One in A Million - Part 4
วันพฤหัสบดี 28 พ.ย. 2545 – 1 วันก่อน D-Day

ความจริงปัญหาของเรามันควรจะจบตั้งแต่ตอนที่เราได้ข้อเสนอจากทอมกับเจอร์รี่ไปแล้ว เพราะเราตัดสินใจได้แล้วว่าจะลองอยู่ไปอีกซัก 6 เดือนแล้ว แต่มันคงเป็นคราวซวยของเราจึงได้โดนลากเข้าไปพัวพันกับเรื่องปวดหัวต่อ คือหลังจากที่เราฟังพี่ธ. เล่าเรื่องที่ไปคุยกับทอมจบต่างคนก็เก็บของแยกย้ายกันกลับบ้าน เราดันอยู่ในอารมณ์อยากบ่นก็เลยก็เดินไปหาพี่อุ้ยซึ่งเป็นพี่ที่ทำงานแผนกบัญชี แต่เราจะสนิทกับเขามากๆไปกินข้าวกลางวันด้วยกันทุกวัน เราจะเล่า (บ่น) เรื่องต่างๆในออฟฟิศให้ฟังเยอะ เขารู้เรื่องของเรากับพี่ข. มาตลอด เขาเป็นคนหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ว่าเรามีปัญหาขนาดหนักกับพี่ข. ตอนที่ไปทำงานที่แคนซัสด้วยกัน

ระหว่างที่เรารอให้พี่อุ้ยเก็บของให้เสร็จก็เราคุยไปพลาง เจอร์รี่ก็มาเรียกเราบอกว่าคุยด้วยแป๊บหนึ่ง ก่อนจะถึงห้องทำงานเจอร์รี่หันมาบอกว่า “Don’t be surprised” เราก็นึกในใจไม่เห็นจะ Surprise เลยเราเดาได้อยู่แล้วว่าเขาจะคุยเรื่องปัญหาที่เราจะลาออกเพราะพี่ข. พอก้าวเข้าไปในห้องทำงานเจอร์รี่ถึงได้รู้ว่า Surprise อะไร ก็ทอมหัวหน้าเรานั่งหน้าตาเครียดอยู่ในห้องแล้ว อืมม์... ซวยแล้วสิ GU

เจอร์รี่บอกว่า เขาเพิ่งรู้จากทอมว่ามี Engineer เด็กๆในแผนกเครื่องกลที่ตัดสินใจว่าจะลาออกจากบริษัทเพราะไม่อยากทำงานกับพี่ข. และคนของแผนกเครื่องกลส่วนใหญ่ยังไม่ได้ส่งจดหมายคืนให้แผนกบุคคล ทำให้เขาคิดว่ายังมีคนอีกส่วนหนึ่งที่กำลังคิดจะลาออกเหมือนกัน มันทำให้เขาได้ตระหนักว่าปัญหานี้ท่าทางกินวงกว้างกว่าที่เขาคิดไว้ เขาก็เลยอยากฟังความคิดเห็นของเราในฐานะที่เราทำงานกับริษัทมานาน และน่าจะมีวุฒิภาวะมากพอในการมองและตัดสินปัญหา

เขาถามว่าการที่เขาได้คุยกับเราไปเมื่อวันก่อนทำให้เรามั่นใจและคิดจะอยู่กับบริษัทต่อไปหรือเปล่า เราบอกว่า เราไม่เชื่อว่าปัญหาระหว่างเรากับพี่ข. จะแก้ไขได้ง่ายหรือจบอย่างราบรื่น แต่ในเมื่อเขายืนยันว่ามันจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง เราก็คิดว่าจะยังไม่ลาออกตอนนี้เราจะลองอยู่ดูอีกซักพักหนึ่ง เขาถามว่าถ้าคนอื่นๆได้รับรู้เหมือนอย่างที่เรารับรู้ว่าเขากับทอมกำลังพยายามแก้ปัญหานี้อยู่ พวกเขาจะตัดสินใจไม่ลาออกหรือเปล่า

เราไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับปัญหานี้ในส่วนที่เกินกว่าขอบเขตของตัวเอง ก็เลยบอกว่าเราตอบแทนคนอื่นไม่ได้ แต่ละคนก็มีความคิดเป็นของตัวเอง เจอร์รี่บอกว่าเขาไม่ได้ต้องการให้เราตอบแทนคนอื่น แต่เขาอยากฟังความคิดเห็นของเราในฐานะที่เราทำงานกับคนพวกนี้มานาน เขาอยากรู้ว่าเรา “คิดว่า” เรื่องนี้จะมีผลกับการตัดสินใจของพวกเขาไหม เราจนตรอกไม่รู้ทำไงก็เลยจำใจต้องตอบไปตามเนื้อผ้าว่า เรา “คิดว่า” มันก็คงช่วยได้ในระดับหนึ่ง

เจอร์รี่บอกว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะเรียกทุกคนเข้ามาอธิบายเรื่องนี้ทีละคนหรือเรียกประชุมคนในแผนกเครื่องกลโดยไม่มีพี่ข. เขาประชุมด้วย และพรุ่งนี้ก็จะถึง deadline ที่จะต้องส่งจดหมายคืนแล้ว เขาถามเราว่าถ้าเขาจะให้เรากับพี่ธ. จะช่วยคุยกับน้องคนที่จะลาออกและคนในแผนกคนอื่นๆให้พวกเขาเข้าใจเหมือนกับที่เราเข้าใจได้ไหม

เรารู้สึกว่าเขากำลังจะลากเราให้ล้ำเส้นอีกแล้ว ก็เลยบอกไปว่าเราไม่คิดว่าเราจะสามารถช่วยอะไรได้มากนัก เราอาจจะช่วยคุยให้ทุกคนรู้ว่า ผู้บริหารรับรู้ปัญหาของพวกเขาแล้วและกำลังจะแก้ไข แต่นั่นมันก็ไม่ได้เป็นคำมั่นสัญญาที่มีน้ำหนักอะไรเลย เราไม่รู้ว่ามันจะทำให้คนเปลี่ยนใจได้หรือเปล่า และเราก็ไม่สามารถเสนออะไรให้ได้มากไปกว่านั้น แถมในความเห็นส่วนตัวเรายังก็ค่อนข้างจะมีความเชื่อไปในทางที่ว่าปัญหานี้คงจะไม่จบแบบ Happy Ending สุดท้ายแล้วเราอาจจะเป็นคนต้องลาออกไปเอง ถ้าคำพูดของเราทำให้พวกเขาไม่ลาออกได้ตอนนี้ แต่เกิดเขาอยากลาออกในอนาคตเหมือนเรา เราว่ามันก็ไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่

เจอร์รี่ก็เลยถามว่า ถ้างั้นผู้บริหารจะต้องทำยังไงถึงจะทำให้คนในแผนกเครื่องกลเชื่อใจได้ เราบอกว่า เราก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาก็ถามอีกว่า สมมติว่าถ้าเราเป็นคนที่ต้องตัดสินใจตรงนี้ เราจะตัดสินใจยังไง เราก็บอกว่าเราไม่รู้ (ในใจคิดว่ามาถามเราได้ไงวะ เราไม่ได้เป็นผู้บริหารซักหน่อย เราไม่มีหน้าที่มาคิดอะไรยากๆแบบนั้นหรอก)

ความจริงเราอยากบอกไปเหมือนกันว่า ทำไมไม่ให้คำพูดต่างๆ ออกมาจากผู้บริหารแทนที่จะมาจากเราหรือพี่ธ. รวมทั้งให้ทุกคนอื่นๆ ได้ข้อเสนอแบบเดียวกับที่เราได้ นั่นคือ ถ้าหลังจากที่ผู้บริหารได้คุยกับพี่ข. แล้วเกิดมีคนที่ยังทนไม่ไหวกับการทำงานของพี่ข. อยากลาออก บริษัทก็จะจ่ายเงินชดเชยให้เหมือนกัน แต่เราคิดสรตะดูแล้ว ยังไงบริษัทก็จะไม่เลือกทางนี้ เพราะมันเปิดช่องให้คนฉวยโอกาสได้ง่าย (ไปหางานแล้วมาลาออกทีหลัง) และไม่ใช่ทุกคนที่บริษัทคิดว่าเป็น Key People ที่เขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้คนพวกนี้ลาออก

