Murphy's Law
เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เป็นอาทิตย์ของการสอบปลายภาค ก็เลยหายหัวไป พยายามเอาหัวไปหมกอยู่ใต้ตำรา ด้วยความหวังว่าความรู้จากหนังสือจะออสโมซิสเข้าไปในสมองผุๆของเรา ปรากฏว่าไม่สำเร็จ สงสัยกะโหลกจะหนาไปหน่อย… เรามีสอบวันจันทร์ วันอังคาร วันพฤหัสบดี อ่าน ๒ วิชาแรกที่สอบวันจันทร์กับวันอังคารตอนช่วงเสาร์อาทิตย์ แล้วก็กะว่าจะลางานอีกซักวันหนึ่งเพื่ออ่านวิชาที่สอบวันพฤหัสบดี คาดว่าจะสามารถเอาตัวรอดไปได้อีกหนึ่งเทอม

หลังจากการวางแผนคร่าวๆ แล้วก็คิดว่า ลางานวันพุธ เหมาะที่สุด เพราะที่ทำงานกับที่ที่เราเรียนอยู่ใกล้กัน แต่ว่าไกลจากบ้านเรามาก ถ้าลางานวันที่มีการสอบ ก็จะต้องขับรถออกจากบ้านมาสอบอยู่ดี เปลืองน้ำมันเปล่าๆ สู้ลางานวันที่ไม่มีการสอบดีกว่า จะได้นอนอยู่บ้านอ่านหนังสือสบายใจเฉิบ แถมเพื่อความไม่ประมาท ลาก่อนล่วงหน้าวันหนึ่ง ถ้าจวนตัวอ่านไม่จบจริงๆ ยังมาแอบๆ อ่านต่อที่ที่ทำงานได้ด้วย วางแผนไว้ดีขนาดนั้นเลย

คืนวันอังคารออกจากห้องสอบวิชา Business ก็อย่างที่บ่นไปแล้ว ตายๆๆๆๆ ลูกเดียว กลับมาถึงบ้านก็ซึมไปเลย ไม่เคยทำข้อสอบแล้วรู้สึกล้มเหลวขนาดนี้มาก่อน ประมาณว่ามีข้อสอบคำนวณ ที่แทนค่าตามสูตรก็ได้คำตอบเลย แต่นิจวรรณไม่รู้ว่ามีสูตรนี้อยู่อ่ะ แต่ในที่สุดคิดได้ว่าอะไรที่ผ่านไปแล้วก็เอากลับมาไม่ได้ ชีวิตไม่ใช่ Word Processor หรือ Program จะได้มีการ Undo กลับไป สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ต้องยอมรับผลของมัน แก้ไขเท่าที่โอกาสอำนวย ถ้าแก้ไม่ได้ ก็จำเอาไว้ว่าอย่าทำผิดซ้ำ แล้วก็เริ่มทำสิ่งใหม่ๆ ให้ดีที่สุด

คิดได้ดังนั้นแล้วก็เลยว่าจะตั้งใจอ่านหนังสือซะเลย ก็เอาชีททั้งหมดที่อาจารย์แจกออกมากอง สมุดเล็คเชอร์อยู่ตรงโน้น อ้าว.. เฮ้ย.. หนังสือหายไปไหน เดินหาทั่วบ้าน หาไม่เจอๆ มองโลกในแง่ดีหน่อย สงสัยลืมไว้ในรถ ก็เดินลงไปดูที่รถ (ตอนนั้นเที่ยงคืนแล้วนะ) หาทั่วรถเลย ไม่มีอีก โอ๊ย… หนังสือหายไปไหนฟะ นึกๆ นึกๆ ต้องลืมไว้ที่ห้องเรียนแน่ๆ เลย เราเรียนครั้งสุดท้ายวันเสาร์ จำได้ว่าหยิบหนังสือออกมาดูว่า เรื่องสุดท้ายที่อาจารย์สอนมีอยู่ในหนังสือหรือเปล่า ทำไงดีล่ะทีนี้ อุตส่าห์คิดว่าวางแผนอย่างดีแล้วเชียว นึกถึง Murphy's Law ขึ้นมาทันที เฮ้อ… If anything can go wrong, it will.

