Diving Trip - Hin Muang Hin Daeng #3
มาเล่าเรื่องดำน้ำให้จบดีกว่า วันที่สามไปดำกันที่เกาะห้าใหญ่ ตรงนี้จะเป็นหน้าผาหินแล้วก็ลาดลงไปเป็นพื้นทราย ที่หน้าผามีช่องเล็กช่องน้อยเป็นถ้ำด้วย คราวที่แล้วที่พวกเรามาดำที่นี่เจอเทอร์โมไคลน์ลูกเบ้อเริ่ม (ปกติเวลาพูดถึงเทอร์โมไคลน์จะนึกถึงว่ามันเป็นกระแสน้ำเย็น แต่ความจริงเป็นได้ทั้งน้ำอุ่นและน้ำเย็น เพราะ Thermocline หมายถึงตรงที่กระแสน้ำที่มีอุณหภูมิต่างกันมากๆ เวลาดำน้ำเราจะเห็นมันเป็นน้ำขุ่นๆ เหมือนน้ำเชื่อมลอยอยู่) ตอนนั้นพวกเรากำลังดำเลาะตามริมผาอยู่ดีๆ (รู้สึกว่าจะกำลังดูปลาหมึกยักษ์ Octopus กระดึบๆ ไปตามหินกันอยู่) ก็เห็นปลาว่ายมาเป็นฝูงใหญ่จากทางพื้นทรายเข้ามาทางหน้าผาหิน พอมองไปก็เห็นก้อนทะมึนไล่หลังฝูงปลามาเหมือนพายุทะเลทราย (หรือที่จริงจะต้องเรียกว่า พายุทรายทะเล?) เรานึกถึงหนังเรื่อง The Mummy ตอนที่พายุมันจะดูดเอาพระเอกเข้าไปเลย พวกเราต้องค่อยๆ กระเถิบตัวหนีไปทางใกล้หน้าผา ตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร แต่พอก้อนทะมึนเข้ามาใกล้ก็ถึงได้รู้ว่ามันคือเทอร์โมไคลน์เพราะมันเย็นมาก คงเป็นเพราะมันลูกใหญ่มากเลยพัดเอาทรายขึ้นมาด้วย เรารู้สึกว่ามันเจ๋งดีไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน

ก่อนลงไดฟ์แรกพวกเราคิดๆ กันว่ายังมีอะไรอีกบ้างที่ Alex ยังไม่ได้เจอ ก็มีฉลามกบ Octopus เต่า พวกเราก็เลยบอกครูกุ้งว่าไดฟ์นี้หา Octopus ให้เจอละกัน เพราะพวกเราเคยเจอมันครั้งแรกที่นี่แล้วก็ไม่เคยเจอที่ไหนอีกเลย แสดงว่าน่าจะเป็นแหล่งของมัน (ความจริงเราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากหรอกนะ เพราะทะเลไม่ใช่ตู้ปลาจะได้เจอโน่นเจอนี่ตามสั่ง แต่แกล้งสร้างความกดดันให้ครูกุ้งไปงั้นเอง) ก็กะกันว่าจะดำเลาะตามหน้าผาไปเรื่อยๆ และอาจจะไปดูถ้ำใหญ่ที่อยู่ตรงหัวเกาะ (คราวที่แล้วไปไม่ถึง เพราะมัวแต่หลบเทอร์โมไคลน์อยู่) ตอนแรกก็ไม่ค่อยเจออะไร มีทากเปลือยตัวเล็กๆ สองสามตัว แต่พอว่ายๆ ไปครูกุ้งก็เคาะแท็งค์เรียกให้ดู อ้าว… เจอ Octopus จนได้แฮะ คราวนี้ตัวไม่ใหญ่เท่ากับคราวที่แล้ว สงสัยว่าจะเป็นลูกของมัน (คาดว่าตัวแม่อาจจะไปอยู่ที่โออิชิแล้ว แต่ละขาแยกกันไปตามสาขาต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ) เราชอบเกาะห้าใหญ่เพราะมันจะมีก้อนหินสูงๆ ต่ำๆ มีปะการังอ่อนประปราย และมีปลาเล็กเป็นฝูงๆ ว่ายไปมา พอมีแสงแดดส่องลงมาสะท้อนแล้วมันสวยดี

ตอนใกล้ๆ จะขึ้น พวกเราไปเจอเชือกเส้นเล็กๆ สีขาวผูกกับแท่งคอนกรีตเล็กๆ วางอยู่หน้าถ้ำ ครูกุ้งก็ไปจับๆ เชือกแล้วก็วนๆ อยู่หน้าถ้ำ เราก็รออยู่ห่างๆ คิดว่าถ้าแกคิดจะเข้าถ้ำก็จะปล่อยให้แกเข้าไปคนเดียว (แบบว่าเป็นคนขี้ขลาดหนะ กลัวเข้าไปแล้วไปทำอะไรเฟอะฟะแล้วจะติดอยู่ในถ้ำออกมาไม่ได้) ปรากฏว่าครูกุ้งก็แค่ดูๆ เฉยๆ ไม่ได้เข้าไป พอพวกเราขึ้นมาบนเรือก็ถึงได้ยินว่า มีตำรวจน้ำมาเตือนว่าอย่าเข้าไปดำตรงที่เขาเอาเชือกมากั้นไว้ เพราะมีคนตายอยู่ในถ้ำได้สิบกว่าวันแล้ว เขายังกู้ออกมาไม่ได้ ฟังแล้วร้องแว้กเลย นี่ถ้าเกิดไปเจอศพลอยอืดอยู่ อาจจะตกใจตายตามไปด้วย พวกเราไปถามครูกุ้งว่าแกรู้เรื่องคนตายหรือเปล่า แกบอกว่ารู้ ก็ประหลาดใจว่าแกรู้แล้วยังจะพาเราไปแถวนั้นทำไมฟะ แล้วแถมยังไปนัวเนียไม่รีบๆ ขึ้นอีก ตอนหลังก็มาวิพากย์วิจารณ์กันต่ออีกว่าทำไมเขาถึงตาย ทำไมบัดดี้ไม่ช่วย ฯลฯ ตอนหลังรู้ว่าคนตายเป็นฝรั่ง เลยเดาว่าบางทีเขาอาจจะไปดำคนเดียวไม่มีบัดดี้ เพราะฝรั่งบางทีก็ชอบทำอะไรเสี่ยงๆ คนเดียว พวกเราเห็นคล้ายๆ กันว่าส่วนใหญ่นักดำน้ำที่ตายในเมืองไทยจะเป็นฝรั่งมากกว่า คนไทยไม่ค่อยตาย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคนไทยไม่ชอบทำอะไรเสี่ยงตาย หรือว่าคนไทยฉลาดรู้จักเอาตัวรอดกันแน่

พวกเราดำที่ห้าใหญ่อีกไดฟ์หนึ่งแต่ย้ายไปดำฝั่งเหนือ ก่อนลงพวกเราบอกกันว่า Alex ยังไม่เคยเห็นเต่า พอลงไปก็ได้เห็นเต่าเฉยเลย ตอนที่ครูกุ้งเรียกให้ดูเรากำลังจะหันไปดูว่าคนอื่นได้เห็นกันหรือเปล่า ก็เห็น Alex ซึ่งลอยอยู่ที่ประมาณ ๔๐ ฟุต รีบดิ่งลงมาดูเต่าที่ว่ายน้ำอยู่ใกล้ๆ พื้นทราย (ความลึกประมาณ ๗๐ ฟุต) แถมยังจะว่ายตามมันไปอีก พวกเราแอบมานินทากันว่า