Window Seat
วันจันทร์ที่ผ่านมาเราย้ายที่นั่ง เราย้ายที่นั่งบ่อยมากๆ เป็นธรรมเนียมของบริษัทหละมั้ง เขาชอบจัดที่นั่งให้เป็นแผนกๆ พอซักพักหนึ่งมีการจ้างคนเพิ่มขึ้น ก็ต้องจัดที่นั่งกันใหม่ เฉลี่ยๆ แล้วย้ายที่นั่งประมาณปีละครั้ง ครั้งล่าสุดนี้เป็นการย้ายกันเกือบทั้งออฟฟิศ เพราะปีที่ผ่านมาจ้างคนเพิ่มขึ้นเยอะมาก เลยต้องเช่าเนื้อที่ออฟฟิศที่ชั้นอื่นเพิ่มอีก 1/4 ชั้น แล้วให้แผนกบัญชีกับแผนกบุคคลย้ายไปนั่ง แล้วก็ย้ายแผนกเราไปนั่งแทนที่

ความที่เราเป็นพวกมีอาวุโสแล้ว ย้ายคราวนี้เขาก็ให้เลือกที่นั่งได้ เราเลยเลือกนั่งริมหน้าต่าง ตั้งแต่ทำงานที่นี่มาเจ็ดปีกว่า เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งริมหน้าต่าง รู้สึกดีได้ดูวิวทิวทัศน์ข้างนอก เพราะเมื่อก่อนฝนจะตกแดดจะออก ไม่เคยได้รู้กับเขา คราวนี้เวลาเบื่อๆ เซ็งๆ ก็ยังได้ดูฟ้าดูรถติดบนถนน แต่วันก่อนคนแผนกบัญชีที่เคยนั่งแถวๆ ที่เรานั่งเขาผ่านมา ก็เลยแวะเข้ามาดูบูธเรา เขาชมว่ามีที่นั่งเป็นส่วนตัวดี แถมได้นั่งใกล้หน้าต่าง ว่างๆ จะได้ดูพระจันทร์ เรากำลังจะก็ยิ้มปลื้มก็เลยยิ้มค้าง...

เราเสียเวลาย้ายของเกือบครึ่งวัน เสียเวลาจัดของอีกเกือบวัน ไม่นึกเลยว่าทำงานแค่เจ็ดปีกว่า สมบัติบ้าจะเยอะขนาดนี้ ส่วนใหญ่เป็นเอกสารของโปรเจ็คต์เก่าๆ ที่เรายังไม่กล้าตัดใจทิ้ง เพราะมันเป็นเอกสารสมัยที่ยังไม่ได้เก็บทุกอย่างเป็นอิเล็คโทรนิคส์ ทั้งจดหมายแฟกซ์ แบบ (drawing) เก็บกันเป็นแฟ้มๆ เราก็ได้แต่เอามันซุกไว้ที่ชั้นวางของใต้โต๊ะ ในไม่ช้าก็คงโยนทิ้งนั่นแหละ แต่ว่าตอนนี้ยังตัดใจทิ้งไม่ลง

ที่นั่งใหม่ของพวกเราเล็กกว่าเดิมกันทั้งนั้น ความที่ก่อนหน้านี้แผนกบัญชีเขาจัดที่นั่งแบบบูธเดี่ยวกันหมด เขาก็เลยทำบูธค่อนข้างเล็ก (พวกวิศวกรจะจัดที่นั่งตามระดับอาวุโส เด็กเข้ามาใหม่ๆ นั่งบูธคู่ พอเริ่มขึ้นระดับสองก็ได้นั่งบูธเดี่ยว ทอมเรียกบูธคู่ว่า Bay บูธเดี่ยวเรียก Cubicle พอขึ้นระดับสามระดับสี่ Cubicle ก็ใหญ่ขึ้น พอขึ้นระดับห้าก็ได้ออฟฟิศเป็นห้อง) ตอนที่เขาวางแผนที่นั่งบน drawing ก็ก๊อปปี้ขนาดบูธเดิมของพวกบัญชี แล้วก็หมุนไปหมุนมา ไม่ทันได้สังเกตว่ามันเล็กกว่าเดิม พอย้ายเข้าไปนั่งกันแล้ว ทุกคนก็รู้สึกว่ามันแคบกว่าที่เดิม คนที่อยู่มานานๆ มีสมบัติบ้าเยอะ ต้องตั้งสติกันอยู่นานว่าจะจัดของยังไงดี

