Films
เรื่องนี้เขียนเสร็จตั้งแต่สองวันก่อน แต่เพิ่งเอามาแปะ เราเขียนเรื่องหนังบ่อยๆ ส่วนใหญ่ก็ตั้งชื่อว่า Movieๆ ตลอด วันนี้เปลี่ยนบรรยากาศเป็น Films มั่งละกัน :-)

โอเคเบตง

หนังของนนทรีย์ นิมิบุตร เราได้ดูหนังตัวอย่างของโอเคเบตงแล้วก็คิดว่าต้องไปดู ปรากกฎว่าก็เป็นหนังไทยที่ดีอีกเรื่องหนึ่งแต่ไม่ดีมากเท่าที่เราคาดไว้ (บอกแล้วว่าอย่าคาดหวังๆ แต่ก็ห้ามไม่ได้ซักที) เรื่องคร่าวๆ ก็คือเป็นเรื่องของพระหนุ่มที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อย่างสมถะตามแนวพระปฏิบัติแบบเคร่งมานาน (ประมาณว่าบวชตั้งแต่เป็นเณร) แต่ต้องสึกออกมาใช้ชีวิตทางโลกย์ เพราะโยมพี่สาวเสียชีวิตจากเหตุการณ์วางระเบิดรถไฟทางใต้ เหลือลูกสาวตัวเล็กไว้ให้พระรับผิดชอบดูแล

เรื่องราวก็เป็นความสัมพันธ์และการเรียนรู้ซึ่งกันและกันระหว่างทิดสึกใหม่กับหลานสาวและคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง การเลือกสถานที่อย่างเบตงที่มีคนมุสลิมอยู่เยอะ หรือการเลือกบ้านที่เป็นร้านตัดผมและมีคนใกล้ชิดเป็นสาวๆ หรือนักร้องคาเฟ่ ทำให้เกิดความแตกต่างอย่างชัดเจนกับชีวิตของทิดสึกใหม่ ทำให้เรื่องราวจะมีประเด็นดีเหมือนกัน แต่หนังก็แตกหน่อแตกกอไปจนไม่ได้พูดประเด็นไหนให้หนักแน่นโดนใจ

เราไม่ได้ดูเรื่อง นางนาค ที่ทำรายได้ถล่มทลายของผู้กำกับคนนี้ สำหรับ โอเคเบตง ก็เป็นหนังที่ดูสนุกแต่คงไม่มีทางทำเงินถล่มทลายแบบนางนาคแน่ๆ ความที่มีเด็กผู้หญิงเป็นตัวเด่นและเป็นหนังไทย ก็คงอดไม่ได้ที่จะเอาไปเทียบเคียงกับ แฟนฉัน ในด้านคุณภาพของหนังเราว่าก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเท่าไหร่ แต่เรื่องของความประทับใจจากการดู เราให้แฟนฉันชนะโอเคเบตง เพราะแฟนฉันเป็นเรื่องที่เราหรือคนดูกลุ่มหนึ่ง Relate ถึงได้มากกว่า เราดูโอเคเบตงไปก็สนุกนะ แต่เป็นการดูแบบ Observe แต่ดูแฟนฉัน ดูแบบรำลึกความหลัง ความประทับใจก็ต้องยกให้แฟนฉันมากกว่าเป็นธรรมดา

The Human Stain

เรื่องนี้ไปดูวันที่นัดกับเพื่อนลาดกระบัง ทำจากนิยายชื่อเดียวกับหนัง เป็นเรื่องของอาจารย์มหาวิทยาลัยชาวยิวที่ทุ่มเททำงานจนได้เป็นคณบดี ทำคุณประโยชน์ให้คณะและมหาวิทยาลัยมากมายแต่มาต้องเจอปัญหาทางการเมืองเอาตอนแก่ ในช่วงที่กระแส Political Correctness กำลังแรงก็เลยโดนยัดข้อหาเหยียดสีผิวเข้าให้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว (บังเอิญไปประชดเด็กนักเรียนที่โดดเรียนวิชาที่แกสอนว่า เป็น Spook คือ ผี หรือเปล่า เลยไม่มีตัวตนมาเข้าเรียนซักที ปรากฏว่าเด็กที่โดดเรียนเป็นเด็กผิวดำ คำว่า Spook เป็นแสลงเก่าแก่โบราณ เอาไว้เรียกดูถูกคนผิวดำด้วย) ชีวิตต่อจากนั้นก็เหมือนลงเหว เมียรู้ข่าวเรื่องปัญหาที่ทำงานหัวใจวายตาย ตัวอาจารย์ลาออกจากงาน ชีวิตเศร้าโศกไร้ความหวัง

