Diving Trip - Hin Muang Hin Daeng #2
กลับมาเล่าเรื่องดำน้ำต่อ อย่างที่บอกไปแล้วว่า คราวนี้นักดำน้ำเต็มพิกัดเรือจริงๆ เพราะนอกจากลีดเดอร์ ๔ คนกับลูกทัวร์แล้ว ลีดเดอร์ยังพาแฟนไปด้วย (ยกเว้นตาลีดเดอร์ขี้คุยที่ไม่ได้พาแฟนไปด้วย แต่พี่ปุ๊กแอบมานินทากับเราว่า “ตาคนเนี้ยแปล๊กแปลก แต่เชื่อสิว่าคนแปลกๆ แบบนี้มีแฟน” แกพูดด้วยอารมณ์ไม่เข้าใจว่าทำไมคนแปลกๆ ถึงมีแฟน (แต่แกยังเป็นโสดอยู่) <--อันนี้เราต่อให้เอง อิอิ) ครูกุ้งลีดเดอร์ของพวกเราพาทั้งแฟนและลูกไปด้วย (ที่จริงต้องบอกว่าพาภรรยาไปถึงจะถูก เพราะแต่งงานแล้ว ภรรยาครูกุ้งชื่อคุณจี๋ ลูกแกชื่อ “แจ็ค” แต่โดนเรียกว่า “ไอ้แจ็ค” ตลอด เพิ่งอายุได้ขวบเดียวกับไม่กี่วัน แต่ได้ออกมากับเรือคูณทริปนี้เป็นทริปที่ ๓ แล้ว) ในทริปนี้มีฝรั่ง ๓ คน คือ Alex กับคนออสเตรเลียที่เป็นแม่กับลูกชาย คนลูกทำงานในเมืองไทยเลยพูดภาษาไทยได้เยอะเหมือนกัน (แต่สำเนียงออกไปทางอีสาน) คนแม่ไม่ได้เป็นนักดำน้ำ แต่มาเยี่ยมลูกชายแล้วก็เลยติดมาเที่ยวด้วย กลุ่มเราไปกัน ๕ คน ห้องนอนบนเรือเขาให้นอนห้องละ ๒ คนก็เลยเหลือเศษ ๑ คน พี่ปุ๊กเลยไปแชร์ห้องนอนกับพี่ผู้หญิงที่มาดำน้ำคนเดียว (ชื่อพี่ป้อม ทำงานอยู่ม.มหิดล) ลูกทัวร์คนอื่นๆ ที่เหลือชื่ออะไรบ้างเราจำไม่ได้แล้ว เพราะแทบไม่ได้คุยกับใครเลย พอขึ้นจากดำน้ำมีเวลาว่างก็อ่านหนังสือ อ่านได้แป๊บเดียวก็หลับ เวลากินข้าวก็แยกมากินที่โต๊ะหัวเรือ แบบว่าไม่สมาคมกับคนอื่นเลย แถมทริปนี้พี่หนิงก็ไม่ค่อยคุยกับคนอื่นๆ มากเหมือนทริปก่อนๆ (ปกติพี่หนิงจะเป็นคนที่มนุษย์สัมพันธ์ดีมากๆ จะเป็นคนที่ไปคุยกับคนอื่นๆ ส่วนเรากับพี่ปุ๊กจะไม่สนใจใคร เพราะมัวแต่เมาเรือกับนอนเป็นหลัก)

