In Luck
ช่วงนี้รู้สึกว่ามีโชคเกี่ยวกับยานพาหนะเป็นพิเศษ…

เมื่อวานซืนเรามีประชุม Weekly Meeting กับเมืองนอกตอนค่ำ ทอมบอกว่าเนื่องจากประชุมเลิกดึก วันรุ่งขึ้นจะเข้างานสายหน่อยก็ได้ แต่ปกติเราก็ไปทำงานสายอยู่แล้ว (แปดโมงสิบ แปดโมงสิบห้าทุกวัน) ก็เลยละอายใจไม่เลือกเข้างานสาย ยกเว้นจะมีธุระที่ต้องทำ เมื่อวานเป็นวันที่เราไปสายได้ตามกฎทอม แต่เราตั้งใจไปเช้าปกติ (แปดโมงกว่า) เพราะมีงานค้างอยู่เยอะ แต่เอาเข้าจริงกว่าจะไปถึงที่ทำงานปาเข้าไปสิบโมง

เริ่มจากตอนที่เราไปที่รถแล้วสังเกตว่าที่จอดรถที่เราจอดมา 2 วันติดต่อกัน มีป้ายมาติดว่าเป็นที่จอดรถประจำของคนอื่นไปเสียแล้ว ปกติคอนโดเราเขาจัดที่จอดรถประจำให้ยูนิตที่มีเนื้อที่ใหญ่หน่อย (รู้สึกว่าจะต้องเกิน 50 หรือ 60 ตารางเมตร) พวกที่อยู่ยูนิตเล็กๆ ก็จะต้องขับรถวนหาที่จอดว่างๆ เอาเอง เราก็เป็นพวกไม่มีที่จอดรถประจำอ่ะนะ เรางงว่าเขาเอาป้ายมาติดตั้งแต่เมื่อไหร่ เจ้าของที่เขาคงนึกด่าเราว่าจอดรถไม่ดูตาม้าตาเรือ

เราตั้งใจจะรีบๆ เอารถออก ก็สังเกตเห็นกระดาษติดที่หน้ากระจก เป็นจดหมายเตือนว่าจอดรถในที่ของคนอื่น เราหยิบมาอ่านไปพลางสตาร์ทรถไปพลาง เราเอารถเตี่ยมาใช้ชั่วคราว เวลาสตาร์ทต้องบิดกุญแจค้างไว้พักหนึ่งเครื่องถึงจะติด เตี่ยบอกว่ารถมันเก่าแล้ว เวลาสตาร์ทให้สตาร์ททีเดียวให้ติด แล้วก็ต้องวอร์มเครื่องอีกพักหนึ่งก่อนออกรถ ปรากฏว่าเราสตาร์ทรถทีแรกไม่ติด แต่ไม่ได้รู้สึกอะไร ใจไปนึกว่า เอ๊ะ... เราจอดรถผิดที่ จะโดนล็อคล้อหรือเปล่า กำลังจะลงไปดูก็หันไปเห็นยามยืนอยู่ เขาถามว่า “รถสตาร์ทไม่ติดเหรอครับ” เราก็ไม่ได้นึกอะไร ตอบเขาไปว่า “อ๋อเปล่า กำลังสงสัยว่าจอดรถผิดที่แบบนี้จะโดนล็อคล้อหรือเปล่า” เขาบอกว่า “ยังไม่ล็อคครับ ตอนนี้แค่เตือนเฉยๆ”

เราก็เลยกลับมาสตาร์ทรถใหม่ก็สตาร์ทไม่ติดอีก ดังอื๊ดๆๆๆๆๆ แต่ไม่ติด ลองอีก 3-4 รอบก็ไม่ติด คราวหลังๆ นี่ไม่มีเสียงเครื่องยนต์อื๊ดๆๆๆ แบบทำท่าจะติดด้วยซ้ำ มีแต่เสียงแชะๆ เบาๆ เราก็เลยโทรไปถามเตี่ยว่า ถ้าสตาร์ทรถครั้งเดียวไม่ติดจะทำยังไง เตี่ยบอกว่า ต้องสตาร์ททีเดียวให้ติด เราบอกว่าก็รู้อ่ะ แต่ว่ามันไม่ติดแล้ว เตี่ยเลยบอกว่าให้ลองโทรไปถามที่อู่แถวๆ คอนโด เราไม่มีเบอร์อู่ก็เลยต้องกลับไปที่ห้อง เราก็ดันเอาสมุดโทรศัพท์ปีเก่าๆไปทิ้งแล้ว เล่มใหม่ก็ยังไม่ได้มา ก็เลยต้องใช้ที่พึ่งสุดท้าย คือ อินเตอร์เน็ต