เรื่องนี้มีดาราดังๆ เล่นเยอะ Anthony Hopkins เล่นเป็นอาจารย์ (ตอนนี้ท่านเซอร์เล่นได้ไม่กี่บทแล้ว ไม่เป็นอาจารย์ก็เป็นฆาตกรโรคจิต เพราะคราวที่แล้วเล่นเป็น FBI Agent กับ Chris Rock – นึกชื่อหนังไม่ออก – ไม่ค่อยเวิร์กเท่าไหร่) Nichole Kidman เล่นเป็นผู้หญิงที่มามีความสัมพันธ์กับอาจารย์คนนี้ซึ่งอายุแก่คราวพ่อคราวปู่ Garry Sinise (ที่เคยเล่นเป็นทหารผู้บังคับบัญชาของฟอร์เรสต์ ใน ฟอร์เรสต์ กัมพ์) มาเล่นเป็นนักเขียนที่ได้มาค้นพบเรื่องราวชีวิตของอาจารย์ชาวยิวคนนี้ มี Ed Harris (คนนี้เล่นหนังเยอะแยะ แต่บทเด่นๆ ตอนนี้ที่เรานึกออก คือเขาเล่นเป็นทหารเยอรมันในเรื่อง Enemy at the Gate ที่มี Jude Law เล่นเป็นทหารสไนเปอร์ผีมือฉมังของรัสเซีย อ้อ อีกเรื่องหนึ่งก็ The Truman Show เขาเล่นเป็น Producer เจ้าของไอเดียที่จะทำรายการที่ถ่ายทอดชีวิตจริงของทรูแมน)

ตอนแรกๆ เราคิดว่าจะไม่ชอบหนังเรื่องนี้ซักเท่าไหร่ ดูหนังตัวอย่างเห็นนิโคลโป๊อยู่บนเตียงกับท่านเซอร์แล้วศีลธรรมเบี่ยงเบนยังไงชอบกล แต่กลายเป็นว่าหนังมีเรื่องราวและเซอร์ไพรส์กว่านั้น เพราะที่จริงแล้วหนังอีกครึ่งหนึ่ง (หรือมากกว่าครึ่งด้วยซ้ำ) เป็นชีวิตตั้งแต่สมัยที่อาจารย์คนนี้ยังหนุ่มๆ อยู่ พอหนังเล่าเรื่องไปซักพักหนึ่งเราถึงได้รู้ว่า เรื่องที่ก่อให้เกิดปัญหามรสุมทางชีวิตของอาจารย์คนนี้ (การที่อาจารย์จะไปดูถูกคนผิวสี) เป็นเรื่องที่ตลกและเป็นไปไม่ได้อย่างยิ่ง เพราะตัวอาจารย์ที่ตอนแรกเขาหลอกให้เราเข้าใจว่าเป็นยิวนั้น แกเป็นคนมาจากครอบครัวคนผิวดำตะหาก แต่เป็นครอบครัวเลือดผสม ตัวแกก็เลยเป็นคนผิวดำที่ดูไม่เหมือนคนผิวดำ

การเป็นคนเชื้อสายผิวดำที่ผิวไม่ดำสร้างปัญหาให้กับพระเอกของเรามากมาย ได้คบกับผู้หญิงจนถึงขั้นจะแต่งงานแต่พอพาผู้หญิงไปพบแม่ที่บ้าน ผู้หญิงรับไม่ได้ขึ้นมาซะเฉยๆ เพราะคาดไม่ถึงมาก่อน ผู้หญิงบอกเลิกกับเขาในวันนั้นทั้งน้ำตานองหน้า จะสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยด้วยทุนนักกีฬา อาจารย์ที่ปรึกษาที่มีเชื้อสายยิวก็บอกว่าอย่าเที่ยวไปบอกใครว่าตัวเองเป็นคนผิวดำ เพราะมหาวิทยาลัยอาจจะไม่อยากรับคนผิวดำ อาจารย์เป็นยิวลูกศิษย์ผิวไม่ดำคนเห็นเข้าใจว่าลูกศิษย์เป็นยิวไปก็โอเค ตอนหลังเขาก็ไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัยนั้นหรอก แต่ไปสมัครเป็นทหารเรือ ตอนสมัครก็คิดอยู่นานในที่สุดก็โกหกไปว่าเป็นคนผิวขาว (ตอนกรอกใบสมัครติ๊กในช่อง Race ว่าเป็น White ก็ไม่มีใครสงสัย)

หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตราวกับเป็นคนผิวขาว ไม่ติดต่อกับทางบ้านจนกระทั่งจะแต่งงานกับผู้หญิงผิวขาวอีกคนหนึ่งก็กลับไปหาแม่ จากประสบการณ์คราวแรกแม่ก็เลยถามว่าบอกผู้หญิงไปหรือยัง จะพาแฟนมาเจอแม่เมื่อไหร่ ลูกบอกว่าโกหกว่าพ่อแม่ตายไปแล้ว แม่โกรธและเสียใจมาก สุดท้ายเขาก็ตัดขาดจากครอบครัว ยึดมั่นกับการตัดสินใจ(คำโกหก)ของเขามาตลอด เขาไม่เคยเปิดเผยความลับนี้กับใครเลย แม้แต่กับภรรยาสุดที่รักที่แต่งงานกันมาหลายสิบปี หรือตอนที่ความลับของเขาจะกลายเป็นหลักฐานสำคัญในการปฏิเสธข้อหาเหยียดสีผิวได้อย่างง่ายดายที่สุด

