Achilles Heel
เมื่ออาทิตย์ก่อนโน้นอ่านหนังสือเรื่อง “ปีศาจ” ของ “เสนีย์ เสาว์พงศ์” จบแล้ว เราซื้อหนังสือเล่มนี้มานานแล้ว (น่าจะเป็นสมัยเรียนมหาลัย) แต่ไม่เคยได้เอามาอ่าน จนเมื่อปีที่แล้วเราไปค้นตู้หนังสือในห้องนอนพี่สาวเรา (เมื่อก่อนเรานอนห้องเดียวกัน แต่หลังๆ ก็มีห้องนอนเป็นของตัวเอง เพราะหลังจากเราอยู่บ้านบ้างไปอยู่ที่อื่นบ้าง ต่างคนก็ต่างชินกับการเป็นเจ้าของห้องนอนคนเดียว พอต้องมานอนห้องเดียวกันอีก ก็เหมือนจะทนกันไม่ค่อยได้ “กัดกันประจำ” เลยต้องจับแยกกัน) แล้วไปเจอมันเข้าก็เลยคิดจะเอามาอ่าน

แต่ก็ตั้งท่าอยู่นานกว่าจะได้เริ่มต้นอ่านจริงๆ เพราะเจอหนังสืออื่นๆ มาขัดจังหวะอยู่เรื่อย อย่าง “ลิตเติ้ลทรี” เคยพูดๆ ถึง หรือ “ไม่ครบห้า” หนังสือเกี่ยวกับคนพิการญี่ปุ่นที่เกิดมาไม่มีแขนไม่มีขา แต่ใช้ชีวิตได้อย่างน่ามหัศจรรย์ หรือหนังสือแปลชื่อ “ชายผู้กินเครื่องบิน ๗๔๗” ที่เขียนเรื่องรักออกมาน่ารักดี ได้ยินว่าฮอลลีวู้ดซื้อลิขสิทธิ์ไปทำหนังแล้ว และจะให้น้องจูเป็นนางเอก ตอนที่เราอ่านไปก็นึกภาพน้องจูไปพลางๆ ก็เข้าท่าดีเหมือนกัน

ตอนแรกเราคิดว่า “ปีศาจ” ต้องเป็นหนังสือที่อ่านยากและน่าเบื่อ (เหมือนหนังสือ “ดีๆ” ได้รางวัลซีไรท์อะไรเทือกนั้น) เพราะอ่านจากปกว่า มันเป็นหนังสือที่วัยรุ่นในยุค ๑๔ ตุลานิยมอ่าน คิดว่ามันต้องเป็นพวกมีอุดมการณ์สุดๆ แต่ปรากฏว่ามันเป็นประมาณนิยายรักที่แฝงความมีอุดมการณ์เอาไว้ เราก็เลยอ่านได้จนจบไม่ได้เลิกกลางคันไปก่อน (ไม่เหมือน The Great Expectations ที่ตอนนี้ไปนอนนิ่งอยู่ก้นตะกร้าแล้ว) เรื่องราวของ “ปีศาจ” ก็เป็นประมาณว่านางเอกที่เป็นผู้ดีตระกูลเก่า ไปรักกับพระเอกที่เป็นลูกชาวนาแต่มีโอกาสได้มาเรียนวิชากฎหมายในมหาวิทยาลัย แล้วพ่อแม่ของนางเอกก็กีดกันตามสไตล์ มีซับพล็อตอื่นๆ เป็นเรื่องของพระเอกซึ่งไปเป็นทนายช่วยต่อสู้กับอำนาจนายทุนที่มาบุกรุกเอาเปรียบพวกชาวนาที่บ้านเกิดของพระเอกด้วย

ตอนใกล้ๆ จะจบพระเอกได้ไปที่บ้านนางเอก เพราะพ่อนางเอกอุตส่าห์จัดงานเลี้ยงและเชิญแขกมามากมาย ตั้งใจให้มาดูน้ำหน้าไอ้หนุ่มบ้านนอกไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่รู้จักเจียมตัว สะเออะจะมารักกับลูกสาวของผู้ดีอย่างเขา พระเอกตอนแรกก็ยังไม่รู้ตัว คิดว่าพ่อนางเอกยอมรับเขาแล้วถึงได้เชิญเข้าบ้าน แต่พอรู้ความจริงเลยพูดใส่หน้าพ่อนางเอกกลางงานว่า เขาคงไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วย ถ้าเขาไม่ได้รับการต้อนรับจากกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้ดี เขาขอไปอยู่ในที่ๆ เขาควรอยู่ดีกว่า แต่เขาขอบอกให้รู้ว่า คนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างเขา (และคนอื่นๆ ที่ไม่ได้เกิดมาในตระกูลผู้ดี) ก็จะกลายเป็น “ปีศาจ” ตามมาหลอกหลอนพวกผู้ดีอย่างพ่อนางเอกตลอดไป เพราะคนที่ไม่ได้เป็นผู้ดีมีตระกูลอย่างพวกเขามีตัวตนจริงๆ และเป็นอมตะเหมือนอะคีลิส พอพูดแสดงศักดิ์ศรีเสร็จพระเอกก็เดินออกจากงานเลี้ยงมา ไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับไปมองนางเอก

