Daily Expenses
วันนี้วันดี วันที่ ๒ เดือน ๒ ปีค.ศ. ๒๐๐๒ ตะแรกว่าจะไม่เขียนอะไร แต่เห็นว่าเลขสวยดี เลยต้องมาบันทึกไว้ซักกะหน่อย แบบว่าเก็บเป็นไฟล์ชื่อ 020202.html ไง

อาทิตย์ก่อนเราไปรื้อตู้หนังสือ หานิตยสารเก่าๆ สมัยที่เรียนอยู่ที่อังกฤษ ก็เลยได้ไปเจอสิ่งที่ไม่คาดคิด ไม่ใช่ฝุ่นเต็มตู้หรอกนะ แต่เป็นสมุดบันทึกรายรับรายจ่ายสมัยยังเรียนหนังสือ เราจำไม่ได้ว่าเริ่มบันทึกรายรับรายจ่ายเมื่อไหร่ คงประมาณม. ๓ ม. ๔ อะไรทำนองนั้นหละมั้ง จริงๆ แล้วไม่รู้ด้วยว่าทำไปทำไม ตอนสมัยยังเรียนเราได้ค่าขนมเป็นรายอาทิตย์ แล้วตอนหลังก็เป็นรายเดือน แม่ก็กะๆ เอาว่าได้เท่านี้น่าจะพอ แต่ก็ไม่ได้มาจ้ำจี้จ้ำไชว่า เราเอาไปใช้อะไรเท่าไหร่

เราเปิดสมุดที่เราจดไว้แล้วต้องตกใจ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าสมัยก่อนโน้น เราทำแบบนั้นได้ไง เราจดรายละเอียดของการใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ (ที่จริงทุก ๒๕ สตางค์มากกว่า) ทุกวัน ไล่ไปเรื่อยเลย ค่ารถเมล์เท่านั้นบาท ค่าข้าวเท่านี้บาท น้ำส้ม น้ำองุ่น บ้าบออะไรจดหมด เฮ้อ...

นอกจากจะประหลาดใจกับความเป็นแม่ละเอียดของตัวเองแล้ว ยังมีเรื่องที่น่าประหลาดใจอีก... สมัยนั้นปี ๒๕๓๑ ข้าวหมูแดง ก๋วยเตี๋ยว แค่ ๑๐ บาทเองอ่ะ เราเข้าใจแล้ว ว่าทำไมแม่ถึงบ่นอยู่บ่อยๆ ว่า ข้าวของเดี๋ยวนี้มันแพง เราว่าเวลาคนพูดว่า ก๋วยเตี๋ยวชามละ ๒๐-๒๕ บาท เราก็ว่าธรรมดาหนิ คือ จำไม่ได้อ่ะ ว่าเมื่อก่อนมัน ๑๐ บาทเอง ตอนที่เขาขึ้นราคาแรกๆ (ทีละ ๓-๕ บาท) เราก็รู้สึกว่าแพงหรอก แต่พอเผลอแผล็บเดียวเราก็ชิน แล้วก็ลืมไป จะว่าไปเราก็เหมือนเป็นคนไม่ค่อยรู้คุณค่าของเงินนะ คือไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ว่าอะไรมันถูก มันแพง รู้แต่ว่าถ้ามันเป็นสิ่งที่ต้องซื้อ ก็ต้องซื้อ และถ้าตราบใดที่เรายังหาเงินมาซื้อได้ก็ยังไม่ต้องเดือดร้อน

อีกอันที่ประหลาดใจ คือ ค่าตั๋วหนัง สมัยนั้นที่เราดูก็แค่ ๒๐-๓๐ บาทเอง (แบบว่าประหยัดอ่ะนะ ดูแถวหน้าๆ สุดตลอด) สมัยนี้ ๘๐-๑๐๐ บาทแน่ะ ถ้าเทียบกับราคาสมัยก่อนก็ว่าแพง แต่ถ้าเทียบคุณภาพของโรงด้วย เราว่าก็ไม่ค่อยแพงเท่าไหร่ เพราะโรงสมัยนี้ ใหม่ๆ เก้าอี้ก็ใหม่ เครื่องเสียงก็ดี ความจริงราคาตั๋วหนังเนี่ย เราไม่ค่อยรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ เพราะช่วงที่เปลี่ยนเป็นช่วงที่เราไปเรียนต่อพอดี ค่าดูหนังที่อังกฤษสมัยนั้น ถ้าเมืองบ้านนอกๆ อย่างที่เราไปอยู่ ก็ ๓-๔ ปอนด์ แต่ถ้าในลอนดอนก็แพงเป็น ๒ เท่า คูณด้วย ๔๐ บาทเข้าไป (สมัยค่าเงินยังไม่ลอยตัว) อืมม์ ไม่คูณดีกว่า เดี๋ยวดูหนังไม่สนุก (อิอิ) พอเรากลับมาเจอค่าตั๋ว ๑๐๐ บาททุกที่นั่งก็เลยเฉยๆ

เราจำไม่ได้ว่า เราเลิกจดบันทึกค่าใช้จ่ายประจำวันไปเมื่อไหร่ น่าจะเป็นตอนที่เริ่มทำงานแล้ว เพราะตอนที่เรียนที่อังกฤษเราก็ยังจดอยู่ (มีสมุดเป็นเล่มๆ เลย นี่ก็เอาไปซ่อนอยู่ เพราะกลัวแม่เอามารวมแล้วเอาคิดบัญชีกับเรา อิอิ) คิดไม่ออกเหมือนกันว่า ทำไมอยู่ๆ ถึงเลิกไป เดาเอาว่าพอเราหางานทำ มีเงินเดือนเองแล้วเลยคงจะซ่า คิดว่าไม่ต้องจดไม่ต้องบันทึกอะไรแล้ว เพราะเป็นเงินของเราเองไม่ต้องแบมือขอแม่ ปรากฏว่าเป็นความคิดที่ผิดมากๆ เพราะตอนนี้มานึกๆ ย้อนดู จากการทำงานมา ๖ ปี เรามีเงินเก็บน้อยมาก แล้วเราก็นึกไม่ออกว่า เราใช้เงินไปตรงไหนบ้าง นี่ถ้าจดไว้ก็คงกลับไปไล่ได้ ว่าหายไปตรงไหน (แล้วที่จริงถ้าจดๆ ทุกวัน ตอนที่เราเขียนลงไปในสมุด เราก็จะสำนึกได้ว่า เราใช้เงินไปกับของงี่เง่า แล้วก็จะไม่ทำซ้ำอีก เป็นการเตือนสติตัวเองอีกทางหนึ่ง) นึกได้แบบนี้ เราก็เลยตั้งใจกลับมาเป็นแม่ละเอียดใหม่ เริ่มกลับมาจดบันทึกว่าวันๆ หนึ่งใช้เงินอะไรเท่าไหร่ เริ่มมาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว ลองดูซิว่าจะทำได้นานเท่าไหร่