เขาตื่นเต้นมากกว่าตอนที่เห็นฉลามวาฬหรือแมนต้าเสียอีก ไดฟ์นี้พวกเราเจอ Octopus อีกตัวหนึ่งด้วย อยู่ในซอกหิน เรากับพี่ปุ๊กพยายามจะเรียกให้ครูกุ้งดู แต่แกไม่หันกลับมามองพวกเราเลยก็เลยอดดูไป (หลังๆ นี้ครูกุ้งละเลยพวกเรามาก ตอนแรกๆ ที่ดำน้ำกับแกใหม่ๆ แกจะคอยหันมาดู ถามว่าโอเคไหม อากาศเหลือเท่าไหร่ แต่พอดำกันนานๆ ก็รู้ทางกันมากขึ้น เลยเลิกใส่ใจ พวกเราก็ดันใช้อากาศกันน้อยกว่าแกอยู่แล้ว แกก็เลยไม่ค่อยต้องหันมาดูพวกเรา) เรากับพี่ปุ๊กอยู่รอดูจนมันออกมาจากซอกหิน เห็นมันกระดึบตัวไป ตัวมันจะยืดดด...ออกมาได้เยอะมาก เห็นแล้วรู้สึกว่ามันหยำแหยะๆ ชอบกล แล้วเราดันไปนึกถึงเรื่องที่พี่ปุ๊กดูทางทีวีว่า มีนักดำน้ำโดน Octopus ดูดหน้ากากออกไปแล้วก็ยิ่งสยอง แต่ยังไงเราว่าเราก็ไม่เข้าไปใกล้มันขนาดให้มันดูดหน้ากากได้หรอก เป็นคนขี้กลัวหนะ

ไดฟ์สุดท้ายของวันที่สามเราไปดำกันที่ปิดะ อยู่ใกล้เกาะพีพี (ที่จริงมันเป็นไดฟ์สุดท้ายเฉพาะของกลุ่มเรา แต่กลุ่มอื่นเขายังมีไนท์ไดฟ์กันด้วย เพราะพวกเราจะขึ้นไปเดินเล่นบนเกาะพีพีกัน แบบว่าไปชมแสงสีไง) ไดฟ์นี้รู้สึกจะเป็นไดฟ์แรกที่ครูกุ้งพาพวกเราปลีกตัวจากฝูงชนไม่สำเร็จ เพราะนอกจากนักดำน้ำจากเรือเราแล้วยังมีจากเรือลำอื่นอีกด้วย (ความจริงเรือนี้เขาแล่นคู่มากับเราตลอด แต่เขาจะลงน้ำเวลาไม่ค่อยตรงกับพวกเราก็เลยไม่เจอกัน) ความที่คราวนี้พวกลีดเดอร์เขาวางแผนกันว่าจะไม่ดำที่ Shark Point ก็เลยบ่นว่าแบบนี้ Alex จะเจอฉลามได้ไง (แต่ก็ไม่วายกัดครูกุ้งไปว่า แต่ไป Shark Point แล้วก็ใช่จะการันตีว่าจะเจอฉลาม เพราะคราวที่แล้วกลุ่มอื่นๆ เขาเจอฉลามกันทั้งลำ มีกลุ่มเราไม่เจออยู่กลุ่มเดียว ประมาณว่าคนบางคนดวงแข็งกว่าฉลาม) ปรากฏว่าไม่รู้ว่าคราวนี้ครูกุ้งแกไปพกดวงมาจากไหน พวกเราได้เจอ Leopard Shark จริงๆ มันว่ายน้ำมาให้ดูอีกด้วยน่ารักเชียวหละ (ปกติฉลามเสือดาว (หรือฉลามกบก็เรียกกัน) จะนอนหมอบๆ อยู่ตามพื้นทรายมากกว่า) เรากับพี่ปุ๊กว่ายนำหน้ากลุ่มไปก่อนแล้ว ฉลามมันว่ายมาจากข้างหลัง เราได้ยินเสียงเคาะแท็งค์ ตอนแรกก็ไม่สนใจเพราะเห็นอีกกลุ่มหนึ่งเขาเคาะแท็งค์เรียกคนในกลุ่มเขา แต่ตอนหลังเอะใจเลยหันไปดูแล้วก็เลยว่ายย้อนกลับไปถึงได้เห็นฉลามว่ายน้ำ แถมเราก็เห็น Alex ออกอาการตื่นเต้นอีกรอบหนึ่ง คือเขาว่ายน้ำตามฉลามกบอีกแล้ว (พวกเราก็แอบมานินทากันอีกว่า ทีเจอเต่าเจอฉลามกบ (หรือแม้แต่ปลาสิงโต) ทำท่าตื่นเต้น แต่ตอนเจอฉลามวาฬกับแมนต้าดันทำท่าเฉยๆ)

หลังจากอาบน้ำกินข้าวแล้ว คนเรือเขาเอาดิงกี้พาพวกเราไปส่งที่เกาะพีพี ครูกุ้งไม่ได้ขึ้นเกาะกับพวกเราเพราะต้องเลี้ยงไอ้เแจ็ค พวกเราดีใจที่ได้ขึ้นเกาะเพราะเรือโคลงเคลงมาก ทั้งที่เรือจอดอยู่ในอ่าวแต่ไม่รู้มันมีคลื่นมีลมมาจากไหน พวกเราตั้งใจว่าจะไปกินโรตีกัน แต่ Alex ทำมาถามว่าบนเกาะพีพีจะมี Irish Pub ไหม อยากไปสำรวจ ทำเป็นอ้อมค้อมไปยังงั้นหละที่จริงคงอยากกินเบียร์หนะ เราไปเกาะพีพีครั้งสุดท้ายตอนต้นปีที่แล้ว คราวนี้สิ่งที่เห็นสะดุดตาก่อนเลยคือ มีเซเว่นอีเลฟเว่นมาเปิดอยู่ตรงใกล้ๆ กับท่าเรือ (ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ขนาดพนักงานไม่มีเวลาเอาของมาเรียงขึ้นชั้นเลยหละ) พวกเราไปเดินหาร้านโรตีกะเทยยักษ์ที่อยู่ใกล้ๆ ร้านดำน้ำของมนุษย์กบ (เขาว่าโรตีร้านนี้เป็นร้านที่รสเด็ดที่สุด คนขายเป็นกะเทย ตัวใหญ่ยักษ์ ร้านชื่อ ศันสนีย์ ซึ่งคงเป็นชื่อของพี่เขานั่นแหละ) พอเดินไปถึงปรากฏว่ามันหายไปแล้ว ไปถามได้ความว่าเขาย้ายไป (เหมือนเขาจะสร้างบังกะโลตรงที่ที่เคยตั้งแผงโรตี) และคนขายกะเทยไม่ได้ขายแล้ว ให้น้องชายมาขายแทน รสชาติยังอร่อยเหมือนเดิม Alex กินแล้วชอบมาก ถามว่าแบบนี้พ่อครัวบนเรือทำเป็นไหม … แหม จะให้เขาทำโรตีให้กินเลยเรอะ (แต่ก็บอกกันว่า ทำเป็นเล่นไป ถ้าลองบอกเขา เขาอาจจะพยายามทำให้กินก็ได้ ก็เราเคยบ่นว่าอยากกินน้ำมะนาวปั่น พี่แกยังไปหาเครื่องปั่นน้ำผลไม้มาปั่นให้ได้เลย ขนาดอยู่บนเรือน่ะนั่น) กินโรตีเสร็จก็พา Alex เดินไปอีกฟากหนึ่งของเกาะที่มีหาดทราย (เขาเรียกว่า โละดาลัม ใช่ไหมพี่ปุ๊ก) ปรากฏว่าหลง เพราะเดินเข้าคนละซอยกับที่เคยเดิน เลยแวะกินไอติมอิตาเลียนกันก่อน (อากาศร้อนมาก ไม่มีลมเลย) กินเสร็จแล้วก็เดินต่อซึ่งใช้เวลานานมากๆ พอไปถึงแล้วก็ไม่ได้ทำอะไร เพราะใกล้เวลาที่เรือจะมารับก็เลยเดินกลับมาที่ท่าเรือ (ฝั่งที่เป็นท่าเรือคือ อ่าวต้นไทร) พอกลับมาที่เรือพวกขี้เมาเขาก็เอาเบียร์มากินกัน แต่เราเป็นเด็กดีก็เลยเข้านอน

