Anniversary
วันนี้วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ อืมม์ สงสัยว่ามันสำคัญอะไรใช่มะ สำหรับคนอื่นมันก็คงเป็น just another day คือว่า วันนี้เป็นวันที่เราทำงานมาครบรอบ ๖ ปี!!! นานจังเลยเนอะ นึกๆ แล้วก็เหมือนเพิ่งจะเมื่อวานนี้เอง ที่เรายังเป็นเด็กน้อยหน้าใส งัวเงียตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์ เขาบอกว่า โทรมาจากบริษัทเอแอนด์บี (นามสมมติ อิอิ) จะรับเราเข้าทำงาน ให้เงินเดือนเท่านี้บาท (อืมม์ เงินเดือนเขาเป็นความลับอ่ะนะ พนักงานห้ามเอาไปโพนทะนาบอกใครๆ) เราตกลงไหม เริ่มงานได้วันที่ ๑ กุมภานี้ (เมื่อหกปีที่แล้ว) แหม... เพิ่งจะตื่นนอนมา งัวเงียขนาดนั้นจะไปตอบอะไรได้ ก็ได้แต่ “ค่ะ ค่ะ” พอวางโทรศัพท์ไปก็งงๆ ว่า เฮ้ย... เราได้งานแล้วเหรอ มันง่ายๆ แบบนี้เองเหรอ

ความจริงจะว่าไปแล้ว เราได้ทำงานที่บริษัทนี้ ก็เหมือนเป็นชะตาฟ้าลิขิต เพราะตอนที่เราเรียนจบมาใหม่ๆ ก็งงๆ อยู่ ไม่รู้จะไปสมัครงานที่ไหน สุ่มส่งใบสมัครงานไปที่ไหนก็เงียบหายเหมือนโยนหินลงบ่อ ไปลองคุยกับบริษัทที่เป็น Head Hunter เพราะได้ยินมาว่า คนที่เจ๋งๆ เขาไม่ต้องหางานเองหรอก จะมีคนอื่นหามาประเคนให้ แต่สงสัยเรายังไม่เจ๋งพอ เพราะบริษัท Head Hunter นั่นเขาก็จะกดเงินเดือนเราท่าเดียว จะให้เท่ากับเด็กจบปริญญาตรี เราก็อุตส่าห์บอกว่า ฉันมีปริญญาโทนะยะ เขาบอกว่า นั่นหละๆ แต่เธอไม่มีประสบการณ์ทำงานที่อื่นมาก่อนนี่นา ไอ้เราก็งงๆ ว่า ก็เธอไม่หางานให้ฉันทำ แล้วฉันจะมีประสบการณ์ได้ไง ไม่ให้โอกาสครั้งแรกฉันแล้วจะมีครั้งต่อๆ ไปได้ไง

แต่พระเจ้าก็ไม่ได้กลั่นแกล้งนางเอกตลอดไป (ก็เป็นเรื่องของเรา เราก็ต้องเป็นนางเอกสิ จะให้แมวที่ไหนเป็นนางเอกได้ เหอๆๆๆ) ส่งผู้ช่วยนางเอกมาชี้ทางสว่างให้เรา คือเราคุยกับพี่ปุ๊ก (รุ่นพี่ที่มาสนิทกันได้ไงไม่รู้ เพราะตอนแรกที่เจอกัน เรากลัวแกชิบเป๋งเลย เพราะแกโหดดดมากกก แต่ปรากฏว่ากลายเป็นคนที่มี Profile เหมือนเรามาก เรียนที่เดียวกันตั้งกะมัธยมจนปริญญาโท ตอนแรกๆ เราก็เรียนตามแก เพราะรุ่นน้อง ๑ ปี แต่ตอนหลังแกไปเรียนปริญญาโทตามเรา ตอนนี้ก็ทำงานในวงการเดียวกัน แต่อยู่คนละฝ่าย) อ้าว... เข้าวงเล็บไปซะ ๓ บท... ถึงไหนแล้วเนี่ย... อ๋อ พี่ปุ๊ก.. พี่ปุ๊กก็แนะนำว่า นี่นิจวรรณ ไปสมัครงานบริษัทนี้สิ ABI (นามสมมติอีกแล้ว อิอิ) บอกว่าเป็นบริษัทที่ทำงานออกแบบที่ตรงกับที่เราเรียนปริญญาโทมา ให้เบอร์โทรศัพท์มาเสร็จสรรพ เราก็ "อ๋อๆ” แล้วก็โทรไปขอที่อยู่ของบริษัท จัดการพิมพ์ CV (จบมาจากอังกฤษฮ่ะ เขาใช้ Curriculum Vitae ไม่ใช่ Resume) ส่งไปทางจดหมาย แล้วก็นอนตีพุงอยู่ที่บ้าน หัวใจเปี่ยมไปด้วยความหวัง

