A day Cafe
วันปีใหม่นอกจากเราไปดู LOTR แล้ว ตอนเย็นเรานัดกินข้าวกับเพื่อนสมัยที่เรียนลาดกระบัง (ที่จริงจะว่าเพื่อนลาดกระบังก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะมี “โอ” เพื่อนสตรีวิทย์ของเราไปด้วย) นัดกันที่ร้าน A day Cafe ซึ่งโอเสนอเอาไว้ตอนที่นัดเจอกันคราวที่แล้ว

A day Cafe เป็นร้านอาหารที่มีเจ้าของเดียวกับเจ้าของนิตยสารที่ชื่อว่า A day ซึ่งเป็นนิตยสารฮิปๆ ที่มีรูปเท่ๆ ไอเดียเก๋ๆ เราเคยซื้อมาอ่านครั้งหนึ่งตอนที่เขาเอาวงเฉลียงขึ้นหน้าปก (หลังจากนั้นก็ไม่เคยซื้ออีกเลย เพราะเรารู้สึกว่ามันแพง เอาตังค์ไปดูหนังดีกว่า) ความจริงนิตยสารของเขาก็ดังและมีแฟนเหนียวแน่นพอสมควรนะ (ซึ่งก็เลยมี “ผลพลอยดี” ไปกับร้านอาหารด้วย) แต่พวกป้าๆ ลุงๆ ตกยุคอย่างพวกเราดันไม่รู้จักกันซะเลย (เราเคยได้ยินชื่อ A day จากมติชนสุดสัปดาห์ เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งเขามีการวิพากษ์วิจารณ์กันเกี่ยวกับไอเดียที่นำเสนอใน A day กับนิตยสารแนวเดียวกันอีกเล่มหนึ่งที่ชื่อ Summer เขาถกเถียงกันทางอินเตอร์เน็ตควันโขมง มติชนเขาก็เลยเอามาเขียนถึง เราก็อ่านๆ ผ่านๆ เพราะรู้สึกว่าเกินวัยที่จะไปให้ความสนใจกับมัน...)

ตือไปถึงที่ร้านเป็นคนแรก ก็สั่งน้ำผลไม้ปั่นมากินรอ พอเราไปถึงเราก็เลยสั่งมั่ง เขาเอาหน่อไม่ฝรั่ง (แอสพารากัส) เสียบมาด้วย นัยว่าเป็นของตกแต่ง (แบบที่ร้านอื่นๆ เขาใช้ สับปะรด แตงโม ดอกกล้วยไม้ หรือร่มคันเล็กๆ ประดับอ่ะนะ) แต่ตือดันหยิบแอสพารากัสเข้าปากเคี้ยวกร้วมๆ จนหมดต้น พอน้ำปั่นของเรามาเสิร์ฟ เราก็เลยลองชิมแอสพารากัสจุ่มน้ำปั่นบ้าง รสชาติพิลึก... ก็เลยด่าตือว่า แล้วไม่บอกว่า รสชาติมันห่วย ตือบอกว่า เออ.. ก็ยังคิดอยู่ว่าน่าจะให้เขาเอาไปผัดน้ำมันหอย ตอนหลังเราไปบ่นให้พนักงานเสิร์ฟฟัง เขาพูดยิ้มๆ ว่า ถ้าพี่สั่งครบ 4 แก้วก็เอาไปผัดเป็นกับข้าวได้จานหนึ่งพอดี

หลังจากมีเรากับตือนั่งอยู่พักหนึ่ง คนอื่นๆ ก็ทยอยกันมา คราวนี้มีสมาชิกมาเยอะเป็นพิเศษไม่รู้ว่าเป็นเพราะขี้เกียจไปแย่งคนอื่นเที่ยวช่วงปีใหม่ หรือเป็นเพราะบอกว่าจะนัดเจอหมู นอกจากขาประจำอย่าง ตือ ตั้ว เจี้ยม ศรันย์ โอ สมบูรณ์ แล้วคนที่ปกติไม่ค่อยว่างอย่างตาวหรือบุ๋มเล็กก็มา และคนที่ปกติไม่ค่อยยอมว่างมาเจอ อย่างบ็อบและพี่บุ๋มก็มาด้วย (พี่บุ๋มโดนประชดว่า ถ้าหมูไม่กลับมาเยี่ยมบ้าน พี่บุ๋มก็คงไม่ว่างมาเจอพวกเรา) ขาดก็แต่ แตงโม (เพื่อนสตรีวิทย์ของเราอีกคนหนึ่ง) ที่ไม่ได้มาเพราะมีนัดกับเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งไปก่อนแล้ว

พวกเราทุกคน (ยกเว้นโอ) เพิ่งมาที่ A day Cafe เป็นครั้งแรก ร้านก็สวยดี เป็นเหมือนบ้าน อยู่ในซอยเล็กๆ ที่แยกมาจากถนนศาลาแดง ด้านหน้าเป็นสนามหญ้า มีโต๊ะให้นั่งด้วย แต่พวกเราเข้าไปนั่งด้านในที่เป็นห้องแอร์ ผนังของเขาเป็นกระจกเกือบหมด ก็เลยดูโปร่งๆ โล่งๆ รู้สึกว่าจะมีที่นั่งชั้นสองด้วย หน้าห้องน้ำมีโซฟาให้นั่งอ่านหนังสือนิตยสาร (A day) และมีหมีตัวใหญ่วางอยู่ที่โซฟา บรรยากาศเหมือนอยู่บ้าน