วันสุดท้ายเราไปดำที่เรือจมคิงครุยเซอร์หินมุสังและเกาะดอกไม้ เรือคิงครุยเซอร์เป็นเรือโดยสารระหว่างพีพีกับภูเก็ต จมมาได้ประมาณ ๔ ปีแล้ว เรือวิ่งชนหินมุสังแล้วก็แล่นต่อมาเรื่อยๆ (ด้วยแรงเฉื่อย) มาจมตรงที่มันจมอยู่ ผู้โดยสารบนเรือไม่มีใครเป็นอะไร เพราะบนเรือมีชูชีพพอกับจำนวนผู้โดยสาร และเพราะมันใกล้ฝั่งด้วยมั้ง เลยมีเรือมาช่วยได้เร็ว ซากเรือตรงที่เป็นดาดฟ้าเรือจะอยู่ลึกประมาณ ๖๐ ฟุต ท้องเรือที่พื้นประมาณเกือบร้อยฟุต ครูกุ้งบอกว่าความที่ Alex ใช้อากาศเปลืองก็พวกเราดำอยู่แค่รอบๆ ดาดฟ้าเรือก็พอ (ลงไปที่ลึกนอกจากจะอยู่ได้ไม่นานแล้ว อากาศอาจจะไม่พอให้พักน้ำอีกด้วย) ซึ่งก็โอเคเพราะท้องเรือก็ไม่มีอะไร แต่พวกเรากลับไปบอก Alex ว่า เรืออยู่ลึกเท่านั้นเท่านี้ แต่ "Because of YOU, we can’t go to the bottom" เน้นว่าเพราะเธอแท้ๆ เลย แต่ Alex ดันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้คงเพราะรู้ทันพวกเราหนะ ที่ซากเรือมีหอยเม่นเยอะมากๆ คราวที่แล้วแฟนเก่าพี่ปุ๊กมาดำด้วยกัน โดนหอยเม่นทิ่มขา แต่อึดมากไม่ยอมบอกใคร เพราะกลัวต้องขึ้นก่อน เขาก็ทนเจ็บไปจนดำครบตามเวลา (ที่อึดแบบนี้ได้เพราะเคยเป็นแฟนพี่ปุ๊กมาก่อนไง อิอิ) ข้างในเรือตามเพดานที่มีฟองอากาศค้างอยู่จะมีงูเกาะอยู่ เพราะงูมันมาหายใจเอาอากาศไง )แต่เราไม่ได้เห็นมันหรอก เพราะไม่ชอบเข้าไปในที่แคบๆ) แล้วก็มีปลาสิงโตเยอะ เราเจอกุ้งมังกรเกาะอยู่ที่โครงประตู เจอปลาไหลเมอเรย์อยู่แถวๆ หัวเรือ อย่างอื่นๆ ก็ไม่ค่อยมีอะไรให้ดู คงต้องรออีกหลายๆ ปีกว่ามันจะมีอะไรให้ดูเยอะมากขึ้น