ทีนี้ในหนังสือเขามีฟุ้ตโน้ตว่า อะคีลิส หรือ Achilles เป็นตัวละครในมหากาพย์เรื่องอีเลียด (Iliad) ของโฮเมอร์ (Homer) ตามเรื่องอะคีลิสจะเป็นอมตะ คือประมาณร่างกายยิงฟันไม่เข้า (ยิงด้วยปืนหรือฟันด้วยดาบนะ ไม่ใช่ไปยืนตรงหน้า แล้วแยกเขี้ยวยิงฟันใส่) ยกเว้นตรงส้นเท้า เพราะตอนที่อะคีลิสเกิด แม่ของอะคีลิสจับตัวเขาไปจุ่มในน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้เขาเป็นอมตะ แต่ตอนจุ่มแม่จับที่ส้นเท้าเขาเอาไว้ ส้นเท้าเลยไม่เปียก (ว่าแต่ทำไมไม่กลับขึ้นมา จับหัวไว้แล้วเอาส้นเท้าจุ่มอีกรอบหนึ่งก็ไม่รู้เนอะ จะได้เป็นอมตะทั้งตัว)

เราไม่เคยอ่านเรื่องอีเลียดหรือรู้เรื่องอะคีลิสมาก่อน พออ่านฟุ้ตโน้ตตรงนี้แล้วหลอดไฟสว่างวาบเลย คือเมื่อก่อนเราเคยอ่านในนิตยสารเกี่ยวกับหนังของอังกฤษ ชื่อ Empire (มีฉบับออนไลน์ให้อ่านด้วย) ซึ่งเป็นนิตยสารที่อ่านมันส์มากๆ คือ คนทำจะเป็นเซียนหนังจริงๆ แล้วทำนิตยสารออกมาด้วยอารมณ์ขี้ประชดตามสไตล์คนอังกฤษ มีอารมณ์ขันแสบๆ กวนอารมณ์ มีมุขโน่นนี่มาให้อ่านตลอด

ในนิตยสารนี่เขาจะมีคอลัมน์สัมภาษณ์ดาราหรือผู้กำกับคนดังๆ ชื่อคอลัมน์ How much is a pint of milk? จะถามคำถามสั้นๆ กวนประสาทเล็กน้อย (มีตัวอย่าง ให้อ่านอันหนึ่ง เป็นสัมภาษณ์ Bob Hoskins พรีเซนเตอร์ของโฆษณา BT หรือ British Telecom ตอนที่มีสโสแกนสุดฮิตว่า It’s good to talk!) ไอเดียหลักๆ ของคำถาม ก็คือจะดูว่าคนดังๆ พวกนี้เป็นคนอย่างไร และใช้ชีวิตแบบคนปกติมากแค่ไหน

คำถามที่สัมภาษณ์จะมีอันนึงถามว่า Do you do your own shopping? (คุณซื้อของกินของใช้เองหรือเปล่า?) ถ้าดาราตอบว่า Yes ก็เข้าทางเขาหละ ก็จะยิงคำถามต่อไปว่า How much is a pint of milk? (นมหนึ่งไพน์ราคาเท่าไหร่? คือ ที่อังกฤษตามซุปเปอร์มาเกตเขาขายนมกันเป็นไพน์ หนึ่งไพน์ก็ประมาณ 450 มล. หรือเกือบๆ ครึ่งลิตร) ถ้าดาราที่ไม่โกหกก็จะตอบได้ว่า “อ๋อ ประมาณ ๔๕ หรือ ๕๐ พี” (P เป็นคำที่คนอังกฤษเรียกแทนคำว่า Pence หรือ Penny คือ ๑/๑๐๐ ของปอนด์) หรือตอบว่า “ไม่ได้ซื้อนมเป็นไพน์ แต่ซื้อเป็นแกลลอน” ราคากี่ดอลลาร์ก็ว่าไป (ที่อเมริกาเขาขายนมเป็นแกลลอน หนึ่งแกลลอนเท่ากับ ๓ ลิตรกว่าๆ มิน่าละ คนอเมริกันถึงอ้วนเอา อ้วนเอา)