อาหารที่ร้าน A day Cafe รสชาติใช้ได้ ส่วนใหญ่เป็นอาหารไทยๆ ทั้งกินเป็นกับข้าวและกินเป็นกับแกล้ม และมีสลัดกับอาหารจานเดียวด้วย พวกเราสั่งอาหารกันกระหน่ำราวกับว่าจะกินวันที่ 1 มกราคมวันเดียว แล้วจะอดอาหารกันไปตลอดปี เมนูที่นี่เขาก็จะพยายามตั้งชื่อเก๋ๆ อย่าง ปลาสำลียำมะม่วง เขาก็จะเรียกว่า “ปลาสำลีและเพื่อน” แทน พวกเราสั่งจานนี้ตั้งนานก็ไม่ได้ เลยถามพนักงานว่ามันไปหาเพื่อนอยู่หรือไง ปรากฏว่าเขาลืมจด เรานั่งคุยๆ อยู่หันไปอีกทีมีคนสั่งหน่อไม้ฝรั่งผัดกุ้งมากินด้วย ถามไถ่ไปได้ความว่า ตาว เป็นคนสั่ง เพราะเห็นแอสพารากัสในแก้วน้ำปั่นของเราแล้วเกิดอยากกิน

นอกจากกินกระหน่ำแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่เป็นสาระเหมือนอย่างเคย (คือไม่มีสาระกันเป็นประจำ) คุยกันอยู่ไม่กี่เรื่อง อย่างเจี้ยมกับตั้วกับตือก็จะคุยเรื่องโทรศัพท์มือถือ ตั้วกับตือกับบ็อบกับศรันย์ก็จะคุยกันเรื่องฟุตบอล เรากับตือกับโอก็จะคุยกันเรื่องหนัง บางครั้งบางคราวก็มีคนถามเรื่องงาน เรื่องครอบครัวขึ้นมาบ้าง (งานเป็นยังไง ยุ่งไหม คนที่มีแฟนเมื่อไหร่จะแต่งงาน ฯลฯ) คราวนี้จะพิเศษหน่อยก็ตรงบุ๋มยอมบอกเสียทีว่า จะแต่งงานประมาณเดือนธันวาคม (ไม่เซอร์ไพรส์แล้ว แค่รอว่าเมื่อไหร่จะบอกวัน) และเพิ่งรู้ว่าเจี้ยมเปลี่ยนงานแล้ว จากเดิมที่ทำบริษัทมือถือแห่งหนึ่งก็ย้ายไปอยู่ค่ายสีส้ม ก็ประมาณว่า เกิดความรู้สึกว่างานที่ทำอยู่เริ่ม “ตัน” ไม่มีอะไรใหม่ๆ ให้ทำแล้ว มันคงเป็นช่วงหนึ่งของชีวิต ละมั้ง

พอคุยกันถึงเรื่องงาน เราก็เลยถือโอกาสอัพเดทเพื่อนๆ เรื่องงานของเรา เพราะก่อนหน้านี้ตั้วกับศรันย์พยายามโทรมาถามข่าวคราวจากเรา ก็เรานะสิ ดันโทรไปถามว่าจะมีงานให้เราทำหรือเปล่า เราคิดจะลาออกจากงานที่ทำปัจจุบัน (เจ้านายเก่าของตั้วเคยสนใจอยากได้เราไปทำงานด้วย แต่ตอนนั้นเราปฏิเสธไป เพราะเราเพิ่งเริ่มเรียนไอทีที่ลาดกระบัง เรายังไม่ค่อยแน่ใจว่าจะเอายังไงกับชีวิตก็เลยไม่อยากเริ่มอะไรใหม่ๆ สองอย่างพร้อมกัน ส่วนศรันย์ทำงานคล้ายๆ กับเรา และบริษัทเขาเคยทำท่าสนใจอยากให้เราไปทำงานเหมือนกัน แต่มันเมื่อประมาณ 3-4 ปีที่แล้ว สมัยที่เรายังเป็นกะเหรี่ยงทำงานอยู่ที่อเมริกา) เราไม่ได้บอกรายละเอียดมากนักว่าทำไมเราถึงอยากออก เพราะโทรจากที่ทำงาน คุยไม่สะดวก พอนัดกันคราวนี้ เราก็เลยได้ฤกษ์เล่าให้ฟังอย่างยาว...

มีคนคอมเมนต์ว่า เรื่องของเรายาวยังกะลอร์ดออฟเดอะริงส์ คือไอ้ยาวหนะยาวจริง แต่มันไม่สนุกเท่าลอร์ดฯหรอก แต่เราตั้งใจไว้ว่าจะเล่าเรื่องนี้ในไดอารี่ (ในที่สุดนิจวรรณก็ยอมเขียนคำว่า ไดอารี่ ให้ถูกต้องตามพจนานุกรมซะที) ไม่รู้ว่าจะทนอ่านกันไหวหรือเปล่า เรื่องหลักๆ มันไม่มีอะไรมาก ก็แค่เราไม่ถูกกับเจ้านาย ก็เลยคิดจะลาออก เราว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่หลายๆ คนเจอ หรือเคยได้ยินกันมาแล้ว แต่เหตุการณ์ของเรามันดันพลิกผันด้วยจังหวะ เวลา (และน้ำมือ + น้ำคำของเราด้วย) ซึ่งพอผลออกมา เราก็ไม่รู้ว่าเราจะดีใจหรือเสียใจกับมันดี ...

วันนี้เกริ่นไว้แค่นี้ก่อน เดี๋ยวไว้วันต่อๆ ไปจะมาเล่าให้ฟัง ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเราถึงได้รู้สึกว่า “หนักใจ” นี่มันหนักจริงๆ ...