ผ่านไปพักหนึ่ง พี่สาวคนดีของเราก็ตัดโฆษณาจากหน้า Classified มาให้หลายแผ่น เราสแกนผ่านๆ “เฮ้ย… นี่มันบริษัทเดียวกับที่เราเพิ่งส่ง CV ไปนี่นา” อ่านรายละเอียดดู อืมม์ ต้องการรับวิศกร มีประสบการณ์ด้านการออกแบบ Power Plant อย่างน้อย ๑๐ ปี อะจ๊ากกกก… แล้วนี่เราประสบการณ์ ๐ ปี (อ่านว่า ศูนย์ปี) ยังจะมีหน้าจะส่ง CV ไปให้เขาอีกนะ ก็ตอนส่งไปเราไม่รู้ Requirement ของเขานี่นา แถมเราปล่อยไก่ไปตัวเบ้อเริ่ม ด้วยการจ่าหน้าซองจดหมายประมาณว่า To: Human Resource Department, ABI Co. Ltd. ก็พี่ปุ๊กบอกนี่นาว่าชื่อ “บริษัทเอบีไอ” แหม... ภาษาอังกฤษแน่นมากฮ่ะ แปลได้ๆ หารู้ไม่ว่า ABI มันเป็นตัวย่อสำหรับคนในวงการเขาเรียกกัน จริงๆ แล้วเขาชื่อ Alpha & Beta International (นามสมมติอีกแล้ว) เราดันใส่ Co. Ltd. ตามหลังไป มันเลยดูเชยยยยมาก นิจวรรณก็ทำใจเศร้า คิดว่าเขาคงไม่เรียกเราแน่ๆ เลย

แต่ก็อย่างที่บอกว่าชะตาฟ้าลิขิตว่ามันต้องทำงานที่นี่ เขาก็เรียกเราสัมภาษณ์ แล้วเราก็ได้งาน จากที่เราเคยไม่แน่ใจว่าจะทำงานให้เขาได้หรือเปล่า กลายเป็นทำงานไปตามหน้าที่ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต พอเผลอตัวอีกทีก็หกปีผ่านไป มีเพื่อนบางคนที่ไม่ติดต่อกับเรามานาน แล้วโทรมาหาเราที่ทำงาน แล้วทำเสียงประหลาดใจ “อ้าว ยังทำอยู่ที่นี่อีกเหรอ นึกว่าลาออกไปแล้ว ที่โทรมานี่แค่สุ่มๆ ดูนะเนี่ย” เราก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงได้ทำทนทำนานจนป่านนี้ (ไม่รู้ว่า “อยู่ทน” หรือ “ทนอยู่” กันแน่)

คนจะชอบบ่นเกี่ยวกับงานของตัวเองว่า งานไม่ดี น่าเบื่อ เงินเดือนน้อย งานมากเกินไป งานน้อยเกินไป สารพัดข้อเสียจะหามาบ่น แล้วก็จะอยากเปลี่ยนงานใหม่ ประมาณว่า “The grass next door is always greener” คือสนามหญ้าบ้านข้างๆ มักจะดูเขียวกว่าบ้านเรา (หรือความรู้สึกคล้ายๆ กันเวลาไปร้านอาหาร คือ “กับข้าวโต๊ะข้างๆ มักจะดูน่ากินกว่า” อันนี้ไม่รู้ว่าเป็นการบรรยายสถานะของความไม่พอใจในสภาพปัจจุบันหรือความตะกละกันแน่ บางทีอาจจะทั้งสองอย่าง) เราก็เคยผ่านช่วงที่รู้สึกอยากเปลี่ยนงานสุดๆ เหมือนกัน รู้สึกแย่มากๆ ถึงขนาดไม่อยากตื่นขึ้นมาตอนเช้า เพราะคิดว่า “ต้อง” ไปทำงาน รู้สึกเกลียดวันจันทร์ และดีใจสุดๆ เมื่อถึงบ่ายวันศุกร์ ร่ำๆ จะลาออกโดยที่ยังไม่ได้งานใหม่ แต่ใจไม่ด้านพอ (คิดว่าถ้าไม่มีงานทำก็คงทรมานพอกัน)

แต่สุดท้ายแล้วเราก็ไม่ได้ลาออก เพราะตอนที่อยากลาออกสุดๆ ก็เป็นช่วงที่งานหายากสุดๆ พอตอนที่ตลาดงานเริ่มจะดีขึ้น สิ่งที่เรารู้สึกว่าต้องทนในที่ทำงานมันก็ไม่ได้เกินทน จริงๆ แล้วเราชอบงานที่เราทำพอสมควร แต่เราเบื่อที่จะต้องทนกับสิ่งอื่นๆ ที่ไม่ใช่งานแต่มากับการทำงาน (เช่น นโยบายงี่เง่า การเมืองในบริษัท เพื่อนร่วมงานที่นิสัยไปด้วยกันไม่ได้ หรือแม้แต่ความรู้สึกว่าบริษัททำกับเราไม่แฟร์ ฯลฯ)

