One in A Million - Finale
วันศุกร์ 29 พ.ย. 2545 – D-Day

เราไปถึงที่ทำงานด้วยความเหนื่อยอ่อนเพราะนอนหลับไม่สนิท เราบอกพี่ธ. กับพี่ศ. ว่าวันนี้บรรยากาศมาคุแน่นอนเพราะเมื่อวานเจอร์รี่กับทอมเรียกเราเข้าไปไปคุย เรามองไปรอบๆออฟฟิศก็เห็นพวกหัวหน้าๆทั้งหลายก็เดินไปเดินมา ประตูห้องทำงานดี๋ยวปิดเดี๋ยวเปิด คนโน้นเข้าห้องนี้คนนี้เขาห้องนั้นกันให้วุ่นไปหมด เราเห็นประตูห้องทอมปิดอยู่ พี่ธ. บอกว่าทอมเรียกน้องคนที่เพิ่งบอกว่าคิดจะลาออกเข้าไปคุยอยู่ เรานั่งลงทำงานใจไม่ค่อยเป็นสุข ซักพักก็ได้ยินเสียงพี่ข. พูดกับพี่ธ. ว่าขอคุยด้วยหน่อย ก็ยิ่งใจไม่เป็นสุขมากขึ้น

พี่ธ. กลับมาจากห้องพี่ข. ก็บอกว่า พี่ข. เรียกเขาไปถามว่าพี่ธ. หรือคนในแผนกมีปัญหาอะไรหรือเปล่า เพราะทอมเรียกเขาเข้าไปบอกว่า ลูกน้องในแผนกมีปัญหากับการบริหารของเขาจนคิดจะลาออกกันหมดแล้ว เขาถามว่าใครมีปัญหาอะไรทอมก็ไม่ยอมบอก ได้แต่บอกว่าให้ไปคุยกับลูกน้องเอาเอง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมมีปัญหากันแล้วถึงไม่คุยกับเขา แต่กลับไปคุยกับทอม พี่ธ. บอกว่าเขาไม่รู้ เขาไม่ได้มีปัญหาอะไร พี่ข. ก็เลยถามว่า พี่ธ. จะเลือกข้อ 1 หรือข้อ 2 พี่ธ. บอกว่าเขาเลือกข้อ 1 (คือไม่ลาออก) และส่งจดหมายไปตั้งนานแล้ว พี่ข. ก็เลยถามว่า แล้วรู้ไหมว่ามีใครที่คิดจะเลือกข้อ 2 พี่ธ. ก็บอกว่าก็ได้ยินว่ามีน้องคนหนึ่งอาจจะเลือกข้อ 2 แต่ก็ยังไม่แน่ เราก็โวยวายว่าทำไมพี่ธ. ไม่บอกพี่ข. ไปว่ามีปัญหาอะไร พี่ธ. บอกว่าบอกไปพี่ข. ก็คงไม่ยอมรับ แถมจะทำให้มองหน้ากันไม่ติดเปล่าๆ

พี่ธ. บอกว่าตอนที่เขาออกมาจากห้องพี่ข. น้องคนที่เข้าไปคุยกับทอมออกมาจากห้องทอมพอดี ก็เลยโดนพี่ข. เรียกเข้าไปคุยต่อเลย พี่ธ. บอกว่าเดี๋ยวพี่ข. ต้องเรียกเราเข้าไปคุยเป็นรายต่อไปแน่ ถ้าเราไม่อยากพูดอะไรจะตอบอย่างเขาก็ได้ ก็ขนาดทอมเองยังไม่ยอมพูดเลย เราจะพูดไปทำไมให้เปลืองตัว