วันแรกพวกเราไปดำกันที่หินม่วงหินแดง ที่เรียกว่า “หินม่วง” “หินแดง” เพราะมันเป็นก้อนหินใต้น้ำ ๒ ก้อนที่อยู่ใกล้ๆ กัน มีปะการังอ่อนสีม่วงสีแดงหนาแน่นมาก แต่ดำไปแล้วก็ไม่ค่อยมีอะไร พวกพี่ๆ บอกว่าปะการังที่หินม่วงน้อยลงไปเยอะ เพราะก่อนหน้านี้ไม่นานมีคนไประเบิดปลาแถวๆ นั้น (มีข่าวลงหนังสือพิมพ์ต่างประเทศด้วย) แต่เราไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่เพราะจำสภาพเดิมไม่ค่อยได้ทั้งที่เพิ่งดำไปเมื่อปีที่แล้วนี่เอง หลังจากวันแรกผ่านไปพวกเราก็พบว่า Alex ใช้อากาศเปลืองมาก จนครูกุ้งต้องพาขึ้นมาส่งที่เรือก่อน โดยมีการขลุกขลักเล็กน้อย เพราะครูกุ้งทำท่าบอกให้พวกเรารออยู่ข้างล่าง แล้วแกนึกว่าพวกเราจะไม่เข้าใจก็เลยพยายามจะทำท่าอธิบายเพิ่ม แต่กลับทำให้พวกเรางง พอขึ้นมาบนเรือพวกเราก็เลยโวยว่า “ทีหลังไม่ต้องพูดมาก (ไม่ต้อง”ทำท่า”มาก) พูดทีเดียวก็เข้าใจแล้ว” พร้อมทำหน้ารำคาญ (น่าสงสารลีดเดอร์พวกเราใช่มะ แบบว่าทำยังไงก็ไม่ถูกใจพวกมัน) ครูกุ้งต้องบอกว่า ให้ Alex พยายามลอยตัวอยู่สูงกว่าคนอื่นจะได้ใช้อากาศไม่เปลืองมาก (เพราะยิ่งอยู่ลึกมากอากาศจะมีปริมาตรเล็กลง เวลาหายใจก็จะยิ่งใช้อากาศเปลืองขึ้น)

วันแรกพวกเราดำไนท์ไดฟ์ที่เกาะรอกด้วย เราโดนพี่ปุ๊กบังคับให้ลง คือ ปกติเราไม่ชอบไนท์ไดฟ์เพราะมันมืด ถึงแม้เวลาลงไปดำจะมีไฟฉายส่องแต่มันก็ไม่ค่อยสว่าง จะเห็นแค่เท่าที่วงไฟฉายส่องไปถึง เรารู้สึกว่ามันอึดอัด (อาจจะเป็นความรู้สึกฝังใจตอนที่ดำน้ำครั้งแรกๆ ก็ได้ ที่เราจะรู้สึกกลัวๆ อึดอัดๆ ตอนช่วงที่อยู่กลางน้ำ คือตอนที่มองขึ้นไปผิวน้ำก็ไม่เห็นอะไรมองลงไปที่พื้นข้างล่างก็ไม่เห็นอะไร มันเวิ้งๆ น่ากลัว เวลาดำไนท์ไดฟ์มันก็จะอารมณ์คล้ายๆ กัน) เราเคยลงไนท์ไดฟ์พอให้รู้ว่าเขาไปดูอะไรกัน (เขาก็ไปดูพวกสัตว์ที่หากินกลางคืนอย่างกุ้งมังกร ปู ปลาหมึกกระดอง แล้วก็ปลานกแก้วกางมุ้ง คือ ตอนปลานกแก้วนอน มันจะพ่นน้ำลายออกมาคลุ่มหัว เป็นใยบางๆ ใสๆ เหมือนมุ้ง อันนี้จะมีให้เห็นแต่ตอนกลางคืนเท่านั้น) หลังจากรู้ว่าเป็นยังไงแล้วก็ไม่ Want เท่าไหร่ ดำกลางวันมันส์กว่าเยอะ

