One in A Million
เราตั้งชื่อเรื่องปัญหาในที่ทำงานของเราว่า หนึ่งในล้าน เพราะพี่ปุ๊กบอกว่า คนที่มีปัญหาไม่ถูกกับหัวหน้าแล้วคิดลาออกมีอยู่เยอะมาก แต่กรณีแบบเรามันเกิดยากมากๆ แกพยายามจะหาว่าเป็นความโหด+อึดของเราที่ทำให้มันเป็นแบบนั้น มากกว่าที่จะคิดว่ามันเป็นคอมบิเนชั่นของหลายสาเหตุ ถึงเราจะไม่เห็นด้วยกับความเห็นของพี่ปุ๊กในส่วนที่ว่ามันเป็นเพราะเรา แต่เราเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ามันเกิดขึ้นยากมากจริงๆ

ต้องย้อนเรื่องกลับไปตอนต้นปีที่แล้ว (2002) ก่อน หัวหน้าใหญ่ที่เป็นอเมริกัน (ขอเรียกสั้นๆ ว่าทอม) เขาโปรโมทให้พี่ผู้หญิงคนหนึ่งในแผนก (ขอเรียกว่าพี่ข.) ขึ้นมาเป็นหัวหน้าแผนกเครื่องกลแทนเขา แล้วตัวเองขึ้นไปคุมระดับหัวหน้าแผนกอย่างเดียว (จากที่เมื่อก่อนทอมนั่งควบ 2 ตำแหน่ง) พี่ข. เป็นคนที่อาวุโสที่สุดในแผนก ตอนที่ได้โปรโมทเขาทำงานกับบริษัทเรามาประมาณ 6 ปีครึ่ง คนที่อาวุโสรองลงมาคือพี่ผู้ชายอีกคนหนึ่ง อายุน้อยกว่าพี่ข. ประมาณปีหนึ่ง (ขอเรียกว่า พี่ธ.) แต่เข้ามาทำงานที่บริษัทเราก่อนพี่ข. ประมาณ 6 เดือน

เราคิดว่าพี่ธ. ทำงานทางเทคนิคได้ดีกว่าพี่ข. (และหลังๆ ก็คิดว่างานบริหารก็ทำได้ดีกว่าด้วย) แต่พี่ข. ภาษาอังกฤษดีกว่า เป็นคนที่ Proactive กว่า (บางทีก็หมายถึง Aggressive ไปด้วย) ทอมก็เลยเลือกให้พี่ข. เป็นหัวหน้า (แถมพี่ข. เป็นผู้หญิงด้วย อันสุดท้ายนี้เราพูดเอง เพราะมีคนสังเกตว่า ทอมชอบผู้หญิงมากกว่า ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนขี้หลีหรืออะไรหรอกนะ แต่คนในแผนกที่เป็นผู้หญิงดู Active กว่าผู้ชายทั้งนั้น เขาก็เลยโปรผู้หญิงมากเป็นพิเศษ)

ก่อนหน้านี้เรามีปัญหาไม่ค่อยจะถูกกับพี่ข. เหมือนกัน เรื่องส่วนตัวบ้างเรื่องงานบ้าง แต่ก็ไม่รุนแรงอะไร ภาพรวมๆ ที่คนอื่นๆ มองเข้ามาจะดูว่า เรากับพี่ข. สนิทกันมาก เพราะไปกินข้าวกลางวันด้วยกันทุกวัน แต่ตอนที่เราไปทำงานที่แคนซัสเมื่อประมาณ 3 ปีก่อน เราต้องแชร์อพาร์ตเมนต์แชร์รถกับพี่ข. ตอนนั้นเคยทะเลาะกันรุนแรงขนาดไม่พูดกันเลยทั้งๆ ที่อยู่บ้านเดียวกัน ไม่ไปไหนด้วยกันเลย (ทะเลาะกันด้วยเรื่องงี่เง่ามากๆ ประเภทว่า เราทำกับข้าวเหม็นกลิ่นตลบทั่วอพาร์ตเมนต์จนเขารับไม่ได้ หรือเขาเอารถไปใช้เหมือนเป็นเจ้าของคนเดียว ฯลฯ) แต่พอกลับมาเมืองไทย เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เข้ามาพูดคุยกับเราตามปกติ ไปกินข้าวด้วยกันทุกวันเหมือนเดิม เราก็เลยจำต้องทำตัวปกติไปด้วย

