Life is like water chestnut, you know what you will not get...
หายไปหลายวัน ไปหมกมุ่นครุ่นคิดกับชีวิตการงาน อัพเดท Resume คิดจะหางานใหม่ เพราะดันไปทำตัวมีปัญหากับหัวหน้า หลังจากคิดไปคิดมา มองไปรอบๆ ยังหาบริษัทที่ดีเลิศประเสริฐศรีเท่ากับที่นี่ไม่ได้ ก็ที่นี่นะงานก็สบาย ไม่กดดัน เงินเดือนก็ดี มีสาธารณูปโภคครบครัน (คอมพิวเตอร์ดี อินเตอร์เน็ตไว) เลยสรุปได้ว่า อยู่ต่อไปดีกว่า ลาออกไป ก็ใช่ว่าจะหางานดีๆ เงินเดือนดีๆ ได้ง่ายๆ หลังจากใคร่ครวญดีแล้ว เราเห็นว่าเอาเวลาที่อัพเดท Resume มาอัพเดทไดอะรี่ดีกั่ว...

วันก่อนนัดกะพี่ปุ๊กปุบปับว่าจะไปกินข้าวเย็นกัน เราต้องไปงานแต่งงานคนที่ออฟฟิศก่อน (ความจริงตั้งใจจะไปเมาธ์กันเรื่องที่เรามีปัญหากับหัวหน้า และหวังสร้างคอนเน็คชั่นหางานใหม่ๆ ที่งานแต่งงาน แต่ปรากฏว่า “โจทก์” ดันมานั่งโต๊ะเดียวกันกับพวกเรา ก็เลยงานกร่อยไป) เราบอกพี่ปุ๊กว่าให้หาที่ใกล้ๆ กับโรงแรมที่เราจะไปงานแต่งงาน แต่ก็ไม่รู้จะไปไหน (แถวนั้นมีแต่สถานบริการอย่างอื่น) สุดท้ายก็เลยไปต้องลงที่ร้านเบียร์แถวที่ทำงานเรา พอบอกว่าเป็นร้านนี้ก็ประมาณว่าเข้าทางพี่ปุ๊กเลย แกเฉลยว่าความจริงอยากเสนอร้านนี้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่กลัวเราเบื่อ เพราะไปร้านนี้มา 2-3 ครั้งติดๆ กันแล้ว (ร้านนี้ต้องวงเล็บว่า ร้านเบียร์แพงๆ แต่เป็นร้านโปรดของ "วิศวกรเงินเดือนน้อย") แต่เราไม่ว่าอะไรอยู่แล้วร้านไหนก็ได้ ปกตินัดเราไม่ค่อยเรื่องมากเวลานัดคน ถ้าตั้งใจจะเจอกัน ต่อให้เราต้องไปที่ร้านสมบูรณ์โภชนาตอนช่วงเทศกาลกินเจเรายังเคยไปมาแล้วนี่นา (ร้านสมบูรณ์ขายอาหารทะเลและอาหารจีน ไม่มีอาหารเจ)

เราบอกให้พี่ปุ๊กไปรอก่อนเราจะรีบแว้บออกไปให้ด่วนที่สุด กว่าจะออกจากงานได้ก็เลยเวลาที่ตกลงกับพี่ปุ๊กแล้ว ก็เลยโทรไปบอกว่าจะถึงช้าหน่อย พี่ปุ๊กบอกว่า ร้านเบียร์ปิด (ปิด 3 วัน) เราก็เลยให้ย้ายร้านไปกินที่อื่น เรานึกว่ามีแต่เราเท่านั้นที่จะประสบกับ “เหตุการณ์แห้วๆ” แบบนี้ (คราวนี้เป็นคนอื่นที่แห้วแทน!!) ปกติเราจะเป็นคนตัดสินใจด้วย Impulse ไม่วางแผน อยากกินอะไรก็กิน อยากจะดูหนังก็ดู แต่มีบางวันที่เราตั้งใจว่า เออ อยากกินร้านนี้ หรืออยากไปที่นี่ แต่ไปถึงแล้วร้านปิด แล้วเป็นประเภทที่ว่าปีหนึ่งเขาปิดแค่ 2-3 วัน แต่ดันตรงกับวันที่เรา “ตั้งใจ” จะไปใช้บริการพอดี