แต่จะมีบางคนที่ตอบว่า Yes แต่พอเจอถามว่า นมไพน์หนึ่งราคาเท่าไหร่ ตอบว่า “ไม่รู้” หรือ “ไม่เคยดูราคาเวลาซื้อของ” เราอ่านแล้วก็จะคิดว่า “แหม… แล้วโม้ว่าช็อปปิ้งเอง” หรือไม่ก็ “เล่นหนังเรื่องหนึ่งได้ ๑๐ ล้านเหรียญนี่เนอะ ซื้อของเลยไม่ต้องดูราคา” เราเดาเอาว่าที่เขาใช้นมเป็นเกณฑ์ก็เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่จะต้องซื้อ แต่ก็มีบางคนเหมือนกันที่เป็นคนส่วนน้อย ก็จะมีคำตอบแปลกๆ อย่าง Dennis Hopper ที่ตอบว่าเขาไม่กินผลิตภัณฑ์นม (dairy products) อันนี้ก็เลยเช็คไม่ได้ว่าโกหกหรือเปล่า

เหะๆๆๆ ออกนอกเรื่องไปไกลอีกแล้ว กลับมาที่อะคีลิสกันต่อ คือใน How much is a pint of milk? เนี่ย คำถามมันจะเหมือนเป็นชุดๆ ซ้ำๆ กัน (จะมีแค่ไม่กี่คำถามที่เฉพาะเจาะจงกับดาราคนนั้นๆ) แบบว่า ช่วงนี้ถามชุดคำถามนี้ ก็จะเจอต่อไปอีก ๒-๓ ฉบับ หรือไม่ก็เอามาปนๆ กัน ๔-๕ คำถามนี้เคยเจอในฉบับก่อน ๔-๕ คำถามเคยเจอเมื่อเดือนก่อน อะไรทำนองนั้น ทีนี้มีอยู่ช่วงหนึ่งเขาจะมีคำถามว่า “What is your Achilles Heel?” บ่อยมาก

เราอ่านแล้วก็… “อะไรคือส้นเท้าอะคีลิสของคุณ?” อารายฟะ ไม่เก็ทเลย ก็เลยไปเปิดดิคชันนารี่ อ๋อๆ “Achilles Heel” เป็นสำนวนก็ได้ แปลประมาณว่า จุดอ่อนจุดเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้ถึงเจ๊งหรือถึงตาย เอ้าๆ จำไว้ว่าไอ้นี่มันแปลว่าจุดอ่อน เพิ่งจะได้มารู้ตอนอ่าน “ปีศาจ” นี่หละ ว่าทำไมมันถึงแปลว่า จุดอ่อน เพราะส้นเท้าของอะคีลิสไม่ได้ถูกจุ่มลงไปในน้ำศักดิ์สิทธิ์นี่เอง อ้อ… แต่จะบอกว่าไม่ใช่ว่า ทุกๆ คนจะรู้หรอกนะว่า Achilles Heel แปลว่าอะไร เพราะมีดาราบางคนก็ถามกลับมาว่า What Heel? (ส้นเท้าอาราย?) เหมือนกัน (แสดงว่าคนนี้ไม่รู้จักอะคีลิส) คนถามก็ต้องบอกไปว่า “จุดอ่อนของคุณหนะ” ถึงจะอ๋อกัน

สำหรับคนที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วยังมีคำถามคาใจอยู่ว่า เอ… แล้วตอนจบเรื่องปีศาจมันเป็นยังไง เราไม่เฉลย แต่บอกได้ว่า Happy Ending เต็มไปด้วยความหวังและอุดมการณ์ ฮี่ๆๆๆ

ไดอะรี่แลนด์

ความที่ช่วงนี้ เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราที่ออฟฟิศถูกเซ็ตใหม่ เพราะเรากลายเป็นหนูทดลอง เขาให้เราลองใช้ระบบเครือข่ายอันใหม่ที่จะมาแทนอันเก่า (จากเดิมเป็น Leased Line จะเปลี่ยนเป็น VPN – Virtual Private Network) พวก Favourites หรือ Bookmarks อะไรๆ ที่เราเคยมีในเครื่องมันก็มองไม่เห็น เวลาเราจะไปเว็บไซต์ที่เราเคยๆ ไปก็ต้องพิมพ์ชื่อเต็มๆ

วันนี้จะไปที่ diaryland.com แต่ไม่ได้พิมพ์คำว่า www นำหน้า มันก็เลยไม่รู้จัก มันก็เลยไป Search มาแล้วแนะนำเราว่า เราอยากจะไปที่นี่หรือเปล่า

ความที่อ่านไวๆ ก็งงๆ เล็กน้อยว่า เอ.. ทำไมลิสต์มา ๒ อันฟะ แต่ช่างมันคลิกไปก่อน แต่ดันไปคลิกอันล่าง ปรากฏว่างงเป็นไก่ตาแตก… เฮ้ย ทำไมไดอะรี่แลนด์เป็นแบบนี้ฟะ งงๆๆ พอดูดีๆ อีกที อ้าวเฮ้ย นี่มัน แดรี่แลนด์ ตะหาก ไม่ใช่ไดอะรี่แลนด์ เฮ้อ…โตะใจโหมะเลย