จำไม่ได้แล้วว่าได้ยินเกี่ยวกับ Murphy's Law ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าได้ยินปุ๊บก็ปิ๊งเลย รู้สึกว่า คนอะไรช่างมองโลกได้ประชดประชันขนาดนี้ บางคนว่าเมอร์ฟี่เป็นคนมองโลกในแง่ร้าย แต่ที่จริงแล้วน่าจะเป็นคนที่มองโลกโดยไม่ประมาทมากกว่า เรากลายเป็นคนนิยมเมอร์ฟี่ (Murphyism) เพราะว่ามันทำให้เราไม่หงุดหงิดมากเกินไปเวลาเกิดอะไรห่วยๆ ขึ้นกับชีวิตของเรา อย่างการลืมหนังสือในวันที่เราต้องการมากที่สุดเนี่ย เป็นเมื่อก่อนคงเซ็งสุดๆ แต่พอนึกถึง Murphy's Law ได้ ก็แบบว่า นี่แหละ อะไรๆ มันก็มีโอกาสผิดพลาดกันได้ ผิดแล้วก็ต้องแก้ไขไปตามสถานการณ์ พอวันพุธเราก็เลยต้องตะกายออกจากบ้านมาเอาหนังสือคืน โชคชะตาก็ยังไม่ทำร้ายเรามากเกินไป เพราะหนังสือที่ลืมไว้มีคนเก็บไว้ให้ มีเวลาอ่านหนังสือน้อยลงไปหน่อยหนึ่ง แต่ก็ OK

มาพูดเรื่อง Murphy's Law หน่อยดีกว่า กฏของเมอร์ฟี่ ที่ดังที่สุดก็คือ อันที่เราพูดถึงไปแล้ว คือ If anything can go wrong, it will (อะไรก็ตามสามารถเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ มันก็มักจะเกิดความผิดพลาดขึ้น) ซึ่งว่ากันว่าเป็นคำพูดที่ Ed Murphy อุทานออกมาด้วยความเหลืออด ในระหว่างที่เขาเป็นวิศวกรในโครงการทดลองวิจัยเกี่ยวกับการชน (Experimental Crash Research Testing) ซึ่งเป็นโครงการของกองทัพอากาศของสหรัฐ ในปี ๑๙๔๙ เพราะช่างเทคนิคที่เป็นคนบัดกรีตัวทรานซดิวเซอร์เข้ากับแผงวงจรมักจะต่อวงจรผิดอยู่เสมอ

George Nicholas ซึ่งทำงานร่วมกับ Murphy (ตอนหลังมาเป็นวิศวกรให้กับ NASA) เลยเรียกคำพูดประโยคนั้นว่าเป็น "Murphy's Law" ต่อมาหัวหน้าของโครงการที่ Murphy ทำ ได้พูดในการแถลงการณ์เกี่ยวกับโปรเจ็คต์ว่า การที่โครงการของเขามีประวัติอันดีเยี่ยมในด้านความปลอดภัย ก็เนื่องมาจากความเชื่อมั่นในกฏของเมอร์ฟี่และการทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หลังจากนั้นไม่นาน บริษัทต่างๆ ก็เริ่มเอากฏของเมอร์ฟี่มาใช้ และกฏของเมอร์ฟี่ก็แพร่หลายออกไปทั่วอย่างรวดเร็ว มีการแตกกฏของเมอร์ฟี่ออกไปเป็นหลายรูปแบบ

แต่ มีคนออกมาแย้ง (ชื่อ Dr. Karl) ว่าจริงๆ แล้ว คำพูดที่ว่า "If anything can go wrong, it will" ไม่ใช่กฏของเมอร์ฟี่ แต่เป็นกฏของ Finagle ตะหาก คำพูดที่ Murphy พูดจริงๆ แล้ว คือ "If there are two or more ways to do something and one of those results in a catastrophe, then someone will do it that way" เขาบอกว่า Finagle's Law เป็นการมองโลกในแง่ร้าย และยอมจำนนกับความผิดพลาดโดยไม่คิดทำอะไรกับมัน ในขณะที่ Murphy's Law เป็นการเตือนสติและแนะนำไม่ให้เกิดความผิดพลาด

