One in A Million - Part 3
วันจันทร์ 25 พ.ย. 2545 – 4 วันก่อน D-Day (วันที่ต้องส่งเอกสารตอบรับว่าจะเลือกข้อ 1 จะอยู่ หรือ ข้อ 2 จะไป)

ทอมไม่ได้มาทำงาน เขาวางแผนลาพักร้อนไว้ล่วงหน้านานแล้ว พี่ธ. กับพี่ศ. บอกว่าเราทำลายวันพักร้อนของทอมเพราะคงต้องไปคิดจนหัวแทบแตกว่าจะทำยังไงกับปัญหาของเราดี ตั้งกะได้รับเอกสารแจ้งเรื่องการย้ายบริษัทมาพวกเราสามเกลอหัวแข็งไม่เป็นอันทำงานทำการกันหรอก เดี๋ยวๆ ก็ลุกขึ้นมาจับกลุ่มคุยกันว่าจะเลือกข้อไหนดี คุยกันแบบไร้จุดหมายไร้ข้อสรุป เพราะเราเห็นพ้องต้องกันว่าไม่มีที่ไหนงานสบายเงินดีเท่าที่นี่อีกแล้ว (เลือกข้อ 1 ดีกว่า) แต่ถ้าหากยังมีหัวหน้าแบบนี้บางทีงานสบายเงินดีก็ไม่อาจจะจูงใจให้เราอยู่ได้ (งั้นเลือกข้อ 2 ดีกว่า) เปลี่ยนใจกันวันละห้าสิบรอบ บางทีก็จะมีคนอื่นมาร่วมวงแจมด้วย แล้วเดี๋ยวๆ ก็วงแตกเพราะพี่ข. เดินผ่านมา (ต้องรีบเสไปคุยเรื่องข่าว เรื่องสรรพเพเหระ)

วันอังคาร 26 พ.ย. 2545 – 3 วันก่อน D-Day

ตอนเช้าพี่ธ. เข้าไปคุยเรื่องงานกับทอมเลยเจอบอกให้ปิดประตูแล้วก็ถามว่ามีปัญหากับพี่ข. หรือเปล่า คิดว่าจะเลือกข้อ 2 หรือเปล่า พี่ธ. เล่าให้ทอมฟังถึงปัญหาในการทำงานที่เขาเจอ แต่บอกไปว่าเขาไม่ได้คิดว่าจะเลือกข้อ 2 ทอมถามถึงพี่ศ. ว่ามีปัญหากับพี่ข. จนคิดจะเลือกข้อ 2 หรือเปล่า พี่ธ. ก็บอกว่ามีปัญหาเหมือนกัน ทอมก็เลยขอ (หลังจากไปไตร่ตรองมา 3 วัน) ว่าเราสามคนอย่าเพิ่งลาออกกันตอนนี้ เขาจะคุยกับพี่ข. ให้ปรับปรุงเรื่องการทำงานและการบริหาร และเขาจะให้เวลาพี่ข. 6 เดือน ถ้า 6 เดือนผ่านไปแล้วถ้าพวกเรายังรู้สึกว่าอยากจะลาออก เขาก็จะให้ออกและจะให้บริษัทจ่ายเงินชดเชยตามที่เราควรจะต้องได้ ในระหว่างนี้ถ้ามีปัญหาอะไรอื่นเกี่ยวกับการบริหารของพี่ข. ก็ให้ไปบอกเขาด้วย เขาจะได้รู้ เพราะถ้าไม่มีใครบอกเขา เขาก็จะไม่รู้ปัญหา