เรายืนคุยกันอยู่ได้พักเดียวพี่ข. ก็มาเรียกเราไป เขาถามเราว่าตกลงเราจะเลือกข้อ 1 หรือข้อ 2 เราก็บอกว่าเราจะเลือกข้อ 1 เขาก็ถามว่าได้ยินมาว่าเราเคยคิดจะเลือกข้อ 2 เหมือนกัน เพราะมีปัญหากับเขาหรือเปล่า เรายังไม่บ้าดีเดือดพอที่จะปะทะกับพี่ข. โดยตรงก็เลยบอกเลี่ยงไปว่าเราอยากได้เงินก้อนใหญ่ เขาก็ทำท่าไม่เข้าใจ เขาบอกว่าทอมบอกเขาว่าคนในแผนกคิดจะเลือกข้อ 2 เพราะเขา แต่เท่าที่เขาถามมายังไม่เห็นมีใครบอกว่าจะเลือกข้อ 2 เพราะเขาซักคน ทอมต้องคิดไปเองแน่ๆเลย เราไม่รู้จะพูดอะไรยังไงก็เลยบอกว่า เราไม่รู้เหมือนกันแล้วเราก็นั่งนิ่งๆ พี่ข. เขาคงเห็นว่าคงไม่ได้ความกระจ่างอะไรจากเรา เขาก็เลยตัดบทว่า เราตัดสินใจเลือกข้อ 1 ก็ดีแล้วหละ แต่ตัวเขาอาจจะต้องเลือกข้อ 2 เขาคงทำงานที่นี่ต่อไปไม่ได้ เพราะทอมคิดว่าคนในแผนกมีปัญหากับเขา ในขณะเดียวกันคนในแผนกก็ไม่ยอมพูดอะไรกับเขาแต่กลับไปพูดกับทอมแทน

ถัดจากเราก็เป็นพี่ศ. ที่โดนเรียกเข้าไปคุย คำถามก็คล้ายๆกัน แต่เราว่าพี่ศ. เขาเป็นคนดีที่สุดและเห็นแก่ตัวน้อยที่สุด เพราะเขาบอกพี่ข. ไปตรงๆว่าเขามีปัญหากับการทำงานของพี่ข. พี่ข. ก็เลยถามว่าแล้วทำไมถึงไม่บอกไม่คุยกันตรงๆ พี่ศ. บอกไปว่า ก็พี่ดุขนาดนี้ใครเขาจะกล้าบอกพี่ พี่ข. ฟังแล้วก็อึ้งไป พี่ศ. ออกมาแล้วก็บอกว่า เขาไม่อยากโกหก ถ้าเป็นปกติเขาก็คงไม่พูดอะไร แต่ตอนนี้ในเมื่อพี่ข. กล้าถามเขาก็กล้าบอกความจริง มันทำให้เรารู้สึกผิดเพราะเราเป็นต้นเหตุของปัญหานี้เองแท้ๆ แต่เรากลับไม่ยอมพูดอะไรเลย อย่างที่บอกว่าในสายตาคนทั่วๆไปจะดูว่าเรากับพี่ข. สนิทกันมาก อย่างน้อยเราก็น่าจะแสดงความปรารถนาดีให้กับพี่ข. และช่วยไขความกระจ่างให้เขาบ้างซักนิดก็ยังดี แต่เราก็ขี้ขลาดและเห็นแก่ตัวเกินไป

พี่ข. ก็ไม่ได้เรียกคนอื่นในแผนกเข้าไปคุยอีก แต่เขาเรียกพี่อุ้ยเข้าไปคุยด้วยทั้งๆที่พี่อุ้ยไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้เลยซักนิด พี่อุ้ยมาเล่าให้เราฟังทีหลังว่า พี่ข. คงสับสนและต้องการปรึกษาหรือปรับทุกข์กับใครบางคนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง พี่อุ้ยเป็นผู้ใหญ่และทำงานมานานพอๆ กับเรา และเป็นคนที่พี่ข. สนิทด้วยมากที่สุด พี่อุ้ยเล่าให้เราฟังว่าพี่ข. คิดว่าทอมเข้าใจผิดว่าคนในแผนกคิดอยากจะลาออกเพราะเขา เขาไม่รู้ตัวเลยซักนิดหนึ่งว่าเขาทำอะไรให้ลูกน้องรู้สึกไม่สบายใจ เขาไม่รู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำมันเป็นเรื่องผิดหรือไม่ควรทำ

