แฟนฉัน (My Girl -- Thai Version)
แฟนฉันไม่ใช่หนังไทยที่ดีที่สุดในรอบปี แต่เป็นหนังที่น่าประทับใจที่สุดเรื่องหนึ่งและอาจจะเป็นหนังไทยที่ทำเงินมากที่สุดในรอบปี

เมื่อวานเก๋โทรมาหาเราตอนห้าโมงนิดๆ ชวนไปดูหนังแฟนฉัน ทั้งๆ ที่หวั่นใจแต่ก็ถามไปว่า “เมื่อไหร่?” ที่ว่าหวั่นใจเพราะกลัวเก๋จะตอบว่า “วันนี้” ซึ่งก็เป็นไปตามที่คาด ความจริงเราวางแผนไว้ว่าจะไปดูแฟนฉันเมื่อวานนั่นแหละ เพียงแต่หวั่นใจกับคำชวนของเก๋เพราะคอนโดกับที่ทำงานเก๋อยู่บางนา ที่ทำงานเราอยู่ลาดพร้าว คอนโดอยู่พระราม 3 ถ้าเราจะไปดูหนังกับเก๋นั่นคือเก๋หรือเราคนใดคนหนึ่งจะต้องขับรถข้ามเมือง

เราบอกเก๋ว่าไม่สามารถจะไปดูหนังกับเก๋ได้ เพราะนอกจากปัญหาเรื่องขับรถข้ามเมืองแล้ว ตอนที่เก๋โทรมาเรากำลังเปิดหนังสือ Heat Transfer นั่งถกปัญหากับคนที่ทำงานเรื่องจะคำนวณหาปริมาณน้ำในท่อไอน้ำที่จะกลั่นตัวออกมาตอนระหว่างที่โรงไฟฟ้าเริ่มทำงาน ไม่ต้องตกใจว่าทำไมมันฟังดูซับซ้อน นี่เป็นงานเดียวในรอบหลายๆ เดือนที่ต้องอาศัยทฤษฎีการคำนวณจากตำรา ปกติงานของเราจะอาศัยความรู้ด้าน Underwater (ดำน้ำ) กับสัตวศาสตร์ (จับแพะชนแกะ) เป็นหลัก

ความรู้ Heat Transfer กับ Thermodynamic (หรือเธอร์โมไดแนมอิคตามตำราแปลภาษาไทยของอาจารย์เราสมัยเรียนป.ตรี) เราคืนอาจารย์ไปเรียบร้อยตั้งแต่จบใหม่ๆ จึงคาดว่าการสนทนากับคนที่ทำงานคงไม่จบโดยเร็วพอที่จะซิ่งรถข้ามเมืองไปดูหนังรอบค่ำที่บางนาได้ (ไอ้ครั้นจะดูรอบดึกรอบมิดไนท์ก็เห็นจะไม่ไหว แก่ป่านนี้แล้วนอนดึกๆ ร่างกายมันสู้ไม่ไหว)

เก๋ยอมรับคำปฏิเสธของเราโดยดุษณี แถมบอกว่า เก๋ตั้งใจไว้แล้วว่ายังไงก็จะไปดูแฟนฉันวันนี้ แต่ที่โทรหานิจคือจะหาเพื่อนไปดูด้วย ไอเดียของเก๋ก็คือว่า เก๋จะดูแฟนฉันที่เซ็นทรัลบางนา ส่วนนิจก็ไปดูแฟนฉันที่เซ็นทรัลพระราม 3 ไปดูเรื่องเดียวกันเป็นเพื่อนกันแต่คนละโรง (ไอเดียแบบนี้ เราว่ามีแค่ไม่กี่คนที่คิดได้)

เราก็เลยบอกเก๋ไปว่า งั้นเก๋ไปดูก่อนแล้วกัน เดี๋ยวยังไงถ้าเราทำงานเสร็จเราจะตามไปดูเป็นเพื่อน (ที่เซ็นทรัลพระราม 3) ปรากฏว่าเราก็ทำงานเสร็จเอาตอนหกโมงสี่สิบห้า ชั่งใจอยู่วูบหนึ่งว่าจะไปดูแฟนฉัน(เป็นเพื่อนเก๋ดีไหม) เพราะรอบค่อนข้างดึก (ทุ่มสี่สิบ) แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจไปดู ด้วยความที่กลัวว่าจะมาเมาท์เรื่องหนังไม่ทันเก๋

สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดู ก็คงจะมีคำถามกันว่าแล้วหนังเป็นยังไง เราดูแล้วก็ต้องบอกว่าชอบ... ดูสนุกมาก... เขาบอกว่าแฟนฉันเป็นหนังเด็ก แต่เรากลับคิดว่ามันเป็นหนังผู้ใหญ่ที่เล่าเรื่องของเด็กเสียมากกว่า เป็นผู้ใหญ่ที่คนึงหาอดีตเก่าๆ (Nostalgia)

ถ้ามองในแง่ของคุณภาพของหนังแฟนฉันไม่ใช่หนังที่ดีมาก พล็อตเรื่องบางตอนก็ยังไม่ค่อยแน่น มี cliché (มุขเก่าๆ ซ้ำๆ) ทั้งในด้านเนื้อเรื่อง (เช่น เรื่องทะเลาะงอนกันของเด็กๆ ระหว่างเจี๊ยบกับน้อยหน่าตัวเอกของเรื่อง ความสัมพันธ์แบบคู่แค้นระหว่างพ่อของเจี๊ยบกับพ่อของน้อยหน่า ฯลฯ) และมี cliché ในด้านการนำเสนอ (ภาพซ้ำๆ ของการที่เจี๊ยบต้องให้พ่อขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งขึ้นรถโรงเรียนกลางทางทุกวัน หรือการใช้ภาพนกคู่ที่แสดงความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไประหว่างเจี๊ยบกับน้อยหน่า ฯลฯ)