หลังจากคุยๆกันไปเหมือนเจอร์รี่ก็จะคิดได้แล้วหละว่าทางออกของปัญหานี้มันมีไม่มาก เขาพูดๆเหมือนจะปรึกษาเรากลายๆว่า ตอนแรกเขาจะอีกซัก 1-2 อาทิตย์หลังจากนี้ที่จะคุยกับพี่ข. เรื่องการบริหารและความคาดหวังในตัวพี่ข. ในฐานะหัวหน้าแผนก เพราะเป็นช่วงที่จะทำ Performance Evaluation กันพอดี แต่เขาคิดว่าเขาคงจะรอไม่ได้แล้ว เขาคงจะต้องคุยกับพี่ข. เลย เพื่อที่คนแผนกจะได้รับรู้ว่าผู้บริหารกำลังแก้ปัญหากันจริงๆ ไม่ใช่แค่เป็นการพูดสัญญิงสัญญาเพื่อซื้อเวลา

เราบอกว่าเขาจะต้องหาวิธีที่จะพูดกับพี่ข. ให้ดี เพราะพี่ข. อาจจะไม่ยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์โดยเฉพาะถ้ามีการบอกว่ามันมาจากลูกน้องอย่างเราหรือคนอื่นๆ เขาอาจจะรู้สึกต่อต้านหรือเสียหน้าจนกระทั่งตัดสินใจลาออกเลยด้วยซ้ำ เราพูดถึงตรงนี้เราก็สังเกตได้ว่า ที่จริงแล้วทั้งเจอร์รี่และทอมค่อนข้างจะตัดสินใจไปได้ก่อนแล้วว่าเขาจะทำยังไงกับปัญหานี้ ที่เขาเรียกเราเข้าไปคุยน่าจะเป็นเพราะเขาหวังว่า เราจะมีไอเดียอะไรที่ดีกว่านี้ ปรากฎว่าเราก็ทำให้เขาผิดหวังไปตามระเบียบ

เจอร์รี่พยายามจะถามโน่นถามนี่เราอีก แต่เราก็ไม่ค่อยอยากตอบแล้วเพราะเรารู้สึกแย่มากๆแล้ว เรารู้สึกว่าทางเลือกของพี่ข. เหลือน้อยเหลือเกิน (คนที่เป็นผู้บริหารเขากำลังชั่งน้ำหนักอยู่ว่า ด้านหนึ่งคือพี่ข. อีกด้านหนึ่งคือคนเกือบทั้งแผนก ก็คงตอบได้ไม่ยากว่าตาชั่งจะเอียไปข้างไหน) ถึงเราจะไม่อยากทำงานกับพี่ข. แต่ก็ใช่ว่าเราจะอยากให้เขาออกจากงานไปแบบนี้

ตลอดเวลาที่คุยกันทอมไม่ได้พูดอะไรเลย (เราว่าเขาค่อนข้างจะ Hurt มากเหมือนกัน เพราะพี่ข. เป็นลูกน้องที่เขาปั้นมากับมือ เขาเป็นคนเลือกที่จะโปรโมทพี่ข. ขึ้นไปเป็นหัวหน้าในขณะที่เขามีโอกาสจะโปรโมทพี่ธ. ด้วย และเขาก็เป็นหัวหน้าที่ควรจะต้องดูแลและเตรียมความพร้อมให้พี่ข. ต้องเป็นพี่เลี้ยงให้พี่ข. ในการทำหน้าที่หัวหน้าแผนก) พอเราทำท่าว่าไม่อยากจะคิดหรืออยากจะตอบคำถามอะไรอีกแล้ว ทอมก็เลยตัดบทว่า มันคงต้องเป็นหน้าที่ของเขากับเจอร์รี่แล้วที่จะตัดสินใจว่าวันพรุ่งนี้จะทำอะไรบ้าง เราก็รีบเห็นด้วยแล้วก็ออกจากห้องนั้นมา

เราออกมาหาพี่อุ้ย ก็เล่าให้แกฟังคร่าวๆ ว่าคุยอะไรกันบ้าง แล้วเราก็บอกว่าเราไม่จะคิดเลยว่าพรุ่งนี้มันจะเกิดอะไรขึ้น เราอยากลาพักร้อนเพราะไม่อยากมาเจอบรรยากาศมาคุ เราขับรถกลับบ้านแบบสมองตื้อๆ คิดสับสนว่าเราทำอะไรลงไปกันแน่ เราเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ หรือว่ามัน Suppose ว่าจะต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้ว