All the Parties
เราเป็นคนที่รับมือกับความสุขไม่ค่อยไหว จัดการกับงานบันเทิงไม่เป็น เลยไม่ค่อยชอบช่วงเทศกาลงานฉลองซักเท่าไหร่ เราไม่ค่อยรู้สึกตื่นเต้นกับการเฉลิมฉลองด้วย ไม่ว่าเทศกาลไหนๆ มันก็วันหนึ่งของชีวิต ไม่ค่อยได้ทำอะไรเป็นพิเศษ เวลาที่มีคนถามว่าจะไปฉลองปีใหม่ที่ไหน ก็จะเซ็งๆ กับคำตอบของตัวเอง เท่าที่นึกย้อนไปได้เราเคาน์ทดาวน์บนเตียงนอนซะแทบทุกปี

แต่ถึงจะเป็นคนไม่ชอบงานฉลอง เราเป็นคนชอบส่งการ์ดส่งจดหมาย เราพยายามจะส่งการ์ดวันเกิดไปให้ทุกๆ คนที่เราจดวันเกิดไว้ในสมุดบันทึก พยายามส่งการ์ดคริสต์มาส/ปีใหม่ให้ทันเวลา แต่ปีที่ผ่านมาผลงานเราแย่มากๆ เราลืมวันเกิดเพื่อนๆ ตั้งแต่ต้นปีไล่เรื่อยไปจนปลายปี ความจริงเพื่อนๆ ที่อยู่ในเมืองไทยเราก็พอจะโทรไปอวยพรวันเกิดทัน แต่เราไม่ชอบโทรศัพท์บวกกับความขี้เกียจก็ปล่อยให้มันเลยผ่านไป

กลางเดือนธันวาเราได้การ์ดจากเพื่อนๆ ที่อยู่ต่างประเทศ (เป็นขาประจำที่ส่งการ์ดให้เราทุกปี ส่วนเพื่อนๆ ในเมืองไทย เราก็ได้รับการ์ดบ้างไม่ได้บ้าง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเพื่อนๆ ที่ยังคบๆ กันอยู่ก็ใกล้ชิดสนิทสนมมากกัน จนรู้สึกว่าการสื่อสารผ่านการ์ดเป็นเรื่องที่ออกจะเป็นพิธีรีตองเกินไป) ก็เลยได้ระลึกได้ว่าเราลืมเวลาจนส่งการ์ดปีใหม่ไม่ทันเวลาอีกแล้ว แต่ไงก็ตามเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจเราก็เลยงัดเอาการ์ดยูนิเซฟที่เราซื้อตุนไว้มารีบเขียนส่ง กะว่าถึงจะไม่ทันปีใหม่แต่เพื่อนต้องเห็นความตั้งใจ (เราไม่ได้ไปส่งการ์ดที่ที่ทำการไปรษณีย์ แต่ใช้บริการส่งจดหมายที่มีอยู่ตามห้าง ไม่รู้จะถึงมือผู้รับหรือเปล่า เขาไม่มีใบรับหรือเอกสารอะไรให้ทั้งนั้น เราถามเขาว่าแล้วจะแน่ใจได้ไงว่าเขาเอาไปส่งให้ ไม่ได้เอาไปทิ้งขยะ เขาบอกว่า เชื่อใจได้ เขาไม่ทำยังงั้นอยู่แล้ว แต่ก็พูดต่อว่า “พี่ลองส่งครั้งนี้ก่อนแล้วกัน แล้วคราวหน้าจะได้มั่นใจได้” เรางงๆ กับคำรับรองของเขา นึกในใจว่าของแบบนี้มันลองกันได้ด้วยเหรอวะ แต่ความจริงเราเคยลองไปแล้วครั้งหนึ่ง ส่งการ์ดวันเกิดให้หมู จำได้ว่าผ่านวันเกิดหมูไปเป็นอาทิตย์แล้วหมูยังไม่ได้รับ ไม่รู้สุดท้ายแล้วหมูได้รับหรือเปล่า)

หลังจากพิจารณาพฤติกรรมตัวเอง เลยคิดว่า New Year Resolution ของปี 2547 เราจะพยายามไม่ลืมที่จะส่งการ์ดให้เพื่อนๆ ตรงตามกาละเทศะ :)