ครั้งล่าสุดที่เจอ เรารอจะดูหนังก็เลยตั้งใจจะไปนั่งกินกาแฟที่สตาร์บัค ซึ่งปกติไม่ค่อยไปนั่ง เพราะรู้สึกว่า กาแฟรสชาติดีแต่สถานที่ไม่คุ้มกับราคา คือ บางสาขาคนแน่นมาก เสียตังค์แพ้งแพง แทนที่จะได้นั่งจิบกาแฟรสละมุนอ่านหนังสือเงียบๆ หรือคุยกับเพื่อนสงบๆ กลับกลายเป็นนั่งไหล่ชนกับโต๊ะข้างๆ มีคนเดินจอแจ ทำให้เราตัดสินใจไปกินกาแฟยี่ห้ออื่นอยู่บ่อยๆ แต่วันนั้นเราอยู่ในอารมณ์ว่าอยากกินกาแฟสตาร์บัค และสาขาที่เราจะไปมันก็คนไม่มาก น่าจะนั่งได้ อุตส่าห์หาหนังสือจะเตรียมไปอ่าน เดินไปถึงร้าน เขามีคอกมาล้อมรอบร้าน เขียนว่า "Start brewing again on October 25" วันที่เราไปคือวันที่ 23 ประมาณว่าเขาปิดปรับปรุงร้านชั่วคราว

ก่อนหน้านี้ก็มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นหลายครั้ง เราเคยไปยืนอึ้งอยู่หน้าเซ็นทรัลลาดพร้าว เพราะตั้งใจจะไปซื้อของ แต่วันนั้นเป็นวันหยุดประจำปีของเขา คือ ปีหนึ่ง 365 วันนี่เขาหยุดแค่วันเดียวนะ (ย้ำ 1 วัน) แต่ดันเป็นวันที่เรา “ตั้งใจ” จะไปซื้อของพอดิบพอดี เหตุการณ์แบบนี้ คนอื่นจะเรียกว่าบังเอิญ โชคไม่ดี หรืออะไรก็ตาม แต่เราเรียกว่า "แห้ว" (เป็นคำตอบสุดท้าย!!)

ที่สีลมคอมเพล็กซ์ก็เป็นศูนย์รวมประสบการณ์แห้วๆ เราเคยไปหารุ่นพี่แล้วเขาชวนลงมากินข้าวที่ชั้นใต้ดิน เขาก็ให้เราเลือกว่าจะกินร้านไหน แต่เราก็คิดๆ แล้วก็บอกว่ากินเอสแอนด์พีดีกว่า อยากกินขนม พอลงไปที่ร้านเห็นเขาปิดไฟมืด ปิดบริการวันหยุดประจำปีอีกละ ต้องเปลี่ยนแผนไปกินร้านอื่น พออีกครั้งหนึ่ง เราไปเยี่ยมรุ่นพี่อีก ก็ชวนกันลงมากินข้าว เรามีประสบการณ์ร้ายจากเอสแอนด์พี ก็เลยบอกว่า วันนี้จะกินฮาจิบังบะหมี่ญี่ปุ่น พอเดินไปถึงร้านไม่ได้ปิดไฟมืดก็ใจชื้น จะเดินเข้าไปนั่ง คนขายบอกว่าทานไม่ได้นะคะ เราก็งงๆ กัน เขารีบบอกว่า "แกสหมด ทำอาหารไม่ได้" เหวอไปเลย ร้านอาหารแบบนี้มีแกสหมดด้วยอ่ะ ไม่เป็นไร เปลี่ยนร้านก็ได้ ปรากฏว่าทุกร้านก็ไม่ให้บริการเหมือนกันหมด เพราะแกสหมด เดาเอาว่าทุกร้านใช้แกสที่มาจากท่อแกสเดียวกัน สรุปว่าวันนั้นตั้งใจกินอาหารสุดๆ แต่ต้องหิ้วท้องกลับมากินก๋วยเตี๋ยวแถวบ้านตอนสามทุ่ม ที่ร้ายที่สุดคือ ตอนพวกเราตัดสินใจแยกย้ายกันกลับแล้ว เราลืมประทับตราบัตรจอดรถ เลยต้องกลับมาที่ชั้นใต้ดินอีกรอบ เราเดินผ่านร้านฮาจิบัง เขาให้คนเข้าไปกินได้แล้ว เพราะ "แกสเพิ่งมา” แต่ตอนนั้นคือหมดอารมณ์จะอยากกินไปแล้ว