ไดฟ์ต่อมาเราไปดำกันที่หินมุสัง ก่อนจะลงครูกุ้งแกแอบไปคุยกับคนที่เรืออีกลำหนึ่งที่แล่นคู่กันมากับเรา (ที่จริงพาไอ้แจ็คไปเปิดตัว) เลยได้ความมาว่า เขาเจอม้าน้ำสีเหลืองอยู่ที่หน้าผาที่ความลึกประมาณ ๕๐-๕๕ ฟุตใกล้ๆ มี Sea Fan ต้นใหญ่เป็นที่สังเกต เขาเลยมาบอกเราว่าเดี๋ยวให้ช่วยกันหา ปรากฏว่าไดฟ์นี้กระแสน้ำแรงมาก ต้องไต่สายทุ่นลงไป แล้วก็ต้องรีบตีฟินทวนน้ำไปหลบหลังหน้าผา กว่าจะผ่านไปได้อากาศลดฮวบเกือบครึ่งถัง พอถึงหน้าผาครูกุ้งแกก็เลี้ยวซ้ายทันที พอเห็น Sea Fan แกก็หันหน้าเข้าผนังมองหาม้าน้ำ เราก็ว่ายๆ มองไปยังงั้นหละ แต่คิดในใจว่าไม่น่าหาเจอ ว่ายๆ ซักพักหนึ่งครูกุ้งแกเรียกให้หันหลังกลับ ก็งงๆ ว่าทำไมฟะ แต่ก็ทำตาม ปรากฏว่าแกก็ย้อนกลับไปเจอม้าน้ำจนได้ คราวนี้พี่คนที่หลงกลุ่มแล้วเจอฉลามวาฬที่เกาะสาวังกับพวกเราเขาก็มาทางเดียวกับพวกเราด้วย เขายกมือทำท่าควบม้า เราก็รู้เลยเจอม้าน้ำแน่แล้ว รีบแล่นเข้าไปดู มี ๒ ตัวเอาหางเกี่ยวกับกิ่งไม้ในซอกเล็กๆ (เรางงว่าหาเจอได้ไงฟะ ครูกุ้งเก่งจริงๆ) หลังจากนี้ก็ดำลัดเลาะตามผาหลบกระแสน้ำดูโน่นดูนี่ไปเรื่อยๆ ตอนจะขึ้นครูกุ้งทำท่าบอกเราว่าให้รีบไปเกาะที่สายทุ่น เพราะไม่งั้นปลิวแน่ คราวนี้พวกเราแอบมาบ่นว่า แกทำท่าทีเดียวแล้วรีบว่ายไปเลยไม่หันมาดูพวกเรา สงสัยเป็นเพราะเห็นเราบ่นว่าไม่ต้องพูดมาก แต่ที่จริงคือว่าตอนนั้น Alex ใช้อากาศหมดไปแล้ว ขึ้นมากลุ่มอื่นๆ บ่นว่ากระแสน้ำแรง แล้วแถมไม่เจออะไรอีก แต่กลุ่มเรายังดีได้เจอม้าน้ำ เราถามครูกุ้งว่าแกหาเจอได้ไง ทั้งที่ว่ายเลยไปแล้ว แกบอกว่าก็เขาบอกมาว่าใกล้ Sea Fan ที่ประมาณ ๕๐-๕๕ ฟุต มันก็ต้องแถวนั้น เรามานึกได้ว่าตอนที่เรามองหามันเราไม่ได้ดู Depth Gauge เลยด้วยซ้ำ แบบว่าไร้สัญชาติญาณและเทคนิคการหาของจริงๆ เลย ถึงว่าดิ ปกติเราดำน้ำแล้วไม่ค่อยเจออะไรเอง ต้องให้คนอื่นคอยชี้ให้ดูตลอด

ไดฟ์สุดท้ายเราดำที่เกาะดอกไม้รู้สึกว่าจะไม่ค่อยมีอะไร จำไม่ค่อยได้ รู้แต่ว่าพวกเราไม่เคยดำที่จุดนี้มาก่อน (จุดอื่นๆ เคยดำมาแล้วจากทริปเมื่อต้นปีที่แล้ว) ดูใน Logbook ก็ไม่เห็นได้จดอะไรไว้ ดำไดฟ์สุดท้ายเสร็จก็มุ่งหน้ากลับภูเก็ต มาถึงท่าเรือรัษฎาประมาณหกโมงกว่าๆ พวกเรายังไม่กลับก็นอนค้างบนเรือต่ออีกคืนหนึ่ง (เรากลับเครื่องบินไฟลท์เช้าวันรุ่งขึ้น