไปนั่งรอขึ้นเครื่อง ตอนแรกว่าจะกินข้าวกล่องบนเครื่อง แต่เกรงว่ากลิ่นกะเพราหมูจะขจรขจายเกินไปก็เลยนั่งกินกันที่หน้าเกทแบบไม่เกรงสายตาใคร กินเสร็จก็พอดีเขาเรียกขึ้นเครื่อง

เขาให้ผู้สูงอายุกับคนที่เดินทางกับเด็กขึ้นได้ก่อน เราเลยส่งแม่พี่ปุ๊ก เตี่ยแม่เรา และครอบครัวไอโกะขึ้นไปก่อน ส่วนเรา-พี่ปุ๊ก-เก๋รอจนคนอื่นๆ ที่ยืนออเป็นแถวตอนเรียงปึกอยู่หน้าเกทเข้าไปจนหมดแล้วถึงได้เข้าไป ความที่เป็นโลว์คอสแอร์ไลน์ ไม่มีการระบุที่นั่ง เราบอกให้แม่ไอโกะจองที่ให้ด้วย แต่ไม่แน่ใจว่าได้ยินหรือเปล่า ว่าจะโทรไปบอกก็ดันไม่มีสัญญาณ แต่โชคดีที่แม่ไอโกะยังสติดี ก็เลยจองที่ไว้ให้พวกเราที่ตามไปทีหลังด้วย เครื่องไม่ดีเลย์ถึงสนามบินดอนเมือง รับกระเป๋าแล้วก็แยกย้ายกันกลับ เป็นอันจบทริปเชียงรายเชียงใหม่ด้วยดี

สรุปค่าใช้จ่าย:
ตั๋วเครื่องบินขาไป การบินไทย ๒,๓๙๕ บาท
ตั๋วเครื่องบินขากลับ แอร์เอเชีย ๑,๓๓๘ บาท
ค่ารถตู้วันละ ๑,๕๐๐ บาท
ค่าที่พักที่สวนทิพย์วนา เชียงราย คืนละ ๓,๓๐๐ บาท (เตียงเสริม ๙๐๐ บาท)
ค่าที่พักที่อุทยานดอยอินทนนท์ เชียงใหม่ บ้านใหญ่ ๗ คน ๓,๐๐๐ บาท บ้านเล็ก ๓ คน ๑,๐๐๐ บาท
ค่าที่พักที่เก๊าไม้ล้านนา เชียงใหม่ (กม. ๒๙) คืนละ ๑,๖๕๐ บาท (เตียงเสริม ๖๐๐ บาท)
ค่ารถตู้สนามบิน ๕๐๐ บาท
ค่าอาหารและใช้จ่ายอื่นๆ จิปาถะ ๑,๐๐๐ บาท
รวมค่าใช้จ่ายต่อคนประมาณ ๙,๒๐๐ บาท