การตัดต่อเรื่องยังไม่ค่อยราบรื่น การเรียบเรียงดนตรีก็สะดุด อารมณ์ของหนังยังไม่พอดี เราเดาเอาว่าอาจเป็นผลมาจากการที่ใช้ผู้กำกับมากถึง 6 คนทำให้มีไอเดียที่กระจัดกระจาย และผู้กำกับเป็นมือใหม่ทั้งหมดทำให้มีเรื่องที่อยากจะทำเยอะไปหน่อยเลยใส่มุขกันไม่ยั้งทั้งๆ ที่มันอาจจะขาดๆ เกินๆ ไปจากองค์รวมของหนัง

แต่ไม่ว่าจะมีข้อด้อยต่างๆ ที่ว่ามา แฟนฉัน ก็ยังเป็นหนังที่ดูสนุกมากๆ ดูไปยิ้มไปตลอดเรื่อง โดยเฉพาะสำหรับคนที่อายุประมาณเดียวกับเจี๊ยบและน้อยหน่า (หรือแม้แต่คนที่ย่างเข้าวัยรุ่นไปแล้ว) ในสมัยนั้น เพราะแค่ได้ไปดูบรรยากาศเก่าๆ ได้เห็นของเล่นที่เคยเล่น ได้ฟังเพลงที่เคยฟัง (บางคนแอบร้องคลอหรือเคาะเท้าตามจังหวะ) ได้ดูหนังดูละครที่เคยฮิตในยุคนั้น ได้เห็นภาพดารานักร้องหรือฮีโรในดวงใจ แค่นี้ก็สนุกสุดแสนยิ่งกว่าเที่ยวแดนเนรมิตแล้ว มาบวกกับมุขตลกความน่ารักน่าชังของตัวละครเด็กๆ แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

Box Office

แฟนฉันเปิดฉายอาทิตย์แรกได้เงินเกินห้าสิบล้านไปแล้ว หนังเรื่องนี้น่าจะทำเงินได้เกิน 100 ล้านบาท นี่ไม่ได้นั่งเทียนแต่เป็นการคาดเดาแบบมีหลักการ

หนังส่วนใหญ่จะทำรายได้แรงในอาทิตย์แรกแล้วค่อยๆ ลดลง ถ้าคิดว่าหนังทำเงินน้อยลงครึ่งหนึ่งของอาทิตย์ก่อนหน้านั้น (ตามทฤษฎี Half Life Decay) แฟนฉันเริ่มอาทิตย์แรกที่ประมาณ 60 ล้าน อาทิตย์ต่อไป 30 ล้าน อาทิตย์ต่อไป 15 ล้าน ฯลฯ ถ้ายืนโรงฉายได้แค่ 3 อาทิตย์ก็ “ร้อยล้านแล้วจ้า” แน่นอน แต่เรากำลังจะสวมบทเทพธิดาพยากรณ์ฟังธงไปว่าน่าจะได้กว่า 120 ล้านด้วยซ้ำ ย้ำ... นี่ไม่ได้นั่งเทียนแต่เป็นการคาดเดาแบบมีหลักการ...

เหตุการณ์ในหนังเกิดตอนปี 2528 น้อยหน่ากับเจี๊ยบตัวเอกในหนังอายุ 10 ขวบ นับถึงปัจจุบันคือ 18 ปีผ่านไป น้อยหน่ากับเจี๊ยบน่าจะอายุประมาณ 27-28 ปี เพราะฉะนั้น “แฟนของแฟนฉัน” กลุ่มใหญ่ที่สุดน่าจะอายุประมาณ 28-38 ปี ซึ่งจากที่เราแอบมองแอบฟังคนคุยกันตอนที่ออกจากโรงหนังก็พบว่าเป็นการประมาณที่ค่อนข้างใกล้เคียงกับความจริง

ตามสำมะโนประชากรปี 2543 คนอายุในช่วงนี้มีเกือบๆ 11 ล้านคน ตีซะว่า 10 เปอร์เซ็นต์ของคนกลุ่มนี้ไปดูแฟนฉัน ตั๋วหนังใบละ 100 บาท รายได้ก็ปาเข้าไป 110 ล้านบาทแล้ว นี่ยังไม่ได้รวมเด็กๆ ที่ “พ่อแม่วัยแฟนฉัน” พาไปดูภาพอดีตสมัยคุณพ่อคุณแม่ยังเด็กกับกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่ชอบไปดูหนังฆ่าเวลาเลยนะ

ในความเป็นจริงคนวัยแฟนฉันน่าจะไปดูหนังเรื่องนี้มากกว่าที่ 10 เปอร์เซ็นต์ที่เรากะไว้เสียอีก เป็นประมาณเดียวกับปรากฏการณ์ที่วงดนตรีเฉลียงหรือชาตรีกลับมารวมวงกันเล่นคอนเสิร์ตแล้วขายบัตรกระจาย เพราะกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มคนที่มีกำลัง(ทรัพย์)ในการบริโภคแต่ไม่ค่อยมีสื่อให้ให้บริโภค

ในตลาดที่อะไรอะไรๆ ก็จ้องจะทำขายวัยรุ่น พอมีอะไรที่ทำออกมาขายคนวัยแฟนฉัน จะไม่ช่วยอุดหนุนกันก็กระไรอยู่ ก็ต้องคอยดูกันต่อไปว่าคำทำนายของเทพธิดาพยากรณ์จะออกมาชัวร์หรือมั่วนิ่ม...