คราวนี้เราก็ตั้งใจว่าไม่ดำไนท์ไดฟ์ (ก็ตั้งใจไว้ทุกที) แต่พี่ปุ๊กอุตส่าห์ไปยืมไฟฉายจากแฟนเก่าแกมาให้ แถมไปซื้อถ่านไฟฉายให้ด้วย ๒ ชุด (คือกะให้ดำอย่างน้อย ๒ ไดฟ์!! แกคงพอรู้เลาๆ ว่าถ้าให้เราไปซื้อเองเราคงซื้อแค่ชุดเดียว แกเลยดักทางเอาไว้ก่อน) ตอนแรกเราก็อิดๆ ออดๆ พี่ปุ๊กเลยบอกว่า ถ้าเราลงไนท์ไดฟ์ ไม่ต้องจ่ายค่าถ่านไฟฉายให้แก แต่ถ้าไม่ลงถ่านไฟฉายไม่ได้ใช้คิดตังค์ก้อนละ ๑๐๐ บาท (๑ ชุดมี ๔ ก้อน) เราก็เลยจำใจต้องลง ฝนฟ้าน้ำท่าก็ไม่เป็นใจให้พจมาน... ก่อนลงฝนก็ดันตก แถมทะเลมีคลื่นทำให้เรือเข้าไปจอดที่จุดดำไม่ได้ คนเรือต้องเอาดิงกี้ (เรือยางติดเครื่องยนต์) พาพวกเราไปส่ง เวลาลงจากดิงกี้ต้องนั่งแล้วหงายหลังลงน้ำ (ปกติยืนกระโดดก้าวขาไปข้างหน้า) เราก็ทำไม่ค่อยเป็น (ที่จริงตอนเรียนก็มีให้ทำน่านี้นะแต่ไม่ค่อยได้ใช้) ทุลักทุเลน่าดูเพราะดิงกี้เปียกฝนมันจะลื่นๆ ลงไปก็ไม่ได้เจออะไรแปลกใหม่ ปลานกแก้วก็ไม่เจอซักตัว เรื่องกางมุ้งนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง สรุปว่าที่ได้ทุ่มทำไปก็ด้วยความเสียดายเงินสี่ร้อยหนะ

วันที่สองไปดำที่หินแปดไมล์ ๒ ไดฟ์ (ฟังจากชื่อก็คงพอเดาได้ ว่ามันเป็นหินกลางทะเล อยู่ห่างจากอะไรซักอย่าง ๘ ไมล์ เราไม่แน่ใจว่าไอ้อะไรซักอย่างที่ว่านี่เป็นเป็นพีพีหรือตะรุเตา?) แล้วดำที่เกาะสาวังอีกไดฟ์หนึ่ง วันที่สองนี้เราให้คะแนนไปเลย ๑๐ ดาวเต็มๆ ตามแผนพวกเราจะลงดำไดฟ์แรกตอนแปดโมงเช้า แต่น้ำขุ่นคนเรือก็เลยบอกว่าให้รอประมาณแปดโมงครึ่ง พวกเราก็เลยอู้ยังไม่แต่งตัว เพราะมันอึดอัด แต่มีคนที่แต่งตัวแล้วลงไปสกิน (skin diving) รอ แล้วอยู่ๆ เขาก็ตะโกนขึ้นมาว่า “แม้นต้าาาาา!!!” เท่านั้นหละบนเรืออลหม่านเลย คนที่แต่งตัวใกล้เสร็จก็รีบแต่งตัวแล้วกระโดดตูมลงไป คนที่ยังไม่ได้แต่งตัวก็รีบแต่งลนลาน เราได้รู้เลยว่า “ไม่มีมิตรแท้ในการดำน้ำดูแมนต้า” เพราะครูกุ้งลีดเดอร์เรากับพี่หนิงโดดลงไปได้ก่อน ก็รีบดิ่งลงไปโดยไม่รอใคร ตอนที่เราโดดลงไปได้ก็เห็นว่าพี่ปุ๊กกับพี่ดิวลงมาด้วยแล้ว