พี่ธ. ออกมาเล่าให้เรากับพี่ศ. ฟัง แล้วก็บอกว่าเขาตัดสินใจแล้วเขาเลือกข้อ 1 ว่าแล้วก็หยิบเอกสารมาเซ็น เขาบอกว่าแบบนี้น่าจะดีที่สุดแล้ว ถ้าจะออกตอนนี้เลยมันก็ไม่ค่อยดีกะทันหันเกินไป เราทำงานที่นี่ต่อไปอีก 3-4 เดือนถ้าสถานการณ์เกี่ยวกับพี่ข. ยังไม่เปลี่ยนแปลงก็เริ่มมองหางานได้เลย พอครบ 6 เดือนก็ลาออกไป ได้ทั้งเงินชดเชยและไม่ต้องตกงานนาน แต่เรากับพี่ศ. ยังไม่แล้วใจ ยังสงสัยว่าพวกเราจะมั่นใจได้ยังไงว่าถ้า 6 เดือนผ่านไปเราลาออกเขาจะจ่ายเงินให้เราจริงๆ พี่ธ. บอกว่าก็ต้องเชื่อใจทอม และเขาคิดว่าเรื่องนี้เชื่อได้ พี่ธ. บอกว่าเดี๋ยวทอมก็คงเรียกเราเข้าไปคุย ถ้าสงสัยยังไงก็ถามเขาเอาเองก็แล้วกัน เราบอกว่าให้เขาเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรดีไหม พี่ธ. บอกลองถามดูก็ได้ แต่เขาว่าทอมไม่ยอมทำหรอก บริษัทเขาไม่ทำอะไรที่ผูกมัดตัวเอง

วันพุธ 27 พ.ย. 2545 – 2 วันก่อน D-Day

ตอนบ่ายๆ นายฝรั่งอีกคนหนึ่งที่ใหญ่กว่าทอม (ชื่อเจอร์รี่) เรียกเราไปคุย เราเดินเข้าไปในห้องทำงานเขา เขาก็บอกให้ปิดประตู เราก็นึกเลยว่าเครียดแล้วตู (ปกติคุยเรื่องงานธรรมดาไม่ต้องปิดประตูห้อง) เจอร์รี่บอกให้เราคุยได้ตามสบาย ไม่ต้องคิดว่าเขาเป็นนายแล้วจะเกรงใจ เขารู้จากทอมว่าเรามีปัญหากับพี่ข. และเราคิดจะเลือกข้อ 2 เราก็บอกเขาคล้ายๆ กับที่เล่าให้ทอมฟัง เขาก็พยายามเกลี้ยกล่อมชักแม่น้ำทั้งห้ามาบอกว่า เขายังอยากให้เราอยู่กับบริษัทอย่างโน้นอย่างนี้ และสุดท้ายก็พูดเหมือนที่ทอมบอกพี่ธ. คือ ให้เวลาและให้โอกาสพี่ข. ซักหน่อย ให้เขาได้คุยกับเรื่องสไตล์การบริหารงานและการทำงานร่วมกับผู้อื่น

เราบอกเขาว่า เราจะให้โอกาสพี่ข. ในการปรับปรุงการทำงานได้ แต่เราไม่ค่อยเชื่อว่าพี่ข. จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ เราว่าคนเราอายุมากขนาดนี้แล้วเปลี่ยนได้ยาก เรารู้เพราะตัวเราเองก็ไม่อยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรเหมือนกัน เราอยากรู้ว่าเขาเตรียมแผนการอะไรไว้ให้กับเราหรือเปล่าถ้า 6 เดือนผ่านไปแล้วพบว่าพี่ข. เปลี่ยนแปลงไม่ได้ (ถึงตอนนั้นเราต้องลาออกเหรอ หรือว่าจะให้พี่ข. ลาออกเหรอ อันนี้ไม่ได้ถามไปตรงๆ แต่ละไว้ฐานเข้าใจ) เขาบอกว่าก็อาจจะหาทางขยับขยายเราหรือพี่ข. ไปตรงที่ทั้งเราและพี่ข. จะสบายใจกันทั้งคู่ เขาพูดถึงการไปทำงานด้านอื่นๆ นอกจากงานวิศวกรรม (การตลาด ไอที) หรือการย้ายไปทำงานที่ออฟฟิศอื่น (ที่ KC หรือที่อื่นๆ)