พี่ข. เป็นคนแข็ง พูดจาตรง (บางทีเราว่า ขวานผ่าซาก จะเหมาะกว่า) และไม่ฟังความเห็นของคนอื่น เวลาเถียงกันเขาจะไม่ยอมหยุดถ้าเขาไม่ได้พูดเป็นคนสุดท้าย ใครๆ เถียงกับเขาก็ต้องยอมแพ้ทุกทีไป แต่ว่าเวลาที่เถียงกันจบแล้วเขาจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้สนิทใจมาก แบบเมื่อตะกี้ยังเถียงกันหน้าดำหน้าแดง แต่พอห้านาทีผ่านไป เขาก็มาคุยหัวเราะกิ๊กกั๊กเฉยเลย ไอ้คนที่โดนอัดยังไม่หายโกรธก็กลายเป็นงงไป

ตอนแรกๆ ที่เราไปบ่นๆ ให้เก๋พี่สาวเราฟังว่า มีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน (ตอนนั้นเขายังไม่เป็นหัวหน้าเรา) เก๋บอกว่า นี่แหละเราได้เจอคนที่พอจะสมน้ำสมเนื้อกับเราเลย คือ เราก็เป็นคนแบบเดียวกับพี่ข. นั่นแหละ แถมกับสมน้ำหน้าเราเล็กน้อยว่า จะได้รู้สึกเสียมั่งว่าคนอื่นเขารู้สึกยังไงกับเรา เราก็เลยออกอาการปลงๆ ว่ามันคงเป็นเวรกรรมผูกพันกันมาจากชาติก่อน ทำให้เราต้องมา “เจอ” คนแบบเขา (หรือเขาต้องมา “เจอ” คนแบบเรา อันนี้แล้วแต่จะมอง) แต่ขอบอกว่าหลังจากที่เราได้ปะทะกับพี่ข. หรือเห็นเขาปะทะกับคนอื่นๆ เราถึงได้รู้ว่า เรากับเขานี่ไม่ได้สมน้ำสมเนื้อกันเลย เราสู้เขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย...

ความจริงเรื่องระหว่างเรากับพี่ข. นี่สามารถเล่าได้อีกประมาณห้าสิบตอนจบ เพราะอยู่ด้วยกันนาน และเรากับเขามีเรื่องเกี่ยวพันกันแบบประหลาดมากๆ คล้ายๆ Love-hate relationship สรุปสั้นๆ ไปเลยดีกว่าว่า พอทอมโปรโมทพี่ข. เป็นหัวหน้าแผนกเรา เราเซ็งอะดิ ต้องมีหัวหน้าที่เราไม่ชอบ แต่เราก็ได้แค่กังวลเฉยๆ เพราะยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แถมช่วงแรกๆ ของปีเราก็ยังทำงานส่วนใหญ่กับพี่ธ. (เหมือนกับตอนก่อนที่พี่ข. จะได้โปรโมท) แต่ต่อมางานที่เราทำกับพี่ธ. ก็เริ่มเสร็จ เราก็ต้องไปทำงานให้พี่ข. ก็เซ็งเลยเพราะบอกอะไรๆ พี่แกไม่ฟัง หลายครั้งที่เราต้องทนทำงานไปทั้งที่ผิดๆ เพราะเถียงจนเหนื่อยแล้วแกไม่ฟัง แกจะเอาแบบนั้นท่าเดียว แต่พอสุดท้ายเราก็ต้องมาแก้ เพราะคนที่เขาให้งานมาทำ เขาไปเช็คแล้วเจอว่าผิด แต่พี่ข. ก็ยังดีตรงที่เขาไม่ได้โบ้ยว่าเป็นความผิดของเรา (เพราะมันก็ไม่ใช่อยู่แล้ว) แต่งานก็มาตกที่เราอยู่ดี คือ เราต้องเป็นคนแก้ ให้มันเป็นตามที่เราเคยบอกเขาไป แบบว่า ทำงานซ้ำโดยไม่จำเป็นอะนะ

ต่อมาถึงตอนกลางๆ ปีงานของแผนกเครื่องกลเริ่มน้อยลง ประกอบกับงานทางไอทีเกิดมีปัญหาขึ้น คือ หัวหน้าแผนกไอทีไม่สามารถทำงานได้ตามที่เขาต้องการ เขาก็เลยจะให้หัวหน้าแผนกไอทีออก ทอมก็มาถามเราว่า เราจะไปช่วยทำงานไอทีได้ไหม เราก็ถามว่าให้เราทำไอที แล้วจะเอาหัวหน้าไอทีไปไหน เขาบอกว่าจะเอาออก เราก็ตกใจ เราไม่อยากให้เขาเอาหัวหน้าไอทีออก เพราะเราว่าเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร แต่ความเข้าใจไม่ตรงกันมากกว่า เราพยายามจะให้เขาคุยกันเพื่อให้ปรับปรุงหรือแก้ไขในส่วนที่บกพร่อง แต่ทอมบอกว่า คุยแล้วแต่ไม่ได้ผล ท้ายที่สุดเขาก็ตัดสินใจให้หัวหน้าไอทีออกไปก่อนที่เราจะได้ตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่รับทำงานไอทีเสียอีก