ตอนนี้ในออฟฟิศก็ยังมีการรื้อโน่นรื้อนี่ กั้นผนังเดินสายไฟ อยู่ตลอด ส่วนใหญ่เขาทำตอนกลางคืน แต่ก็มีบ้างที่ทำกลางวันและก่อปัญหากับการทำงาน เช่น เขาตัดไฟแล้วลืมต่อสายไฟกลับมา เราไปทำงานแล้วเปิดคอมพิวเตอร์ไม่ได้ บางทีก็มีการมาตอกโน่นเจาะนี่เสียงดังโครมครามระหว่างเวลางาน เราก็อุตส่าห์บอกทอมว่าให้ปิดออฟฟิศช่วงการประชุมเอเปค แล้วให้คอนแทรคเตอร์มาทำออฟฟิศให้เสร็จ แต่ทอมไม่คล้อยตามความเห็นเราทั้งๆ ที่มีคนเห็นด้วยกับเราตรึม เซ็งเลย...

ท้องผูก

เวลาที่เราไอมากๆ แล้วไปหาหมอ เขาให้ยาแก้ไอมา เขาจะบอกว่ากินยาแก้ไอแล้วท้องจะผูก ให้กินน้ำเยอะๆ เราก็ไม่เห็นว่ามันจะมีผลขนาดนั้น เพราะปกติเราก็ไม่ได้เป็นคนที่ต้องเข้าห้องน้ำทุกวันอยู่แล้ว แต่คราวที่ผ่านมานี่เรารู้สึกได้เลยว่าท้องผูกจริงๆ คงเป็นเพราะยาแก้ไอคราวนี้มันแรงมาก ก็ขนาดว่ากินยาปุ๊บก็หายไอเป็นปลิดทิ้ง เรากินยาติดกันเกือบอาทิตย์ ทำเอาสุขอนามัยการขับถ่ายของเราเสียกระบวนไปหมด พอหยุดกินยาแก้ไอก็กลับมาเป็นปกติ ตอนนี้ชักจะเริ่มไออีกแล้ว (เพราะฝุ่นในออฟฟิศ) แต่ยังลังเลไม่กินยา คิดว่ารอให้ไอขนาดหนักก่อนค่อยกิน

พูดเรื่องท้องผูก เมื่อก่อนเคยคิดว่าตัวเองเป็นโรคท้องผูก เพราะไม่ได้เข้าห้องน้ำทุกวัน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนรำคาญอะไร เลยคิดเอาเองว่าร่างกายคนเราไม่เหมือนกัน บางคนเข้าห้องน้ำทุกวันเป็นประจำ ถ้าช่วงไหนสองวันแล้วยังไม่ถ่ายก็เรียกว่าท้องผูก แต่ถ้าเข้าห้องน้ำทุกๆ สองสามวันเป็นปกติอย่างเรา ก็อย่าไปเครียดหรือกลุ้มใจว่าท้องผูก เพราะพอถึงเวลาธรรมชาติมันก็จะเรียกร้องเองแหละ

หน้าต่างเครื่องบิน

ตอนที่ไปดำน้ำที่มาเลเซียคราวก่อน ตอนเครื่องบินจะขึ้นจะลง กัปตันประกาศว่าให้เปิดหน้าต่างทั้งหมด พี่ปุ๊กสงสัยว่าจะเปิดไปทำไม และจริงๆ แล้วควรจะต้องเปิดหน้าต่างหรือปิดหน้าต่างกันแน่ เพราะเคยได้ยินบางเที่ยวบินกัปตันก็บอกให้ปิดหน้าต่าง เราก็เคยได้ยินทั้งสองอย่างเหมือนกันก็เลยจำไว้ว่าจะต้องไปหาคำตอบ