พอได้เบอร์มา โทรไปก็ปรากฏว่าอู่ยังไม่เปิดทำงาน ต้องโทรมาใหม่ตอนแปดโมงครึ่ง เราถามว่าไม่มีช่างอยู่เลยเหรอ เขาก็เลยถามอาการรถ พอเราบอกว่าสตาร์ทไม่ติดเขาก็บอกว่า แบตเตอรี่อาจจะหมด แต่ยังไงจะให้รอคุยกับช่างตอนอู่เปิดดีกว่า เราก็เลยรอ พอดียามยังอยู่แถวๆ นั้นเขาก็บอกว่าจะลองพ่วงแบตเตอร์รี่ดูไหม ถ้าเรามีสายพ่วงเดี๋ยวเขาหาคนแถวๆ นี้มาช่วย เราหาสายพ่วงแบตเตอร์รี่ที่ท้ายรถเจอ เขาก็เลยไปขอให้คอนแทรคเตอร์ที่มารับทำร้านค้าในตึกให้มาช่วย

เราเคยแบตเตอรี่หมดครั้งหนึ่งที่ลานจอดรถห้างเซ็นทรัล มีคนมาช่วยเขาก็จัดการให้เราทุกอย่าง เรามีหน้าที่สตาร์ทรถอย่างเดียว เราก็เลยทำอะไรไม่เป็น แล้วก็จำไม่ได้แล้วด้วยว่าต้องทำอะไรยังไง คราวนี้ก็เหมือนเดิม พี่คนที่เป็นคอนแทรคเตอร์เขาก็ทำให้หมดทุกอย่าง (เราเพิ่งไปอ่านคู่มือรถทีหลัง เขาแนะนำไว้แบบนี้ 1. ให้ต่อสายพ่วงที่ขั้วลบก่อน 2. สตาร์ทเครื่องรถคันที่จะให้พ่วงแบตเตอร์รี่ 3. ต่อสายพ่วงที่ขั้วบวก 4. สตาร์ทรถคนที่แบตเตอร์รี่หมด โดยต้องปิดไฟปิดแอร์วิทยุหรืออะไรก็แล้วแต่ที่มีการกินกระแสไฟด้วย และมีข้อควรระวังว่า รถสองคันห้ามติดกัน)

ตอนพี่คอนแทรคเตอร์เอาสายไปหนีบขั้วแบตเตอร์รี่ของเรา มันมีประกายไฟออกมาแปล่บๆ เห็นแล้วก็หนาวเลย ยิ่งกลัวๆ ไฟดูดไฟช็อตอยู่ด้วย เขาก็พึมพำว่า “เอ๊ะ แบตเตอร์รี่ยังมีไฟอยู่นี่นา” พอเขาต่อสายเสร็จ เขาก็บอกว่าให้รอแป๊บหนึ่งให้ไฟเข้าก่อน แต่เรายังไม่ทันได้ขึ้นไปสตาร์ทรถ ยามก็บอกกับคนที่มาช่วยว่า “พี่ๆ สงสัยไฟไม่เข้าหรอกมั้ง ดูสิมีควันขึ้นมาจากตรงสายเนี่ย” พี่คอนแทรคเตอร์ก็เลยรีบบอกให้ถอดสายออก สายไฟร้อนจี๋จนละลายหลุดออกจากตัวคีมที่หนีบกับขั้ว พี่เขามาดูแล้วก็บอกว่า นี่สายมันช็อตนี่นา สายพ่วงไม่ได้มาตรฐาน สายไฟเส้นนิดเดียวเอง โชคดีที่ถอดออกจากแบตเตอร์รี่ทัน ก็สรุปว่าเราเลยไม่ได้พ่วงแบตเตอร์รี่เพราะสายพ่วงพังไปเสียก่อน พี่คอนแทรคเตอร์ก็เลยไปทำงานของเขาต่อ

ยามก็มาถามเราว่าจะให้เขาไปตามแท็กซี่ให้ไหม แต่ต้องจ่ายเงินค่าน้ำใจให้แท็กซี่นะ เราก็ตกลง คอนโดเราเขามีคิวแท็กซี่อยู่ชั้นล่าง ปกติมีแท็กซี่จอดเยอะ แต่วันนั้นไม่มีแท็กซี่ที่มีสายพ่วงแบตฯเลยซักคัน พอใกล้แปดโมงครึ่งเราก็โทรกลับไปที่อู่อีกรอบ เขาบอกว่าส่งช่างมาได้ แต่ต้องรอเก้าโมงกว่า เพราะที่กลับรถแถวอู่จะเปิดตอนเก้าโมง ถ้าไม่งั้นเขาต้องเลยไปกลับรถตรงถนนตก รถจะติดมากๆ กว่าเขาจะมาถึงก็เก้าโมงกว่าๆ อยู่ดี เราต้องรออีกประมาณชั่วโมงหนึ่ง แต่ไม่มีทางเลือก