แต่ Alex ยังอยู่บนเรือ เราก็ลังเล… เอาไงดีฟะ แต่ความที่อยากเห็นแมนต้ามันมากกว่า ก็เลยดำตามลงไปโดยไม่รอ Alex เราเห็นแมนต้าว่ายพึ่บๆ ผ่านไป เห็นครูกุ้งกับพี่หนิงว่ายตามไปเราก็รีบตีฟินตาม พอดูดีๆ อ้าว… เฮ้ย… ทำไมมันปากแหลมๆ ตกลงมันไม่ใช่แมนต้าหรอก มันคือ Eagle Ray ตะหาก พวกเราก็ว่ายตามดูมันไปเรื่อยๆ ในขณะเดียวกันก็หันไปถามพี่ปุ๊กว่า “แล้ว Alex ล่ะ” พี่ปุ๊กก็ทำท่าแบบว่า “ไม่รู้เหมือนกันหวะ” พอ Eagle Ray มันว่ายหนีไปไกลแล้ว พวกเราก็เลยวกกลับมาแถวๆ เรือ ครูกุ้งถึงได้ขึ้นไปรับ Alex ลงมา (ปลามาก่อน ลูกทัวร์มาทีหลัง มันเป็นสัจธรรม)

พอพวกเราลงมากันครบกลุ่มก็ว่ายไปเรื่อยๆ ซักพักก็ได้เห็นแมนต้าโฉบเข้ามาใกล้ๆ แบบเกือบจะชนพวกเรา ทุกคนได้เห็นแมนต้า (ของแท้) กันถ้วนหน้า เราก็คิดในใจว่า “Mission Accomplished!!” คือไดฟ์นี้ไม่ต้องหาอะไรอีกแล้ว (นับเป็นโชคดีของครูกุ้งไป ไม่งั้นแกต้องโดนพวกเราประนามว่าทิ้งลูกทัวร์แหงๆ เลย) แต่ปรากฏว่าตอนที่เราจะขึ้น กำลังจะว่ายไปเกาะสายทุ่นทำ Safety Stop มีคนทำท่าชี้ๆ เราก็นึกว่าแมนต้ามาอีกแล้ว พอหันไปดู “ฉลามวาฬ!!!” ขนาดประมาณ ๓ เมตรกว่า มีเหาฉลาม (ปลาเล็กๆ ที่คอยว่ายตามอาศัยกินเศษอาหารที่ฉลามวาฬกินเหลือ) ว่ายดุ๊กดิ๊กอยู่ใต้คาง ฉลามวาฬตัวนี้มันว่ายผ่านช้าๆ ให้เราได้ดูกันชัดๆ ราวกับมีคนจ้างมาโชว์ตัว แต่ก็ยังไม่วายมีเหาฉลาม “พิเศษ” ที่ใส่ถังอากาศว่ายน้ำตามไปถ่ายรูปอีกด้วย พอขึ้นมาจากไดฟ์นี้แล้ว เราคิดว่าทริปนี้เจอแค่นี้ก็คุ้มสุดๆ แล้ว เพราะดำน้ำมาสี่ปีก็รอเจอแมนต้ากับฉลามวาฬนี่แหละ พวกลีดเดอร์เขาตกลงกันว่าจะดำที่เดิมนี้อีกไดฟ์หนึ่ง เพราะหวังว่าแมนต้ากับฉลามวาฬจะกลับมาให้ดูอีก ตอนพักระหว่างไดฟ์พี่ปุ๊กพี่หนิงพี่ดิวและคนอื่นๆ ลงไปสกิน ก็ได้เจอแมนต้าอีก มาเป็นกลุ่ม ๕ ตัวมาว่ายวนๆ ให้ดู พี่ปุ๊กกรี๊ดสลบไปเลย เราอยู่บนเรือได้เห็นรางๆ เพราะมันว่ายมาข้างๆ เรือ แต่พอพวกเราลงไปดำไดฟ์ที่สองก็ไม่ค่อยเจออะไร มีแมนต้าโฉบมาให้เห็นแบบไกลๆ ตัวเดียว