พอหัวหน้าไอทีออกไปแล้ว ก็มีทางเลือกว่าจะรับคนใหม่ หรือจะเอาคนในบริษัทไปทำ (คนในก็คือ นิจวรรณอ่ะนะ) ด้วยความที่เราไม่อยากทำงานกับพี่ข. เราก็เลยยอมรับไปทำงานไอทีทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่ได้ พอไปทำแล้วมันก็มีปัญหาเยอะพอสมควร เพราะมันเป็นงานบริการ ทำดีก็เสมอตัวทำไม่ดีก็โดนด่าเต็มๆ แถมมันเป็นเรื่องที่เราต้องเรียนรู้เองใหม่หมด เรื่องที่เราเคยเรียนมาจากชั้นเรียนไอทีที่ลาดกระบังมีประโยชน์บ้างแต่ไม่มาก เพราะการเรียนกับการทำงานจริงมันต่างกันโดยสิ้นเชิง (เราเรียนแต่คอนเซ็ปต์ ไม่เคยได้ปฏิบัติจริงเลย)

เรามีลูกน้อง 2 คน แต่ก็ไม่ได้ช่วยซักเท่าไหร่ คนหนึ่งมีความรู้จำกัดอยู่แค่งานประจำวันที่ต้องทำ อีกคนหนึ่งดูจะมีความรู้มากกว่า แต่ไม่ยอมบอกหรือให้ความร่วมมือกับเรา แต่เราก็อาศัยความหน้าด้านอะไรที่ไม่รู้ก็ถามตลอด ถามคนที่เมืองไทยไม่ยอมบอก ก็ถามคนที่เมืองนอก หรือไม่ก็หลอกล่อถามซัพพลายเออร์มั่ง ถามเพื่อนมั่ง อ่านหนังสือมั่ง เราทนทำงานไอทีไปด้วยความรู้สึกว่าไม่อยากจะยอมแพ้มากกว่าที่จะอยากทำงานหรืออยากได้ความรู้จากงาน ทำไปก็คิดในใจว่า หนีเสือปะจระเข้ จริงๆ เลย -_-‘

เราทำงานไอทีได้ประมาณ 3 เดือนก็พอจะเข้าที่เข้าทางไปได้ส่วนหนึ่ง ในระหว่าง 3 เดือนนี้ เราทำงานไอที 100% (ที่จริงเกิน 100% เพราะกลัวโง่ ไม่รู้อะไรก็อาศัยถึกๆ เอาแรงเข้าสู้ อยู่ออฟฟิศดึกๆ ดื่นๆ นั่งเขียนอีเมล์ไปถามฝรั่งที่เมืองนอก) ไม่ได้ทำงานของเครื่องกลเลย พอประมาณเดือนตุลาคม ก็มีข่าวว่าจะมีงานเครื่องกลเข้ามา งานจะเริ่มประมาณเดือนธันวาคม 2002 หรือ มกราคม 2003 เราก็เลยไปแย็บๆ กับทอมว่าเราอยากจะกลับไปทำงานเครื่องกล จะได้ไหม เขาบอกว่า ได้สิ แต่เขายังอยากให้เราทำงานไอทีด้วย ก็ตกลงกันประมาณว่าทำงานเครื่องกล 75% ทำงานไอที 25% ซึ่งเราก็คิดว่าเราทำได้ ไม่น่ามีปัญหา แต่ปรากฏว่าพี่ข. ไม่ยอม