งานปีใหม่ของบริษัท - 19 ธันวาคม

ทุกปีบริษัทจะจัดงานคริสต์มาส แต่ความที่นายฝรั่งมักจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัด เอ้ย... ที่อเมริกาช่วงคริสต์มาส งานก็เลยไม่เคยได้จัดตรง(หรือใกล้)กับวันคริสต์มาสซะที ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงต้นเดือนธันวาซึ่งก็มีเรื่องของความสะดวกในการจองสถานที่ด้วย หลังๆ พวกเราก็เลยพอใจที่จะเรียกกันว่างานปีใหม่มากกว่า เราได้ไปงานปีใหม่บ้างไม่ได้ไปบ้าง เพราะต้นเดือนธันวาเป็นหน้าดำน้ำ เวลาตรงกับทริปไปดำน้ำทีไร เราก็เลือกไปดำน้ำซะทุกทีไป

งานบริษัทปีใหม่เราค่อนข้างน่าเบื่อไปแล้วก็นั่งคุยกันแต่กับคนแผนกเดียวกัน (ซึ่งน่าเบื่อเพราะคุยกันแต่เรื่องเดิมๆ บางเรื่องเราก็ไม่สนใจ) มีการแสดงบนเวทีแต่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นขนาดพลาดแล้วเสียใจ สามสี่ปีหลังๆ นี้เขาเริ่มให้มีคณะกรรมการจัดงานมาช่วยกันวางแผนว่าจะทำอะไรในงานให้พนักงานสนุกสนานและมีส่วนร่วมกับงาน มีการกำหนดธีม (Theme) ของงานและชักชวนให้พนักงานแต่งตัวให้เขากับธีมเพื่อสร้างบรรยากาศ มีการแสดงของพนักงาน และมีการประกวดการแต่งกายตามธีมของงาน (ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กๆ ที่ร่วมแสดง ร่วมประกวดชุดแต่งกาย เพราะว่าง่ายและให้ความร่วมมือ พวกแก่ๆ พวกหัวแข็งขวางโลกก็มีหน้าที่คอยเอาเท้าราน้ำ) แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นสิ่งที่ดึงดูดให้พนักงานคนส่วนใหญ่ (เราก็เป็นหนึ่งในนั้น) ไม่พลาดงานเลี้ยงและอยู่จนงานเลิกคือการจับฉลากแจกรางวัล ปีนี้รางวัลมีเครื่องใช้ไฟฟ้าหลากหลายและสร้อยคอทองคำ รวมรางวัลต่างๆ ประมาณ 60 รางวัล

ธีมของงานปี้นี้คือ Thai Night ให้ช่วยกันแต่งชุดไทย การแสดงก็จะมีทั้งการเล่นกลองยาวและเซิ้งโดยเด็กนักเรียนประถม (คณะกรรมการไปติดต่อหามาจากโรงเรียนอะไรซักอย่าง เราจำชื่อไม่ได้) มีการแสดงประกอบเพลงลูกทุ่งที่ดูโอเคไม่น่าเบื่อ (มีน้องในแผนกเราไปเต้นด้วย เลยติดตามดูด้วยความชื่นชม) พวกที่แต่งตัวไปประกวดก็มีแบบที่ฮาๆ มากๆ คือ อย่างเอาสีดำมาทาตัวเป็นเงาะป่า มีผู้ชายใส่เสื้อคอกระเช้าผ้าโจงกระเบนทำผมหงอกๆ แถมทำท่าเคี้ยวหมากหยับๆ เป็นยายแก่ๆเ หมือนที่พวกตลกคาเฟ่ชอบทำเลียนแบบ (ยายคนนี้เขาไปแต่งตัวในห้องน้ำชาย เราเห็นผู้ชายเปิดประตูเข้าไปเจอยายปลอมแล้วชะงัก นึกว่าเข้าห้องน้ำผู้หญิง ก็ยายเล่นใส่นมปลอมแบบยานๆ ด้วย เหมือนซะ...) มีคนแต่งตัวชุดเด็กผู้ชายไทยโบราณไว้ผมจุกที่ดูแล้วเหมือนลูกกรอก มีน้องผู้หญิงสองคนแต่งชุดเด็กผู้หญิงคล้ายกันแล้วบอกว่าเป็น “รัก-ยม” (ตอนแรกเราก็ไม่ฮาเท่าไหร่ แต่มีคนบอกว่า “รัก-ยม” นี้นอกจากเป็นลูกกรอกแล้ว คนหนึ่งตัวดำคนหนึ่งตัวขาว เราก็เลยถึงบางอ้อ)