ระหว่างนั้นยามเขาก็หายไปแล้วกลับมาบอกว่า แท็กซี่ที่มีสายพ่วงฯมาแล้ว พอเห็นสายพ่วงฯของแท็กซี่เราก็อึ้งไปเล็กน้อย มันเป็นสายไฟธรรมดาๆ ปลายสองข้างถูกปอกเอาพลาสติกหุ้มออกไปเห็นลวดทองแดงข้างใน เขาก็เอาลวดทองแดงไปจิ้มที่ขั้วแบตเตอร์รี่รถเรา แล้วก็ไปจิ้มที่ขั้วแบตเตอร์รี่รถเขา ลวดทองแดงสั้นไปเขาก็หยิบมีดทำครัวออกมาปอกๆ สายไฟเพิ่ม เราก็นึกไปถึงตอนที่พี่คอนแทรคเตอร์เอาสายจั๊มพ์ไปหนีบขั้วแล้วไฟแล่บ ก็รีบถามพี่แท็กซี่ว่าจะไม่ดับเครื่องก่อนเหรอ เขาบอกว่าไม่เป็นไร มันก็ไม่เป็นไรจริงๆ พี่เขาก็บอกให้เราไปลองสตาร์ทรถดู

เราลองสตาร์ทก็ได้ยินเสียงเครื่องยนตร์ดังอื๊ดๆๆๆ เหมือนจะติดแต่ก็ไม่ติด พี่แท็กซี่ถามว่าเราปิดแอร์ปิดพัดลมหรือเปล่า เราบอกว่าไม่ได้ปิด (โง่จริง) ก็ปิดแอร์แล้วลองสตาร์ทอีกก็ไม่ติด ลองอยู่หลายรอบก็ไม่สำเร็จ พี่แท็กซี่กับพี่ยามก็งงจะว่าไฟไม่เข้าก็ไม่ใช่ เพราะสายไฟร้อนจี๋ เราก็คิดว่าอาจจะไม่ใช่ที่แบตเตอร์รี่ (นึกไปถึงที่พี่คอนแทรคเตอร์บอกว่าแบตเตอร์รี่ยังมีไฟ) แต่พี่แท็กซี่ยังคิดว่าเป็นที่แบตเตอร์รี่ บอกว่าจะลองสลับแบตเตอร์รี่รถมาใส่ที่รถเรา ก็ทุลักทุเลพยายามจะถอดแบตเตอร์รี่รถเราออก มีพี่คอนแทรคเตอร์คนใหม่มาให้ยืมกุญแจปากตาย แต่ถอดไม่สำเร็จก็เลยลองต่อด้วยสายไฟของพี่แท็กซี่แล้วลองสตาร์ทรถดูอีกที คราวนี้ไปกันใหญ่ เพราะบิดกุญแจแล้วก็เงียบ ไม่มีเสียงเครื่องยนต์อื๊ดๆ ด้วยซ้ำ เราก็เลยบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวเก้าโมงครึ่งช่างก็จะมาแล้ว

พี่แท็กซี่เอาแบตเตอร์รี่เขาไปเก็บเข้าที่แต่ก็ยังไม่แล้วใจ เอาสายไฟมาต่อพ่วงกับแบตเตอร์รี่เราอีกรอบ แล้วก็บอกให้ลองสตาร์ท มันก็ดังอื๊ดๆๆ แต่ไม่ยอมติดเหมือนเดิม พี่คอนแทรคเตอร์คนที่ให้ยืมกุญแจปากตายเดินผ่านมาได้ยิน เลยบอกว่าอย่าเพิ่งสตาร์ท ให้รอแป๊บหนึ่งให้ไฟชาร์ตเข้าแบตเตอร์รี่ก่อน เราก็รอ 2-3 นาที แล้วก็ไปสตาร์ทรถใหม่ เครื่องยนต์ครางอื๊ดๆๆ แล้วก็ติดขึ้นมาจนได้ ทั้งพี่ยามทั้งพี่แท็กซี่ทั้งเราต่างดีใจกันถ้วนหน้า