พี่อุ้ยพยายามจะพูดอ้อมๆ ไปถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เราเคยเล่าให้พี่อุ้ยฟังว่าพี่ข. ทำอะไรไว้บ้าง เช่น เวลาทำงานแล้วลูกน้องมีความเห็นไม่ตรงกับพี่ข. ก็จะเถียงเขาไม่ได้ ไม่ว่าจะมีเหตุผลดีขนาดไหน, เวลาที่พี่ข. ให้งานแล้ว เขาจะชอบมาบงการให้ทำงานของเขาให้เสร็จเป็นอันดับแรก ถึงแม้ว่าจะมีงานอื่นอยู่ก็จะต้องหยุดงานพวกนั้นมาทำงานให้เขาก่อน ทั้งๆที่บางครั้งงานของพี่ข. ไม่ค่อยสำคัญหรือไม่มี Deadline มาบีบเลยก็ตาม, เวลาที่พี่ข. เห็นอะไรไม่ตรงกับที่เขาคิด เขาก็จะพูดออกมาตรงๆโดยไม่ได้รู้สึกว่ามันทำให้คนฟังโกรธหรือไม่สบายใจ ฯลฯ แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้ทำความรู้สึกของพี่ข. เปลี่ยนไปเลย เขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด และสุดท้ายก็กลายเป็นคิดว่า เขาไม่เห็นว่าคนในแผนกจะมีปัญหาอะไร ทอมคิดไปเองทั้งเพ จริงๆแล้วบริษัทคงจะต้องการจะบีบให้เขาลาออก

พี่อุ้ยบอกว่า ถ้าพี่ข. คิดว่าตัวเองไม่ผิดก็น่าจะลองคุยกับทอมดู บอกทอมว่าถ้ามีอะไรจะให้ปรับปรุงหรือแก้ไขก็บอกมาตรงๆ หรือจะให้ทุกคนในแผนกแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวพี่ข. ด้วยก็ได้ ถ้าคนในแผนกกลัวพี่ข. จนไม่กล้าบอกตรงๆ อาจจะให้เขียนใส่กระดาษโดยไม่ต้องบอกว่ามาจากใครก็ได้ แต่พี่ข. บอกว่าเขาบอกทอมไปแล้วว่าเขาจะลาออก และทอมก็ไม่ถามและไม่พูดอะไร (ซึ่งตรงนี้เรารู้สึกว่า ทอมโหด เขาน่าจะให้โอกาสพี่ข. ซักนิด อย่างน้อยก็น่าจะถามว่าคุยกับคนในแผนกแล้วได้ความว่ายังไง หรือน่าจะทักท้วงการตัดสินใจของพี่ข. แต่ทอมคงคิดจากประโยชน์ของบริษัท เขายอมเสียส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่ เห็นแบบนี้แล้วต้องปลงเลยว่า ชีวิตพนักงานบริษัทไม่มีใครที่ Irreplaceable หรือ ีืIndispensable) พี่อุ้ยคุยกับพี่ข. นานพอดู พยายามเกลี้ยกล่อมให้พี่ข. ไปคุยกับทอมอีกรอบว่าจะลองอยู่พิสูจน์ตัวเองอีกซัก 3 เดือน 6 เดือน แต่พี่ข. เขา(โดนสถานการณ์บังคับให้)ตัดสินใจลาออกไปแล้ว และคงจะรู้สึกเสียฟอร์มมากกว่านี้ถ้าคิดจะเปลี่ยนใจ

กลางวันวันนั้นพี่อุ้ย พี่ข. เราและน้องในแผนกอีกคนหนึ่งไปกินข้าวกลางวันกันตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทุกคนต่างก็คงคิดอะไรกันให้วุ่นวายไปหมด ถ้าความคิดมันมองเห็นได้เหมือนในการ์ตูน ฟองอากาศความคิดของแต่ละคนคงชนกันโครมคราม หลังกินข้าวปกติพวกเราก็จะแยกย้ายกันเข้าบูธตัวเอง พักผ่อนตามอัธยาศัย (ท่องเว็บ อ่านหนังสือพิมพ์ จับกลุ่มคุย) ห้องทำงานพี่ข. จะอยู่ห่างจากพวกเราออกไป เขาจะไม่ค่อยมาคุยกับพวกเราซักเท่าไหร่ แต่วันนี้เขามาบอกพวกเราว่าเขาตกลงตัดสินใจเลือกข้อ 2 คนอื่นก็ทำเป็นไก๋ถามว่าทำไม พี่ข. บอกว่าเขาเบื่อการทำงานเป็นพนักงานบริษัท พี่ธ. ก็ถามว่าอย่างนี้ท่าทางจะไม่หางานใหม่แล้วใช่ไหม พี่ข. บอกว่า ความจริงเขาอยากจะอยู่บ้านเฉยๆ ถ้าจะทำงานก็อยากทำอะไรที่ไม่ต้องเป็นงานประจำแปดโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น บอกว่า อย่างพี่ข. อยู่ได้อยู่แล้วเพราะฐานะที่บ้านดี แถมไม่ต้องรับผิดชอบชีวิตคนอื่นด้วย หรือจะเอาเงินก้อนใหญ่ที่ได้ไปทำธุรกิจอะไรๆ ก็น่าจะดี พวกเราคุยโน่นคุยนี่กันอีกพักใหญ่ ทำเป็นเหมือนกับไม่รู้ว่าสาเหตุที่พี่ข. ลาออกจริงๆ คืออะไร