งานปีใหม่ของปีที่แล้ว (ที่จริงต้องเป็นปีวานซืน คือ 2545 อ่ะนะ) เราอุตส่าห์อยู่รอจนงานเลิกทั้งๆ ที่เบื่อกันจะตาย หวังจะได้รางวัลสร้อยคอทองคำ แต่สุดท้ายกลับบ้านมือเปล่า คนที่นั่งโต๊ะเดียวกับเราก็ไม่ได้รางวัลกันซักคน ต่างก็โทษกันไปโทษกันมาว่าใครพาให้ใครดวงกุด พอปีนี้มีพี่คนหนึ่งมุ่งมั่นมากว่าจะเอารางวัลสร้อยคอทองคำกลับบ้าน คุยเกทับกันไปทับกันมาจนสุดท้ายแกหลุดปากออกมาว่า ถ้าไม่ได้ทองปีนี้จะลาออก ทุกคนที่ได้ยินต่างบอกว่า ให้พิมพ์จดหมายลาออกเตรียมไว้เลย โดนหยามขนาดนี้พี่แกก็ไม่หมดความมั่นใจนะ ยังพูดอีกว่าอยากได้อย่างต่ำสองสลึง แต่ถ้าได้รางวัลทองสลึงเดียวจะไม่เอา จะยกให้รุ่นน้องอีกคนหนึ่งเลย มุ่งมั่นปานนั้นแต่สุดท้ายแกก็กลับบ้านมือเปล่า โดนเพื่อนๆ เย้ยหยันไม่จบไม่สิ้น (แกทำฟอร์มแซวตัวเองว่า กลับไปเมียต้องด่าแน่ๆ เลยเพราะดันไปคุยกับเมียไว้เยอะว่าต้องได้ทอง แกทำเป็นพูดตลก แต่เราว่าแกต้องไปโม้ไว้กับเมียจริงๆ)

ปีนี้เราก็กลับบ้านมือเปล่าเป็นปีที่สองติดต่อกัน (ปีก่อนหน้าปีที่แล้วไปดำน้ำเลยไม่ได้นับเป็นสถิติ) คนที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับเราได้รางวัลกัน 3-4 คน เราคิดว่าถ้าปีหน้าเรายังกลับบ้านมือเปล่าอีก เราจะเลิกไปงานปีใหม่แล้ว เสียเวลาเสียแรงลุ้นเปล่าๆ

นัดเพื่อนห้องห้า(คน) - 23 ธันวาคม

ปีก่อนๆ พวกเราเคยจัดงานปีใหม่กันได้ค่อนข้างดี คือจะนัดที่บ้านพี่แก้ว ซึ่งสะดวกมากเพราะแม่พี่แก้วชินกับการทำตัวอีเหละเขละขละราวกับอยู่บ้านของตัวเองของพวกเรา ปีที่พีคๆ นัดกันได้ตั้งสิบกว่ายี่สิบคน อาหารก็ช่วยๆ กันไปซื้อมาบ้างทำเองบ้าง มีการจับฉลากแลกของขวัญกันพอเป็นธรรมเนียม ก็สนุกสนานพอควร

งานปีใหม่ปีนี้ของห้องเราย้ายไปอยู่ที่ร้าน ณ สยาม กว่าจะนัดกันได้ก็ลำบากลำบนเพราะต่างคนต่างขี้เกียจที่จะโทรตาม เราคิดว่าแค่เก๋ส่งอีเมล์แจ้งวันเวลาก็น่าจะตกลงกันได้ แต่ก็ไม่ค่อยมีใครตอบสนองอะไรมา สุดท้ายมีสมาชิกมาร่วมงานกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่งถึงห้าคน (ไม่ฮา) จะว่าไปเราก็ไม่ประหลาดใจมาก เพราะหลังๆ นี้นัดกันทีไรก็มีตัวยืนแค่ประมาณ 3-4 คน แถมนัดนี้ขาดกำลังหลักอย่างพี่แก้วไปด้วย จะว่าไปหลังๆ นี้พี่แก้วก็ไม่ว่างซะบ่อยๆ จนเราสังหรณ์ใจว่าพี่แก้วกำลังมีซัมซิ่ง (Something) จึงไม่ค่อยมีเวลาให้เพื่อนๆห้องห้าอีกแล้ว