แต่จากช่วงอารมณ์สวิงของการอยากลาออก-ไม่อยากลาออก ทำให้เราได้คิดอะไรหลายๆ อย่าง เป็นต้นว่า เราไม่ควรคิดถึงแต่สิ่งตอบแทนที่เราจะได้จากการทำงานอย่างเดียว เพราะมันไม่เคยพออยู่แล้ว (ได้เงินเดือนขึ้นเท่าไรก็รู้สึกว่าน้อยไป ได้โบนัสกี่เดือนก็รู้สึกว่าไม่พอ วันลาพักร้อนก็น้อยไป สวัสดิการต่างๆ ก็ไม่ครอบคลุมความต้องการทั้งหมด) แต่เราควรจะต้องคิดถึงสิ่งที่เราได้ทำให้กับบริษัทด้วย เราก็ต้องไม่ลืมว่าจุดประสงค์ของการมีบริษัทก็คือเพื่อ “ทำกำไร” ไม่ใช่ “ทำให้พนักงานพอใจ” (การทำให้ “มนุษย์” พอใจได้ เป็นเรื่องยากมาก แล้วยิ่งมนุษย์หลายๆ คน ยิ่งเกือบจะเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ) ถ้าเราได้โน่นได้นี่มากมาย บริษัทเขาจะอยู่ได้อย่างไร

พอมองตรงนี้ออกแล้วเราก็จะเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างดีขึ้น กลายเป็นว่า พอเรารู้สึกว่าเราต้องทนกับงานของเรามากเกินไป (นับเป็นส่วนหนึ่งที่เรา “ทำ” ให้กับบริษัทเหมือนกัน) เราก็เอา Contribution กับ Reward มาขึ้นตาชั่ง ถ้ายังรู้สึกว่าข้าง Reward มันยังหนักกว่า เราก็ว่ามันคุ้มที่จะทนต่อไป แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ด้าน Contribution มันถ่วงลงมามาก ก็ถึงเวลาที่จะเดินเข้าไปคุยกับเจ้านาย ส่วนจะเข้าไปคุยว่าอะไรนี่ก็แล้วแต่สถานการณ์นะ อย่างที่ผ่านๆ มาเราก็แค่เข้าไปบ่นว่า “นี่ๆ ฉันว่าบริษัทน่าจะ appreciate กับสิ่งที่ฉันทำมากกว่านี้นะ” ซึ่งบางทีก็ได้ผล (คือเราได้รับการตอบแทนที่ดีขึ้น แต่คนอื่นเขากลับมองว่าเป็นเรื่องแปลกนะ ที่จะไปเรียกร้องอะไรๆ จากหัวหน้างาน ส่วนใหญ่เขาจะเลือกที่จะบ่นๆ กับเพื่อนร่วมงานว่าบริษัทไม่ยุติธรรม ทำกับเขาไม่ดีพอ แล้วก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เพราะเราก็ทำอะไรให้เขาไม่ได้) แต่บางทีก็ไม่ได้ผล ได้แต่ข้อแก้ตัวว่า บริษัททำให้ได้แค่นี้ แต่ถ้าสถานการณ์มันเกินทนจริงๆ คงไม่เข้าไปคุยอะไรมากไปกว่า บอกว่า “ฉันจะไปแล้วนะ” (I quit!! I quit!! )

ทำงานมาถึงวันนี้ บางทีเราคิดเสียดายอยู่หน่อยๆ เหมือนกันว่า เราทำงานมันอยู่ที่เดียวมาหกปี ไม่มีความก้าวหน้า ไม่มีความเปลี่ยนแปลง ไม่มีประสบการณ์ที่แตกต่าง ไม่ได้รู้ว่าที่อื่นๆ เขาทำงานกันยังไง แต่ว่าตอนนี้ก็ยังไม่อยู่ในอารมณ์อยากจะหางานใหม่หรอกนะ (ที่จริงตอนปลายปีที่แล้วก็มีแวบๆ เหมือนกัน ว่าอยากหางานใหม่ แต่สุดท้ายก็ยังหาไม้ขอนใหม่ไม่ได้) เอาเป็นว่าตอนนี้ แทนที่จะสะสมประสบการณ์การทำงานหลายๆ ที่ ก็เปลี่ยนเป็นแนวแบบว่าสร้างสถิติ “ทำงานที่เดียวได้อึดที่สุด” ก็ดีเหมือนกันนะ