ระหว่างที่เราคุยกันเรารู้ว่าเจอร์รี่อยากจะได้คำตอบจากเราว่า เราจะไม่เลือกข้อ 2 แต่เราก็ไม่ได้พูดออกไป เราบอกว่าเราคงต้องค่อยๆ คิดและเรามีเวลาถึงวันศุกร์ที่จะตัดสินใจ เขาว่าถ้ากลับไปคิดแล้วยังไม่สบายใจ จะมาคุยกับเขาอีกเมื่อไหร่ก็ได้นะ เราก็เลยถามหยั่งเชิงเขาไปว่า ถ้าวันศุกร์แล้วเราตัดสินใจว่าเราจะอยากออกล่ะ เขาบอกว่า “We will have to see what we can do to make you stay” ได้ยินคำตอบนี้ก็อึ้งไป ไม่คิดว่าเขาจะตอบแบบนี้ ใจหนึ่งก็ดีใจว่าเขาเห็นความสำคัญของเราเว้ย แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่า แบบนี้สงสัยออกไม่ได้แน่ๆ เลย แล้วจะทนทำงานกับพี่ข. กันอีท่าไหนดีล่ะ กลุ้มวุ้ย...

เราคิดว่าถ้าใครคนใดคนหนึ่งระหว่างเรากับพี่ข. จะต้องไป เราคิดว่าเจอร์รี่จะไม่เลือกให้เราไป (ต่างจากทอม เรารู้สึกว่าทอมจะไม่ยอมเลือก แต่ถ้าใครมีรู้สึกว่ามีปัญหาก็ทนไม่ได้ อยากออกเขาก็ให้ออก ให้คู่กรณีตัดสินใจเอง) ซึ่งเราเดาเอาว่าเป็นเพราะพี่ข. มีปัญหากับคนอื่นๆ ที่ทำงานแอดมินที่อยู่ในสายงานของเจอร์รี่ด้วย คนพวกนี้เคยโดนพี่ข. ส่งอีเมล์มาอัดจนไม่รู้จะตอบยังไง ก็เลยส่งต่อไปให้เจอร์รี่ตอบให้ ในขณะที่ตัวเรายอมมาทำช่วยทำงานไอทีให้กับส่วนกลาง และยังไม่เคยก่อปัญหาอะไรให้เขารับรู้

เราออกมาเล่าให้พี่ธ. กับพี่ศ. ฟัง แล้วก็บอกว่าสงสัยเราต้องเลือกข้อ 1 แล้วหละ เพราะเขาพูดเป็นมั่นเป็นเหมาะขนาดนั้น คงต้องยอมให้เขาลองดูซักตั้งหนึ่ง พอดีเย็นวันนั้นเราอยู่ทำงานเย็น (นั่งเคลียร์อีเมล์) น้องคนในแผนกที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้ปีเดียวก็มาคุยๆ เราก็เลยถามว่าตกลงจะเลือกหรือยังว่าจะอยู่หรือจะไป น้องมันตอบว่า ผมเลือกข้อ 2 ตั้งแต่วันแรกที่ได้จดหมายแล้วหละ เราก็งงเพราะคนที่เพิ่งเริ่มงานไม่นาน ไม่น่าจะสนใจอยากลาออกเพราะเงิน แต่ที่อยากออกในสภาพตลาดแบบนี้ ต้องมีปัญหาอื่นแน่ๆ เราก็เลยถามว่าทำไมถึงคิดจะไปล่ะ เขาบอกว่า “คงเป็นสาเหตุเดียวกับที่พี่อยากลาออกนั่นแหละ”

เราบอกว่าน้องไปว่า ถ้าเป็นเพราะสาเหตุนี้อย่างเดียว เราคิดว่าอย่าออกเลย เพราะเหตุการณ์มันจะต้องเปลี่ยนไป พวกนายๆ เขารู้แล้วว่าแผนกเรามีปัญหา แต่เราไม่กล้าบอกว่าทอมกับเจอร์รี่เสนอให้พี่ธ. พี่ศ. และเราอยู่ต่อไปก่อนแบบมีเงื่อนไข เพราะเราไม่แน่ใจว่าคนอื่นๆ จะได้เงื่อนไขเดียวกันด้วยหรือเปล่า