เราดูหนังเรื่องนี้แล้วก็ติดๆ ในใจ คือ ตามกฏของเมนเดล ถ้าคนในตระกูลมีเลือดผสมระหว่างคนผิวขาวกับผิวดำ มันก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่ลูกคนใคคนหนึ่งจะเกิดมาดูเป็นคนขาวทั้งๆ ที่พ่อแม่พี่น้องดูเป็นคนผิวดำทั้งหมด แต่มันแปลกๆ ไง

The Lord of the Rings – The Return of the King

เรื่องนี้ดูต่อจาก The Human Stains ก็เลยทำให้ไปนัดกับเพื่อนที่ลาดกระบังสายไปหน่อย ดูรอบสามโมงยี่สิบกว่าจะเลิกก็ทุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นเวลานัดพอดี

ความจริงไม่ค่อยมีอะไรจะเล่ามากสำหรับเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าไม่ดีไม่ชอบหรือไม่สนุก ความจริงก็ดีก็สนุกและเป็นหนังที่ต้องดู (สำหรับคนที่ดูภาคหนึ่งภาคสองมาแล้ว เป็นการทำภาระกิจให้สำเร็จ โฟรโดมีภาระต้องเอาแหวนไปทำลาย เราก็มีภาระต้องดูหนังให้จบ 3 ภาค) แต่คิดว่าคนส่วนใหญ่คงได้ไปดูกันแล้ว และก็คงมีความเห็นเป็นการส่วนตัวไปเรียบร้อยแล้ว แต่ไหนๆ ไดอารี่วันนี้เป็นตอนของหนัง ก็เขียนถึงซะหน่อย

เราว่าภาคนี้ค่อนข้างจะสนุกน้อยไปนิดหนึ่ง (ความจริงถ้าเทียบกับความรู้สึกตอนเราดูภาคแรกก็อาจจะพอๆ กัน แต่ความที่อารมณ์ตอนภาคแรกนั้นมันไม่มี Benchmark ในความเท่ากัน ทฤษฎีสัมพันธภาพทำให้รู้สึกว่าภาคแรกสนุกกว่า) ตอนใกล้จบก็ยืดยาวอย่างไม่น่าจะเป็น (ตรงข้ามกับภาคแรก ที่จบแบบกระทันหันแบบไม่น่าจะเป็น) ความที่จุดพีคของหนังมีอยู่เป็นระยะๆ ตั้งแต่ตอนรบสองรอบสามรอบ ตอนทำลายแหวน พอตัดกลับมาเป็นฉากเรื่อยๆ มาเรียงๆ ที่ไชร์ ก็เลยรู้สึกว่าอะไรกันเนี่ย ยังไม่จบอีกเหรอ

จากที่เราได้ดูภาคแรกที่เอามาฉายซ้ำในยูบีซี เราก็ได้ตระหนักว่าพ่ออารากอร์นนี่ช่างเท่คมสมชายซะจริง ตอนที่ดูครั้งแรกในโรงหนังมัวแต่ไปตะลึงผมยาวสลวยสวยเก๋ของเลโกลาส เลยไม่ได้สังเกตความเท่มากกกของอารากอร์น พอมาภาคสุดท้ายนี้พระเอกของเราได้แสดงนำแบบเต็มภาคภูมิให้บรรดาแม่ยกทั้งหลายได้กรี๊ดสลบด้วยความถูกอกถูกใจ ไอ้เรื่องรบเก่งเป็นฮีโร่นี่เราก็ชอบ แต่เราประทับใจในความเป็นสุภาพบุรุษที่ยึดมั่นในความรักของพี่มากกว่า ตอนที่เอโอวีน (ซึ่งพยายามส่งซิกให้ท่ามาตั้งแต่ภาคสอง) เผยความในใจให้อารากอร์นรู้ พี่เขาปฏิเสธรักของสาวไปอย่างเด็ดเดี่ยวบอกว่า ที่น้องเอฯรักและหลงใหลมันเป็นแค่มายาและภาพลวงตานะจ๊ะ ใจของพี่ไปอยู่กับคนอื่นแล้วไม่สามารถจะตอบสนองรักน้องให้สมใจปองได้ โอ... แม่เจ้า เท่ซะ...

มีเรื่อง Spoil (ส่วนตัว) อันหนึ่งจากการที่น้องที่ออฟฟิศมาเล่าว่าไปอ่านกระทู้ในพันธ์ทิพย์ มีคนมาโพสต์คำถามเบี่ยงเบนเรื่องความสัมพันธ์ของแซมกับโฟรโด แบบว่าห่วงใยใกล้ชิดกันเกินเพื่อนหรือเปล่า พอระหว่างดูเราก็เลยดูไปจับผิดไปว่า แซมกับโฟรโดทำอะไรผิดสังเกตหรือเปล่า เฮ้อ...