พี่แท็กซี่ก็เก็บสายไฟ เก็บมีดทำครัวกลับไป เราไม่รู้ว่าปกติเขาให้ค่าน้ำใจแท็กซี่กันเท่าไหร่ แต่เราให้เขาไป 200 บาท เราลังเลว่าจะต้องให้พี่ยามด้วยหรือเปล่า แล้วก็ไม่ได้ให้ ขับรถออกมาแล้วถึงได้คิดว่าน่าจะให้เขาซัก 40-50 บาทก็ยังดี เพราะเขาก็เสียเวลาเดินขึ้นเดินลงตามแท็กซี่ให้เรา

พออกจากคอนโดได้ เราก็เอารถไปเปลี่ยนแบตเตอร์รี่แถวที่ทำงาน ระหว่างขับรถก็โทรไปบอกยกเลิกช่างที่อู่แถวคอนโด แล้วก็โทรไปรายงานเตี่ยว่าไม่เป็นไรแล้ว (ตอนแรกเครียดเลยว่า คิดว่าเราทำรถพัง แบบว่าดวงตกกับเรื่องรถ ใช้รถคันไหน คันนั้นพัง) เตี่ยบอกว่า เออ เตี่ยก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าแบตฯมันไฟไม่ค่อยแรงอยู่แล้ว แบตฯลูกนี้ใช้มาตั้งแต่แรกไม่เคยเปลี่ยนเลย เจ็ดแปดปีได้แล้วมั้ง แล้วรถมันก็รวนๆ หน่อยๆ เตี่ยว่าจะเอาเข้าอู่ แต่ไม่ได้จังหวะ เราเอามาใช้ก็เลยซวยไป พอไปเปลี่ยนแบตเตอร์รี่เสร็จรถสตาร์ชึ่งเดียวติด เรางี้โล่งใจเลย

พอตอนเย็นเราไปกินข้าวกับพี่ปุ๊ก ระหว่างทางกลับบ้านก็แวะเติมน้ำมัน พอเติมเสร็จเราก็กดรีเซ็ตเคาน์เตอร์ที่นับระยะทางแล้วก็ขับออกจากปั๊ม พอขับออกมาได้หน่อยหนึ่งก็สังเกตว่าไฟหน้าปัด ไฟตามปุ่มต่างๆ มันมืดไปหมด ก็งงๆ ว่า เฮ้ยอะไรกัน อยู่ๆ ไฟดับไปเฉยๆ ได้ไง เราทำรถเตี่ยพังอีกแล้วเหรอ เราสงสัยอยู่สองอย่าง คือ ปุ่มรีเซ็ตมันเป็นตัวปรับความสว่างหน้าปัด หรือไม่ก็ฟิวส์ขาด เราก็ลองกดๆ หมุนๆ ปุ่มรีเซ็ตก่อน แต่ไฟหน้าปัดมันก็ไม่สว่างขึ้นมาเลย เราขับรถจนถึงบ้านด้วยความงงว่าเป็นวันซวยของเราจริงๆ อย่างหนึ่งเพิ่งซ่อมไปอีกอย่างก็พังอีก

เมื่อคืนก่อนขึ้นห้องเราก็เลยเอาคู่มือประจำรถมาอ่านด้วย ไปอ่านตรงส่วนที่เขียนเรื่องฟิวส์ แล้วก็คิดว่าวันนี้ตอนเช้าอาจจะต้องมาเปิดกล่องฟิวส์ดู แต่พอพลิกคู่มือไปๆ มาๆ อยู่พักใหญ่ ก็ถึงได้รู้ว่าคิดถูกแล้วที่ว่าปุ่มรีเซ็ตมันเป็นตัวปรับความสว่างของหน้าปัดด้วย ก็งงๆ ว่าทำไมเราก็หมุนมันแล้วแต่ไฟไม่สว่าง พอตอนเช้าวันนี้เราก็เลยมาลองหมุนๆ ดูใหม่อีกรอบ ไฟหน้าปัดก็สว่างขึ้นมาใหม่ แต่พอหมุนเลื่อนไปอีกนิดเดียวไฟก็มืดอีก เดาเอาว่าที่เมื่อคืนเราหมุนแล้วมันไม่สว่างเพราะมันเกินรอบไปนิดเดียว รถเตี่ยก็เลยกลับเป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง

อืมม์ แค่รถแบตเตอร์รี่หมด เราก็เล่าได้อีกสามหน้าอีกแล้ว ไม่ใช่ว่าเราจะพยายามรักษาสมญา นิจวรรณเจ้าแม่ 3 หน้า ที่ปิฯตั้งให้หรอกนะ แต่เป็นเพราะเราไม่อยากทำให้เก๋ต้องรู้สึกว่ากินข้าวไม่อิ่มต่างหาก ;)