กินข้าวกันไปเมาธ์เรื่องโน้นเรื่องนี้กันไป เผลอแป๊บเดียวห้างปิดซะแล้ว ยังคุยกันไม่หายมันส์ (ทั้งๆ ที่มีกันแค่นั้น) ก่อนแยกย้ายกันกลับก็พูดๆ กันว่าน่าจะนัดกันถี่กว่านี้

งานเลี้ยงวันที่ 27 ธันวาคม

ตอนเช้าเราไปงานแต่งงานปิที่โรงพยาบาลสงฆ์แบบล่กๆ เพราะตื่นสาย (คืนก่อนหน้านั้นดันดู Lord of The Rings ภาคแรกที่มาฉายทางยูบีซีที่เริ่มตอนห้าทุ่มครึ่ง ผล็อยหลับไปคิดว่าประมาณตีสองกว่าหนังยังไม่จบ) โชคดีที่งานของปิฯเป็นรอบเพลไม่ใช่รอบเช้า ประกอบกับรถไม่ติดก็เลยไปถึงไม่สาย ยังไม่ได้เริ่มพิธีอะไร

ได้เจอปิกับโทโมะตัวเป็นๆ ปิแทบไม่เปลี่ยนไปจากที่เราจำได้เลย (ยกเว้นใส่ชุดไทยประยุกต์) ส่วนโทโมะผอมและสูงกว่าที่เราคิดไว้ เราทักทายโทโมะได้หน่อยเดียวยังไม่ทันได้วางยาหรือใส่ไฟอะไรก็โดนปิไล่ให้ไปเขียนอวยพรในสมุด ปกติเราจะไม่ชอบเขียนอวยพรซักเท่าไหร่ เพราะไม่รู้จะเขียนอะไร ส่วนใหญ่ก็แค่ ขอให้มีความสุขๆ แต่งานนี้เราเขียนต่อจากเก๋ ไม่ได้อ่านว่าเขียนว่าอะไรแต่เห็นว่ายาวเป็นพืด เราก็ฮึดจะเขียนยาวๆ มั่ง ปรากฏว่าพล่ามอะไรไม่รู้เป็นวรรคเป็นเวร เขียนบนกระดาษลบไม่ได้เสียด้วย เป็นตราบาปไปตลอดชีวิต (ของสมุดอวยพรหรือของเรา) เฮ้อ... ต่อไปจะไม่ทำอะไรหุนหันพลันแล่นแบบนี้อีกแล้ว ถ้าไม่ได้เตรียมร่างอะไรที่เท่ๆ ไปเขียน “ขอให้มีความสุขสมหวังตลอดไป” ก็เวิร์กสุดแล้ว

งานแต่งงานที่โรงพยาบาลสงฆ์เป็นงานแต่งงานที่เรียบง่ายและไม่วุ่นวายใจดีจัง พิธีก็มีแค่พระสวด (เขาเรียกอะไรไม่รู้แต่เราคาดว่าเป็นการอวยพรคู่บ่าวสาว) ถวายภัตตาหาร แล้วพอส่งพระกลับก็รดน้ำสังฆ์ แล้วก็กินอาหารกลางวันร่วมกัน เสร็จแล้วก็พูดคุยกันพอประมาณแล้วก็แยกย้ายกันกลับ แค่ประมาณ 3-4 ชั่วโมงก็แต่งงานเสร็จแล้ว

คนที่มางานเป็นญาติๆ ปิทั้งนั้นเลย มีไม่ใช่ญาติอยู่ห้าหกคน (คือ เรา เก๋ หน่อง กุ้ง เอ๋ (เพื่อนปิฯที่ซานฟราน) กับเพื่อนอีกคนที่ซานฟรานที่เราไม่รู้จักชื่อ) เพราะปิบอกเพื่อนแค่ไม่กี่คน (แถมกำชับอีกว่าอย่าไปบอกคนอื่นต่อ เออ... ไม่บอกก็ไม่บอกวะ) ตอนที่รดน้ำสังฆ์ ญาติๆ ปิก็มองๆ มาที่พวกเรา ประมาณจะถามว่าจะรดไหม เรากับกุ้งปรึกษากันก่อนแล้ว ตกลงกันว่าจะไม่รดเพราะเราเป็นเพื่อนไม่ใช่ญาติผู้ใหญ่ แต่เราก็รอจะไปถ่ายรูปกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวด้วยใจระทึก (ความจริงไม่ค่อยอยากถ่ายกับเจ้าสาวเท่าไหร่ เพราะสวยดูดีเกินเหตุ – ไม่ได้อิจฉาเลยนะเนี่ย)

