Songkran Aftermath
สงกรานต์ผ่านไปแล้ว ฟังข่าวแว่วๆ เขาบอกว่ามีคนเดินทาง (ทั้งไปเที่ยวและกลับถิ่นฐานบ้านเกิดตัวเอง) ประมาณหนึ่งล้านคน มีเงินสะพัดหมุนเวียนในช่วงสงกรานต์หมื่นกว่าล้านบาท มีคนตายจากอุบัติเหตุทางรถ ๕๐๐ กว่าคน (ตกชั่วโมงละประมาณ ๕ คน) ปัจจัยหลักก็คืออัลกอฮอล์และความประมาทเลินเล่อ คึกคะนอง ความจริงเขาก็มีการออกมาเตือนว่าขับรถขับราให้ระมัดระวังและอย่าดื่มเหล้าเยอะมากเลยนะ แต่ก็ยังมีอุบัติเหตุเยอะจนน่าตกใจ ที่น่าแปลกใจก็คือว่า เขาบอกว่า อุบัติเหตุที่เกิดจากรถขนาดใหญ่แบบรถโดยสารแทบจะเป็นศูนย์เลยนะ ประมาณ ๘๐-๙๐% เป็นอุบัติเหตุจากรถมอเตอร์ไซค์ เราได้ฟังวิทยุเมื่อเช้ามีคุณหมอคนหนึ่งจากศูนย์นเรนทร (ที่เป็นหน่วยช่วยเหลือเกี่ยวกับอุบัติเหตุต่างๆ) เขาพูดถึงสถิติต่างๆ ที่น่าสนใจ เดี๋ยวถ้าไม่ลืมยังไงจะมาเล่าให้ฟังอีกที

วันศุกร์ก่อนสงกรานต์ที่ออฟฟิศเราเขามีจัดพิธีรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ของเขาก็คือบิ๊กบ๊อสทั้งหลาย ปีนี้มีฝรั่งที่เป็นนายใหญ่สุดกับนายคนไทยที่มีอายุอาวุโสสูงสุดในบริษัท (ที่เราเคยแอบเรียกเขาว่า "๕%" เพราะเมื่อก่อนเขาจะมีรายงานส่งมาให้พนักงานดูว่า พนักงานคนไทยในแต่ละแผนกมีเวลางานที่เป็น Billable กี่เปอร์เซ็นต์ คนทั่วๆ ไปก็จะอยู่ระหว่าง ๗๐-๘๐% แต่คนนี้เขามีแค่ ๕% หนะ มีคนเปรยๆ ขึ้นมาว่า อีกกี่ปีกันหนอกว่าเราจะได้ทำงานน้อยๆ ได้เงินเดือนมากๆ อย่างคนบางคน ตอนนี้รายงานที่ว่านั่นไม่มีชื่อของนายคนไทยนี้แล้ว เพราะเขาคงเพิ่งนึกได้ว่าคนนั้นเขาเป็นระดับ "Manager" แล้ว ไม่ควรจะต้องมาบอกว่าวันๆ หนึ่งทำงานน้อยมาก เอ้ย.. มากน้อยขนาดไหนมัน อีกอย่างมันจะทำให้คนอื่นๆ แสลงใจ แบบว่าอิจฉาไง)

ออกนอกเรื่องไปไกลเลย กลับมาพิธีรดน้ำดำหัวที่ออฟฟิศต่อ พิธีเขานี้เริ่มมาตั้งแต่ ๒ ปีที่แล้ว (ปีนี้เป็นปีที่ ๓) เราไม่เข้าใจว่าคนที่ริเริ่มทำมันขึ้นมาเขาคิดอะไร (เป็นความร่วมมือกันระหว่างพวกแอดมินกับ HR… พวกวิศวกรไม่มีทางคิดอะไรแบบนี้ได้หรอก) พิธีรดน้ำดำหัวน่าจะทำให้กับผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือ แต่ที่ออฟฟิศเนี่ย ขอโทษ… เรามาทำงานกันนะคะ ไม่ได้มาเคารพนับถือใคร ไอ้ความเคารพในความสามารถในหน้าที่การงานหรือความอาวุโสมันก็เรื่องหนึ่ง แต่ไม่ใช่ว่าเราจะอยากไปขอพรพวกเขาในวันปีใหม่ไทย คนหนึ่งก็เป็นฝรั่งอีกคนหนึ่งก็อย่าให้พูดเลย (ห้าเปอร์เซ็นต์อ่ะ) คนมองโลกในแง่ดีเขาก็ต้องบอกว่า ที่เขาทำแบบนี้สร้างบรรยากาศที่ดีในออฟฟิศ ส่งเสริมอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย แต่ไอ้คนมองโลกในแง่ร้ายอย่างเราก็คิดได้แค่ว่า พวกนั้นเขาทำเรื่องแบบนี้ขึ้นมาเพื่อเอาใจฝรั่งอีกแล้ว!! พอถึงเวลาก็มาเกณฑ์พนักงานไปทำอะไรแปลกๆ ที่เราไม่เคยทำ เพื่อโชว์ให้ฝรั่งดู (เหมือนเวลาที่มีเพื่อนฝรั่งมา แล้วเราพาไปดูฟ้อนรำ ดูคนแต่งตัวชุดโบราณๆ ใส่ผ้าถุงโจงกระเบนอ่ะนะ เวลาที่มันเป็นปกติๆ มีใครเขาไปหาความบันเทิงกันแบบนั้น หรือแต่งตัวกันแบบนั้นบ้าง!!) ก็สรุปได้ง่ายๆ ก็คือเราไม่เห็นด้วยกับเขา และคิดว่ามันเป็นไอเดียที่ไม่เข้าท่า เราก็เลยไม่เคยไปร่วมกับเขาซักปี พอเขามาเรียกๆ บอกให้ไปรดน้ำ เราก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ ทำหูทวนลมซะเฉยๆ