พี่ข. บอกว่า เขาไม่คิดว่าเราจะสามารถทำงาน 2 อย่างพร้อมกันได้ เพราะช่วง 3 เดือนที่เรารับหน้าที่ไอที เขาเคยขอให้เราทำงานเครื่องกล แต่เราไม่ยอมช่วยเขา กลับทำงานแต่ไอที (ซึ่งตรงนี้เราผิดจริง แต่เขาก็ผิดด้วยที่ไม่ได้วางแผนงาน อยู่ๆ จะให้ทำงานให้เสร็จเดี๋ยวนั้น ใครจะไปทำให้ทัน แถมไม่บอกเราให้ชัดเจนว่าต้องการอะไรจากเรา) เขาว่าเราไม่มี Commitment ให้กับงานเครื่องกล เราก็พยายามเถียงว่า มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน เราคิดว่าเราจะทำได้ถ้ามีการคุยกันให้เข้าใจ โดยเฉพาะต้องตกลงกันให้แน่ชัดในเรื่องของแผนงานว่างานแต่ละงานมีกำหนดส่งเมื่อไรยังไง ฯลฯ

ตอนที่คุยนี้ คือ คุยกัน 3 คน มีทอม มีเรา มีพี่ข. เราได้แต่นั่งเป็นเบื้อฟังพี่ข. ว่าเราให้ทอมฟังว่าเขามีประสบการณ์ที่เลวร้ายอย่างไรในการที่เราไม่ยอมทำงานให้เขา ทอมพยายามจะบอกว่า มันเป็นความเข้าใจผิดกัน เขาน่าจะลองให้โอกาสเราใหม่ เขาพูดประมาณว่างานไอทีมันก็ต้องมีคนทำเหมือนกัน ถ้าเราทำตรงนี้ได้มันก็น่าจะดี แต่พี่ข. ก็ยังไม่ยอม เขาไม่สนใจงานไอทีหรืองานของคนอื่น (เขาเคยพูดใส่หน้าเราว่า งานไอทีที่เราทำมันไร้สาระ ให้เลิกทำแล้วมาช่วยเขาทำงานเครื่องกลดีกว่า แต่พอเขามีงานไอทีจะให้เราทำ อย่างเขาต้องการให้ลงโปรแกรมให้เขา เขาก็มาเร่งให้เราทำงานไอที เราสรุปว่าเขาไม่ได้มีปัญหาว่าเราจะทำงานเครื่องกลหรืองานไอทีหรอก ถ้าตราบใดงานที่เราทำเป็นงานของเขา)

สุดท้ายเขาก็ยื่นคำขาดว่า เขาจะยอมรับเรากลับไปทำงานเครื่องกล ก็ต่อเมื่อเราทำงานเครื่องกลให้เขาอย่างเดียว แต่ถ้าเราจะต้องทำไอทีด้วยเขาก็จะไม่ให้เราทำงานเครื่องกล แต่เรายังไม่ได้ตอบอะไรไปตอนนั้น เราออกจากห้องทอมมาด้วยความอึ้ง ทำงานมาตลอด 6 ปีไม่เคยโดนคนว่าเราต่อหน้าแบบนี้ และว่าเราในเรื่องที่เรารู้สึกว่าไม่ได้ทำผิด (หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้ผิดขนาดไม่สามารถให้แก้ตัวได้) พอดีพี่ธ. ยังไม่กลับบ้านเราก็เลยบ่นให้ฟังว่า อยู่ๆ ก็โดนด่า เราเล่าเรื่องตอนที่คุยกัน 3 คนให้พี่ธ. ฟัง นี่เป็นครั้งแรกที่เราบ่นเรื่องพี่ข. ให้พี่ธ. ฟังตรงๆ ความจริงเขาก็สังเกตเห็นอยู่เหมือนกันแหละ แต่เขาก็ยังเห็นเราไปกินข้าวกลางวันกับพี่ข. อย่างสม่ำเสมอ เขาก็คิดว่าเรายังพอทนได้ หรือไม่ได้คิดอะไรมาก

พอเราบ่นออกมาแบบนี้ พี่ธ. ก็บอกว่าถึงเวลาที่เราจะต้องเลือกแล้วว่าจะทำอะไร ต้องเลือกทำแค่อย่างเดียว ไม่ใช่เป็นเพราะว่าเราไม่มีความสามารถในการทำ 2 อย่างพร้อมกัน แต่เป็นเพราะถ้ายังทำ 2 อย่างแบบนี้ มีแต่เรานั่นแหละที่จะเจ็บตัว เราคิดแบบนั้นเหมือนกัน มันถึงทางแยกจริงๆ แล้ว ต้องเลือกว่าจะเอายังไงกับชีวิต จะทนทำงานไอทีต่อไป หรือ จะกลับไปทำงานเครื่องกล

แค่นี้ก็ยาวแล้ว แต่ยังไม่จบ ค้างไว้ตรงนี้ก่อนละกันนะ เดี๋ยวค่อยมาเล่าต่อ...