ในที่สุดเราก็ได้คำตอบ (ก็ค้นในอินเตอร์เน็ตนี่แหละ เจ๋งสุดแล้ว สงสัยอะไรก็มีคำตอบให้หมด แต่เสียเวลาหน่อยเพราะอ่านแล้วก็ต้องกรอง ไม่ได้เป็นคำตอบสำเร็จรูป) คำตอบเรื่องหน้าต่างเครื่องบินนี้ เราไปได้มาจากเว็บไซต์ที่มีนักบินมาตอบคำถาม

เขาบอกว่าที่บอกว่าให้เปิดหน้าต่างตอนเครื่องบินจะขึ้นจะลง ก็เพื่อให้ผู้โดยสารได้มองข้างนอกเห็น นักบินเขาไม่ได้สนใจอยากจะให้ดูวิวทิวทัศน์ (หรือพระจันทร์) หรอกนะ แต่เป็นเรื่องของความปลอดภัยต่างหาก ผู้โดยสารจะได้ไม่เกิดอาการหลงทิศทางเวลากรณีเกิดอุบัติเหตุ (เขาว่าช่วงที่เครื่องบินมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุมากที่สุดก็คือตอนบินขึ้นกับบินลง ถึงได้ต้องรัดเข็มขัดปรับที่นั่งให้ตรงไง) เช่น ถ้าหน้าต่างปิดแล้วเครื่องบินตีลังกาบางคนอาจจะไม่รู้ แต่ถ้ามองไปข้างนอกแล้วเห็นตึกหรือเห็นต้นไม้กลับหัวก็จะรู้เอง

เว็บไซต์นี้เขายังตอบคำถามเกี่ยวกับการดับไฟส่องสว่างในเครื่องตอนเครื่องบินจะขึ้นหรือจะลงอีกด้วย ตอนที่เรายังไม่ได้อ่านคำอธิบายของเขา เราเดาเอาว่ามันอาจจะเกี่ยวกับว่าช่วงเครื่องบินขึ้น-ลงอาจจะใช้พลังงานมาก เขาก็เลยดับไฟเพื่อประหยัดการใช้ไฟฟ้า ปรากฏว่าเดาผิด เขาอธิบายว่าเป็นเหตุผลความปลอดภัยเหมือนเปิดหน้าต่างนั่นแหละ คือ เขาต้องการจะให้สายตาผู้โดยสารชินกับความมืด เผื่อว่าเครื่องบินเกิดอุบัติเหตุแล้วไฟฟ้าในเครื่องดับวูบทันที คนในเครื่องจะต้องใช้เวลานานกว่าจะปรับสายตาเข้ากับความมืดได้ อาจจะทำให้ไปถึงทางออกฉุกเฉินได้ช้า

เราอ่านแล้วก็ทึ่งเล็กน้อย เราไม่มีทางคิดเองได้เลย เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาและสังเกต เขาบอกว่าคนช่างสังเกตเท่านั้นที่มีโอกาสรอดตายเวลาเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ฉุกเฉินต่างๆ เราไม่ใช่คนช่างสังเกตก็ต้องคอยอ่านๆ เรื่องที่คนอื่นเขาสังเกตมาให้แล้วนี่แหละ

ยาสีฟัน

ไปซื้อยาสีฟันหลอดใหม่มา เป็นยาสีฟันแบบที่มีสองสีแล้วพอบีบออกมามันจะสลับสีเป็นแถบๆ เราสงสัยมานานแล้วว่าเขาทำกันยังไง เขาใส่เข้าไปในหลอดยังไงให้มันบีบออกมาได้แบบนั้น ไม่รู้ว่าอินเตอร์เน็ตจะมีคำตอบให้เราไหมเนี่ย