สรุปว่าวันศุกร์ D-Day ก็เป็นวันสุดท้ายของการทำงานของพี่ข. เพราะพี่ข.ไปขอทอมว่าให้เขาไม่ต้องมาทำงานอีกเดือนหนึ่งที่เหลือ (ตามเอกสารที่แจก การลาออกมีผลบังคับวันที่ 31 ธันวาคม 2545) ซึ่งทอมก็คงคิดไว้ล่วงหน้าแล้วเหมือนกันว่าถ้าพี่ข. ตัดสินใจลาออกเขาก็จะให้มีผลบังคับเลย (แต่ยังได้เงินเดือนของเดือนธันวาคมนะ) เขาบอกว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่พี่ข. จะมาทำงานต่อไป พี่อุ้ยบอกเราว่าพี่ข. กลับบ้านไปตอนประมาณบ่ายสองโดยไม่ได้บอกลาใคร ทอมเดินมาบอก+ส่งอีเมล์มาให้เรา (ในฐานะไอทีโคฯ) ว่าหลังห้าโมงเย็นให้ลบ Account ของพี่ข. ออกจากระบบของเรา และให้เราส่งอีเมล์ไปบอกเมืองนอกว่าให้ลบ Account อื่นๆออกไปด้วย เราส่งอีเมล์เสร็จก็ไปหาพี่อุ้ย พอเราฟังพี่อุ้ยเล่าเรื่องตอนที่คุยกับพี่ข. ให้ฟังแล้วเราก็ทั้งเศร้าทั้งเหนื่อยทั้งสับสน เรากลับบ้านแบบหัวหนักๆ

เก๋โทรมาหาเราตอนค่ำ ถามว่าเราเป็นยังไง เราบอกว่าเราไม่สบายใจแต่ยังไม่อยากคุย แต่สุดท้ายเราก็เล่าให้ฟังว่าพี่ข. ลาออกไปแล้ว เก๋บอกว่า แบบนี้ก็เราก็สบายใจได้แล้วสิ แต่ปรากฏว่าเราเศร้า Ship หายเลย เรารู้สึกว่าเราทำผิดกับพี่ข. เยอะแยะเหลือเกิน ยิ่งรู้ว่าเขาคิดยังไงก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำมันเกิดจากการมีมุมมองที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง จริงๆแล้วเขาไม่ได้ตั้งใจทำร้ายใครเลย โชคร้ายมีคนที่มีมุมมองแบบเขาอยู่คนเดียว แต่มีคนที่มีมุมมองแบบเราหลายๆคน สุดท้ายแล้วมันเหมือนรายการ Survivor เลย คือ คนหมู่มาก Vote ให้คนคนหนึ่งต้องออกจากเผ่าไป และที่เรารู้สึกแย่มากๆก็คือว่า มันคงจะไม่มีการ Vote ถ้าเราไม่เป็นคนจุดประเด็นขึ้นมา

ในที่สุดนิยายเรื่องยาวของเราก็จบเสียที ผลของมันกลายเป็นเหตุการณ์หนึ่งในล้านที่ลูกน้องไม่ถูกกับหัวหน้าแล้วดันทำให้หัวหน้าต้องลาออกไป ช่วงอาทิตย์แรกๆหลังจากที่พี่ข. ลาออกไป มีคำถามหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกสะอึกและอยากร้องไห้ คือ “เป็นไง สบายใจขึ้นไหม” เราไม่รู้จะตอบยังไง เราดีใจที่เรายังได้ทำงานที่บริษัทนี้อย่างที่เราต้องการ แต่เราจะสบายได้ยังไงที่ทำให้คนคนหนึ่งต้องลาออกไป ทุกวันนี้เวลานึกย้อนกลับไปเราก็ยังอดรู้สึกไม่สบายใจไม่ได้ มันกลายเป็นตราบาปติดตัวเราไปตลอด