เลิกจากงานปิเราก็ขับรถกลับแม่กลอง เพราะที่บ้านมีงานปีใหม่ของโรงเลื่อย (มีงานปีใหม่อีกงานของโรงเลื่อยที่วัดแก้ว แต่ปีนี้ขยับไปจัดตอนวันเด็กเพราะก๊อเล็กและครอบครัวไปเที่ยว ก็เป็นเรื่องดีสำหรับเราในการที่จะไม่ต้องทรมานกับการกินโต๊ะจีนติดๆ กัน) ระหว่างขับรถอาการนอนไม่พอเริ่มโผล่ ขับๆ ไปก็จะหลับซะให้ได้ พอถึงบ้านเราก็เลยนอนซะงีบหนึ่ง (งีบใหญ่ ตื่นมาอีกทีแขกเริ่มทยอยกันมาแล้ว) คราวนี้อาหารมาจากร้านเยาว์ที่มีแกงส้มปูหน่อไม้ดองเป็นจานเด็ดขึ้นชื่อ แต่เรารู้สึกว่ารสชาติไม่ค่อยดี คงเป็นเพราะปรุงหม้อใหญ่มากๆ รสก็เลยไม่เด็ดเท่าเวลากินที่ร้าน มีอาหารอื่นๆ อีกเยอะ แต่เรากินแค่ไม่กี่อย่าง (กุ้งต้ม ปูนึ่ง ข้าวผัด ยำๆ อะไรซักอย่าง) แล้วก็กินพายบลูเบอร์รี่ที่เก๋ทำเองและคุยโม้ให้ฟังตั้งแต่อาทิตย์ก่อน เราแอบหนีไปนอนตอนใกล้ๆ ห้าทุ่ม

นัดกับบรรดาอินเตอร์เน็ตกี๊กสมาชิกชมรมเมาธ์ออนไลน์ – 28 ธันวาคม

นัดกันตอนหกโมงครึ่งที่เอ็มเคเซ็นทรัลปิ่นเกล้า เราออกจากแม่กลองตั้งแต่ห้าโมง กลัวรถติดที่ถนนพระรามสองตรงที่เขาขยายทางใกล้ทางแยกไปถนนวงแหวน ก็เลยไปทางถนนเอกชัยแทน ปรากฏว่าก็ไม่เร็วขึ้นเท่าไหร่เพราะเป็นถนนวิ่งสวนกันแบบสองเลน แถมเราตอนจะเข้าถนนวงแหวนเราไปผิดทางไปทางบางขุนเทียนโน่น อันนี้ต้องโทษความห่วยของป้ายบอกทาง (อยากให้คนที่ออกแบบป้ายบอกทางลองมาขับรถในทางที่เขาไม่คุ้นมั่งจริงๆ จะได้สำนึกว่าป้ายต่างๆ เป็นสมบัติของกรมทางเฉยๆ ไม่ได้มีประโยชน์ในการบอกทางแต่อย่างใด ต้องเป็นคนที่คุ้นเส้นทางเท่านั้นถึงจะดูป้ายแล้วเข้าใจ ส่วนคนแปลกที่จะอาศัยป้ายอย่างเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยดวงกับ Sense of Direction ด้วย – เราไม่มีทั้งสองอย่างเลยขับรถหลงเป็นประจำ)