เพราะคนที่ดำน้ำจะต้องรออย่างน้อย ๑๒ ชั่วโมงถึงจะขึ้นเครื่องบินได้) บางคนที่ขับรถมาเขาก็กลับกันเลย แต่ก็มีบางคนที่ไม่อยากขับรถตอนกลางคืน (อย่างครูกุ้งกับคุณจี๋) ก็นอนที่เรือก่อนเหมือนกัน ตอนขากลับเขาก็มีรถตู้มารับไปส่งที่สนามบิน มีคนถามว่าจะแวะซื้อของฝากหรือเปล่า เราดันปากไวตอบเป็นคนแรกว่าเราไม่ต้องซื้อฝากใคร ตอนหลังแม่พี่ปุ๊กโทรมาบอกว่าอยากได้อะไรซักอย่างไม่รู้ เลยโดนโทษว่าเป็นความผิดของเราที่บอกว่าไม่ต้องแวะ มาถึงสนามบินมีเวลาเหลือก็เลยไปกินอาหารที่ห้องอาหารของการบินไทย อาหารไม่มีอะไรอร่อยหรอก แถมแพงด้วย แต่ว่าไปดูบรรยากาศ เพราะมันมองออกไปเห็นทะเล แต่ตอนหลังก็มีคนชวนไปที่ผับที่หน้าสนามบิน ประมาณว่าบรรยากาศกินไม่ได้ ไปกินเบียร์กันดีกว่า

สรุปว่า ไปดำน้ำคราวนี้นี่สุดยอดจริงๆ เพอร์เฟ็คไปหมดคือกระแสน้ำไม่แรง (มีโหดๆ แค่วันสุดท้ายไดฟ์เดียวเอง) คลื่นไม่แรง ไม่เมาเรือ ไม่อ้วก แถมได้เจอสัตว์เยอะมาก ทำให้เราต้องลบคำที่เคยสบประมาทครูกุ้งเอาไว้ว่า ชอบพาพวกเราไปทางที่ไม่เจอตัวอะไรเลยเสมอ กลายเป็นว่าพอพวกเราบอกว่าอยากเจออะไรเป็นได้เจอหมด แต่จะว่าไปอาจจะไม่ใช่ฝีมือครูกุ้งแต่เป็นความโชคดีของ Alex มากกว่า (คือยังไงๆ ก็จะไม่ยอมให้เครดิตครูกุ้งหนะ) พวกเราบอกว่าต่อไปคงต้องชวน Alex มาดำน้ำด้วยกันบ่อยๆ เพราะท่าทางเป็นคนโชคดี แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นแค่ Beginner’s Luck หรือเปล่า เหมือนพวกนักพนันหน้าใหม่อ่ะนะ แบบเริ่มเล่นพนันแรกๆ ก็จะมือขึ้น เล่นได้ตลอด แต่พอนานไปๆ มีแต่เสียจนหมดตัว Alex เพิ่งจะหัดดำน้ำได้หมาดๆ (ก่อนหน้านี้เขาดำน้ำมาประมาณ ๓ ไดฟ์เอง คือตอนไปสอบ Diving License นั่นแหละ) ก็เลยเจอโน่นเจอนี่เยอะ เป็นการหลอกให้ติดใจไง แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นโชคของใครก็ตาม เรารู้สึกว่าต่อไปคงไม่มีทริปไหนสุดยอดเท่าทริปนี้อีกแล้วหละ

ในที่สุดก็เล่าจบซะที ยาวชะะมัดเลยหวะ แต่ก็ดีใจ เพราะเราอยากเล่าเรื่องอื่นเต็มทีแล้ว (คนอ่านก็คงอยากอ่านเรื่องอื่นแล้วเหมือนกัน) เฮ้อ...!!!