พอตอนเย็นเราไปกินข้าวที่เซ็นทรัลกับพี่ที่ออฟฟิศ ก็เห็นว่าตรงแถวหน้าร้านอาหารมีคนยืนกันเต็ม เราก็สงสัยว่าเขาขายอะไรกัน คงไม่วายเป็นของกินของใช้อีกตามเคย พอดูดีๆ อ้าวไม่ได้ขายของแฮะ (ก็มีขายของด้วยส่วนหนึ่ง) แต่เขาเชิญพระพุทธรูปมาตั้ง ให้คนเอาน้ำอบไปสรงน้ำพระ ก็มีคนเข้าไปสรงน้ำพระกันไม่ขาด เรามองๆ ไปแล้วก็นึกขำ เออ... นี่มันยุคอะไรกันแล้วหนอ ยุคที่พ่อแม่พาลูกหลานมาสรงน้ำพระกันที่ห้างสรรพสินค้า ความจริงปีนี้ไม่ใช่ปีแรกหรอกที่เราเห็นเขาเชิญพระมาตั้งที่ห้างแบบนี้ ปีที่แล้วก็เห็นแล้วหละ (หรืออาจจะเห็นตั้งแต่ปีก่อนๆ หน้านั้นด้วยซ้ำ) แต่ไม่ทันได้คิดว่าแปลก บางคนอาจจะมีมุมมองที่ต่างไปสำหรับเรื่องนี้ ว่าคนที่เขาจัดของแบบนี้ขึ้นมาเขาคงมีความตั้งใจดีมากกว่า คือ คงคิดว่าเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยเอาไว้ แต่เราก็ยังว่ามันเป็นวัฒนธรรมที่บิดๆ เบี้ยวๆ ชอบกล

ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ คนที่ยึดติดกับอดีตอย่างเราก็มองว่าการเปลี่ยนแปลงแบบนี้เป็นความผิดปกติ แต่คนอื่นๆ เขาอาจจะไม่เห็นเป็นแปลก (นี่ดีไม่ดีทางห้างฯเขาอาจจะรอดูอยู่ ถ้าได้ผลตอบรับดี เขาอาจจะริเริ่มไอเดียกระฉูดอื่นๆ ต่อไป เป็นต้นว่าอำนวยความสะดวกให้กับชาวพุทธที่มาช็อปปิ้งที่ห้าง ด้วยแพ็คเกจจัดกระป๋องเหลืองสำหรับถวายสังฆทาน พร้อมบริการรับนำไปถวายต่อให้พระที่วัดในเครือ หรือจัดเซ็ตกับข้าวถุงๆ พร้อมดอกไม้ธูปเทียน แล้วมีพระมายืนรอรับบิณฑบาตเหมือนที่เราเคยเห็นกันชินตาที่ตลาดตอนเช้าๆ) ไอ้เราก็ดีแต่ว่าคนอื่น ขวางโลกเข้าไว้ โหย... สงกรานต์เขาไปสรงน้ำพระกันที่ห้างสรรพสินค้าก็ว่าเขา แต่ตัวเองนอนก็อึ่ดตึ่ดอยู่ที่บ้าน ไม่เห็นได้ไปทำบุญตักบาตร ไม่ได้ไปสรงน้ำพระที่วัด ไม่ได้ขนทรายเข้าวัดเลยซักเม็ด ไม่ได้ไปรดน้ำดำหัวขอพรผู้ใหญ่ (อืมม์…) ซึ่งก็เป็นความจริงที่เถียงไม่ได้ แถมถ้าถามเราว่าเราไปวัดครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ก็คงต้องนึกกันนาน เป็นอย่างนี้แล้วเลิกบ่นดีกว่า