เรื่องแกสหมด นี่รู้สึกว่าเราจะไปเจออีกครั้งตอนจะไปกินสุกี้ที่เอ็มเคสยามสแควร์ จำไม่ได้แล้วว่าไปกินกับใครและสรุปสุดท้ายไปลงเอยที่ร้านไหน แต่จำได้ว่าตอนที่ได้ยินเขาบอกว่า "แกสหมด" ก็รู้เลยว่า พระเจ้าไม่ต้องการให้เรากินสุกี้เอ็มเควันนี้ เพราะฉะนั้น จงทำใจให้สบาย มันก็เป็นแค่ประสบการณ์แห้วๆ อีกครั้งหนึ่ง :)

The more you spend, the more you save. What a bull !!

วันนี้ฟังวิทยุ (อีกละ) บริษัทโทรศัพท์บ้านเขาออกแคมเปญใหม่ ให้ลุ้นไปทริปไปเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศจากยอดใช้จ่ายค่าบริการโทรศัพท์ ทุกๆ กี่ร้อยบาทจะได้ร่วมลุ้นโชคเขาเน้นว่า ยิ่งใช้มาก ยิ่งมีสิทธิ์ลุ้นมาก คนเห็นแคมเปญนี้แทนที่จะโทรศัพท์ตามความจำเป็น ก็อาจจะต้องโทรเพิ่มมากขึ้น เผื่อจะมีลุ้นเที่ยวต่างประเทศ

พอได้ยินแคมเปญของโทรศัพท์บ้านเจ้านี้ เรานึกถึงอีกแคมเปญหนึ่งของโทรศัพท์มือถือสีส้ม อันนั้นเป็นประมาณว่า โทรวันนี้เกินกี่ร้อยบาท วันรุ่งขึ้นประหยัดสุดๆ ได้โทรในราคาลด 25% เราลองเอาหัวแม่โป้งตรองดูแล้วก็ยังนึกไม่ออกว่ามันประหยัดตรงไหน ต้องตะบี้ตะบันโทรศัพท์เพื่อให้ได้เป้า แล้วพรุ่งนี้จะได้โทรถูกลง 25% มาช่วยกันจ่ายเงินมากเกินความจำเป็นเพื่อเป็นการประหยัดเงิน งงจริงๆ

ยุคนี้มันถึงยุคที่การบริโภคแทบทุกอย่างเกินกว่าความจำเป็นพื้นฐานไปแล้ว เมื่อก่อนโทรศัพท์เรายังมีไม่พอกับความต้องการ เขาก็พยายามขยายบริการให้ทั่วถึง ซึ่งก็หมายถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากจำนวนคนใช้บริการที่เพิ่มขึ้น แต่เขาดันลงทุนไปเกินกว่าความต้องการ ทำให้อัตราส่วนของรายได้ต่อเงินที่ลงทุนไปมันน้อยกว่าที่ควรจะเป็น

เขาลงทุนไปหวังให้หวังให้คนใช้บริการ 100 คน แต่มีคนจำเป็นต้องใช้แค่ 50 คน ทำยังไงดีล่ะ?? ก็กระตุ้นให้คน 50 คนที่จำเป็นต้องใช้บริการ หันมาใช้บริการให้ “เกินความจำเป็น” สิ ตรงนี้แหละที่รายได้เขาจะงอกเงยขึ้นมาได้ เขาก็เลยคิดแคมเปญประหลาดๆ ขึ้นมา พยายามลากเงินออกจากกระเป๋าเรา ไปเข้ากระเป๋าเขาให้ได้มากที่สุด ก็ลองคิดดูเอาเองละกันว่า "ประหยัดสุดๆ กับส่วนลดค่าใช้บริการ" กับ "ได้สิทธิ์ลุ้นมากขึ้น" มันหมายถึง จ่ายเงินเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น หรือ เสียเงินเพิ่มเพื่อความหวังลมๆ แล้งๆ หรือเปล่า