Dr. Karl บอกว่า การที่เมอร์ฟี่บอกว่า "การทำสิ่งใดๆ ก็ตาม ถ้ามีวิธีทำได้ ๒ วิธี และหนึ่งใน ๒ วิธีนั้นจะนำไปสู่หายนะ จะมีคนบางคนก็จะทำวิธีที่ไปสู่หายนะ" เป็นการเตือนสติว่า ถ้าเราไม่อยากให้เกิดหายนะขึ้น จงอย่าทำให้มันมี ๒ วิธี หรือ ทำให้ ๒ วิธีไม่มีความแตกต่าง เช่น ปลั๊กไฟ หรือ กุญแจรถยนต์ มันไม่แตกต่างว่าเราจะเอาด้านไหนขึ้น ด้านไหนลง แต่ ถ้าเป็นกุญแจบ้าน เราจะต้องเอาด้านที่เรียบขึ้น ด้านที่มีร่องๆ หยักๆ ลง จะพบว่า ๕๐% ของการหยิบกุญแจขึ้นมาไข เราจะหยิบผิดด้าน การเสียบกุญแจผิดด้านไม่ทำให้เกิดหายนะ แต่ลองนึกภาพการต่อวงจรไฟฟ้าขนาดหมื่นโวลต์ดู เราคงไม่อยากให้มีการต่อวงจรได้ ๒ วิธี โดยหนึ่งใน ๒ วิธีเป็นวิธีที่ผิดแน่ๆ เลย

ไม่ว่าจะเป็น Finagle's Law หรือ Murphy's Law ไม่ว่าจะเป็นการยอมจำนนหรือการเตือนสติ เราว่า กฏของเมอร์ฟี่ (หรือกฏของฟินาเกิล) และกฏอื่นๆ ที่แตกหน่อออกมามากมาย เป็นเรื่องน่าบันเทิงสำหรับคนขี้บ่นและขี้ประชดอย่างเรา เพราะถ้าลองอ่านๆ ดูแล้วก็จะรู้ว่า เรื่องที่เราหงุดหงิดและรู้สึกรำคาญใจ แต่คิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยเกินกว่าจะบ่นออกมาดังๆ ได้มีคนสังเกตเห็นและบันทึกเอาไว้เป็นเรื่องเป็นราวเป็นกฎเป็นเกณฑ์อย่างดี

เราลอก Murphy's Law กับ Love Law มาจาก Murphy's Law Site มาให้อ่านเล่นๆ (มีกฏอื่นๆ อีก อย่างเช่น Tech Law, Computer Law, Commerce Law, Real Estate Law, etc สนใจก็คลิกไปอ่านต่อได้ที่นี่จ้ะ)

Murphy's Law

::If anything just cannot go wrong, it will anyway.::
สิ่งใดๆ ตามถึงมันจะไม่สามารถเกิดความผิดพลาดได้ มันก็จะเกิดความผิดพลาดขึ้นอยู่ดี
::Left to themselves, things tend to go from bad to worse.::
สิ่งใดๆ ก็ตาม ถ้าเราปล่อยมันไว้เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรกับมัน มักจะเปลี่ยนสถานะจากแย่เป็นแย่กว่า
::If everything seems to be going well, you have obviously overlooked something.::
ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนจะดำเนินไปได้ด้วยดี แสดงว่าเรากำลังมองข้าม (ข้อผิดพลาด) อะไรบางอย่างไป
::It is impossible to make anything foolproof because fools are so ingenious.::
อันนี้ชอบมาก แต่ขอไม่แปล เพราะไม่สามารถจริงๆ :P
::Nothing is as easy as it looks.::
ไม่มีอะไรง่ายอย่างที่เห็น
::Everything takes longer than you think.::
ทุกอย่างมักจะใช้เวลาทำนานกว่าที่คุณคิด (จำเอาไว้บอกเจ้านาย เวลามาเร่งให้เราทำงานให้เสร็จเร็วๆ)

Murphy's Love Law

::All the good ones are taken.::
คนดีๆ มักมีเจ้าของแล้ว... เฮ้อ :-(
::Brains x Beauty x Availability = Constant.::
สมอง x ความสวย (น่าจะรวมความหล่อด้วยมั้ง) x ความว่าง = ค่าคงที่
::Money can't buy love, but it sure gets you a great bargaining position.::
เงินซื้อความรักไม่ได้ แต่แน่นอนว่ามันสามารถทำให้คุณอยู่ในสถานะที่ต่อรองได้ดีขึ้น
::If it seems too good to be true, it probably is.::
ถ้าอะไรๆ ดูเหมือนกับว่าจะดีเกินกว่าที่จะเป็นจริงได้ มันอาจจะมันก็อาจจะดีเกินกว่าที่จะเป็นจริงได้ จริงๆ