วันพฤหัสบดี 28 พ.ย. 2545 – 1 วันก่อน D-Day

ตอนเช้าเรารีบบอกพี่ธ. ว่าน้องมันเลือกข้อ 2 ไปแล้วนะ พี่ธ. ก็ถามว่าเพราะอะไร เราบอกว่าเหตุผลเดียวกับพวกเราอะแหละ พี่ธ. ก็เลยไปคุยกับน้องว่าอย่าเพิ่งตัดสินใจให้ไปคุยกับทอมก่อน น้องมันก็ไม่ค่อยกล้าไปคุย มันบอกว่าไม่รู้จะคุยไปทำไม พี่ธ. เลยจะไปบอกทอมให้แทน พอดีวันนั้นทอมก็ดันไปประชุมข้างนอกทั้งวัน พี่ธ. ก็ย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าเพิ่งส่งเอกสารให้ฝ่ายบุคคล ให้รอเขาคุยกับทอมก่อน

ตอนสายฝ่ายบุคคลมาเดินทวงเอกสารจากคนในแผนกเราเพราะแผนกอื่นเขาส่งกันเกือบหมดแล้ว แต่พวกเราก็ยังไม่ส่งกันอยู่ดี ส่วนหนึ่งคือเป็น “จอมลีลา” ก็ในเมื่อ Deadline วันศุกร์ ก็รอให้ถึงวันศุกร์ก่อนค่อยส่ง อีกส่วนหนึ่งก็เป็นพวกที่ยังไม่ตัดสินใจ

เหตุการณ์ปะเหมาะเคราะห์ร้ายตอนกลางวันของวันนั้นแผนก Civil มี Training ซึ่งปกติเวลาแผนกไหนมี Training หัวหน้าแผนกก็จะส่งอีเมล์บอกของหัวหน้าแผนกอื่นว่าถ้ามีใครสนใจจะเข้าฟังก็ได้ วันนั้นพี่ข. ส่งอีเมล์มาให้พวกเราและบอกมาด้วยว่าถ้าใครจะเข้า Training นี้ให้ไปคุยกับเขาก่อน พี่ธ. อ่านแล้วก็ไม่พอใจว่าทำไมจะต้องไปคุย มันเป็นเวลาพักเที่ยงใครอยากเข้าก็เรื่องของเขา และการเข้า Training ก็เป็นเรื่องดีเป็นการเพิ่มความรู้ ก่อนหน้านี้มีคนแผนกเครื่องกลไปลงชื่อเข้า Training ของแผนก Civil แล้วพี่ข. เรียกไปบอกว่าไม่ให้เข้าทั้งๆ ที่เป็นเวลาพักเที่ยง คนที่โดนห้ามไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้ทำอะไร ได้แต่มาบ่นกันลับหลัง

ตอนเย็นประมาณหกโมงทอมกลับมาจากประชุมข้างนอก พี่ธ. เข้าไปบอกทอม ทั้งเรื่องที่น้องจะลาออกและเรื่องพี่ข. ห้ามไม่ให้คนในแผนกเข้า Training ของแผนกอื่นแล้วออกมาเล่าว่า ทอมไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่ข. ห้ามคนในแผนกเข้า Training ของแผนกอื่น พี่ข. ทำไม่ถูกต้อง คนที่เป็นหัวหน้าควรจะส่งเสริมให้ลูกน้องในแผนกเข้า Training ไม่ใช่ห้ามเข้า เขาจะต้องคุยกับพี่ข. ดูว่ามีเหตุผลอะไรว่าที่ทำแบบนั้น (นอกเหนือจากเรื่องอื่นๆที่จะต้องคุยกัน) ส่วนเรื่องน้องคนที่จะออกทอมจะเรียกเข้าไปคุยเองพรุ่งนี้ (วันศุกร์)