ไดฟ์ที่สามไปดำที่เกาะสาวัง ครูกุ้งทำตัวสันโดษพาพวกเราไปตรงที่ไม่มีคนอีกตามเคย แกชี้ให้ดูแมงมุมตัวเล็กๆ กุ้งตัวเล็กมากๆ เราก็เห็นบ้างไม่เห็นบ้าง ในใจคิดว่ากลุ่มอื่นต้องเจอว่าฉลามแน่เลย พอแกถามว่าจะขึ้นหรือไปดำต่อ เรารีบบอกว่าขึ้นเพราะชักเบื่อแล้ว ตอนพวกเรากำลังลอยตัวขึ้นมาพักน้ำ ก็เห็นครูกุ้งชี้ๆ ขึ้นไป ก็เงยขึ้นไปมอง แวบแรกเห็นปลาหน้าตาเหมือนปลาสากว่ายเป็นกลุ่มๆ พอเหลือบดูสูงอีกนิดหนึ่ง เฮ้ย… ฉลามวาฬอีกแล้ว!!! คราวนี้ตัวเล็กกว่าที่เห็นตอนเช้าหน่อยหนึ่ง (ปลากลุ่มๆ ที่เห็นตอนแรก คือเหาฉลาม) Alex เป็นคนเห็นก่อนแล้วชี้ให้ครูกุ้งดู พวกเราเลยพักน้ำไปดูฉลามวาฬไป พอขึ้นมาที่ผิวน้ำตลาดก็แตกทันที โวยวายกันสุดชีวิตว่าใกล้เกาะขนาดนี้เจอฉลามวาฬได้ยังไง ดวงดีมากๆๆๆ พอดีมีพี่อีกสองคนที่เขาหลงกับกลุ่มเขา ก็เลยมาดำกับกลุ่มเรา พวกเขาก็ขึ้นมาไล่ๆ กับพวกเราก็เลยได้เห็นฉลามวาฬไปด้วย พอขึ้นไปบนเรือพวกเขาไปเยาะเย้ยลีดเดอร์กลุ่มเขาว่า อยากทิ้งไม่สนใจลูกทัวร์เลยอดเห็นฉลามวาฬเลย… สม!!!

ในขณะที่พวกเราตื่นเต้นกันสุดๆ ที่ได้เจอฉลามวาฬอีกรอบ เมาท์แตกไม่ยอมหยุด แต่ Alex ทำท่าเซ็งๆ ไม่เข้าใจว่าพวกมันจะตื่นเต้นอะไรกันขนาดนั้นฟะ เราบังเอิญไปได้ยินเขาไปบอกกับฝรั่งออสเตรเลียว่าไดฟ์นี้เจอ “Another Shark” เขาคงคิดว่าดำๆ ไปก็เจอฉลามวาฬ ดำๆ ไปก็เจอแมนต้ามาเป็นฝูง โอ๊ย... เจออยู่ได้ เบื่อ!!! พวกเราเลยต้องเรียกมาอบรม… เอ้ย… อธิบายให้ฟังว่า มันไม่ใช่แค่ Another Shark นะเฟ้ย พวกเราดำน้ำกันมาตั้ง ๔-๕ ปีก็เพิ่งโชคดีแบบนี้ พอดำไดฟ์ที่สามเสร็จพวกเราเห็นพ้องต้องกันว่าไม่ต้องดำไนท์ไดฟ์แล้ว เพราะอิ่มอกอิ่มใจกับแมนต้ากับฉลามวาฬพอแล้ว รีบอาบน้ำสระผมเตรียมตัวพักผ่อน (ได้เวลาเอา “ยาเขียว” มาฉลอง)

อืมม์ว่าจะเล่าให้จบวันนี้ แต่ก็ยังไม่จบอยู่ดี ง่วงแล้วอ่ะ สรุปว่าขอต่ออีกตอนหนึ่งละกัน