เราไปถึงนัดเป็นคนรองสุดท้าย เพราะรถติดที่ถนนปิ่นเกล้า–นครชัยศรี (คนที่มาถึงสุดท้าย คือ เก๋ ซึ่งมาเส้นทางเดียวกับเรา ก็เลยเจอรถติดเหมือนกัน) นัดนี้สมาชิกหนาแน่นไม่มีใครเบี้ยว มีหิ่งห้อย พี่ปุ๊ก หน่อง ปิฯกับโทโมะ เก๋ แล้วก็เรา เมาธ์ไปกินสุกี้ไปอย่างเฮฮา (ยกเว้นโทโมะ คุยอย่างเดียวไม่ยอมกิน เอ้ย...ไม่ใช่สิ กินอย่างเดียวไม่ค่อยคุย เพราะกว่าจะคุยได้ต้องให้ปิพากย์สับไตเติ้ลภาษาอังกฤษให้ก่อน) กินเสร็จแล้วก็ย้ายไปกินไอติมกันต่อ ตอนเดินไปร้านไอติม เราเห็นโทโมะถือถุงใส่ของท่าทางหนัก ก็นึกว่าเขาไปช็อปปิ้งมา (ปิบอกว่าพาไปสวนจตุจักร) ก็เลยถามว่า ได้อะไรมามั่ง โทโมะทำท่าแบบไม่อยากตอบ (เดาว่าโดนสั่งให้เงียบๆ ไว้) แต่กลัวเสียมารยาทก็เลยบอกว่า เป็นของฝากที่เตรียมมาให้พวกเรา เราเลยรู้ก่อนว่าจะได้ของฝาก (โทโมะนี่เก็บความลับไม่เก่งเลยแฮะ) ไม่เซอร์ไพรส์มากตอนที่ปิสวมบทซานตาคลอสงัดของมาแจก เราเกรงใจ๊... เกรงใจ แต่ก็รับของฝากมาอย่างหน้าชื่นตาบาน กินไอติมเสร็จก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

นัดกินข้าวกับเพื่อนลาดกระบัง – 3 มกราคม

ตอนแรกจะนัดกันไปต่างจังหวัดชายทะเลที่ไหนซักที่หนึ่ง เพราะผึ้งกลับมาจากอเมริกา (เป็นครั้งแรกในรอบเจ็ด–แปดปี) แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนเป็นแค่นัดกินข้าวเย็น เพราะไม่มีใครเป็นตัวตั้งตัวตีจัดทริป ไปกินกันที่ร้านโพลา โพล่า แถวเกษตร (ที่เป็นเคยร้านอาหารบัว) เราไปถึงค่อนข้างเลทเพราะไปดูหนังมาก่อน

คงเป็นเพราะนานๆ จะนัดกันทีหนึ่งคนก็เลยมากันเยอะ (ครั้งสุดท้ายที่เราจำได้ คือ ปีใหม่ปีที่แล้วที่ร้าน a day) นอกจากสมาชิกประจำของ 28g แล้ว มีโรจน์กับอุ้ย(และภรรยา)มาเพิ่ม และมีประวิตรแวะมาแจม ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือเปล่า เห็นบอกว่า “มากินข้าวกับเมีย” อยู่อีกโต๊ะหนึ่งข้างล่าง (โต๊ะพวกเราอยู่ชั้นสอง) มานั่งคุยกับพวกเราแป๊บหนึ่งแล้วกลับไปนั่งข้างล่าง

ปีที่ผ่านมาคนอื่นๆ มีความเปลี่ยนแปลงไปตามสถานภาพ บุ๋มเพิ่งแต่งงานไป รันเปลี่ยนงาน บูรณ์กำลังใกล้จะเรียนจบ โอย้ายงาน (เอ... ที่จริงย้ายตั้งแต่ปีที่แล้วหรือเปล่า) ตาวก็ย้ายงานเหมือนกัน เจี้ยมบอกว่าจะแต่งงานปีนี้ แต่ที่ฮือฮา(แบบเงียบๆ ไม่กล้าฮือฮามาก กลัวตาย)สุดก็คือ ตือยอมคายความลับออกมาว่าทำไมพักหลังๆ นี้ถึงมาคนเดียว รันสรุปว่า “ตือเลียนแบบผมไง ย้อนกลับไปต่อท้ายแถว” ตอนนี้เจี้ยมอยู่หัวแถวสุด ตือบอกว่ามันเป็นแบบนี้มาปีกว่าแล้ว แต่เราไม่ค่อยกล้าถามรายละเอียดมากว่าเกิดอะไรขึ้น สงสารด้วย กลัวมันร้องไห้ด้วย กลัวมันโมโหด้วย ระคนกันไปหมด

ในระหว่างการคุยก็มีคนพูดขึ้นมาอีกแล้ว ว่าน่าจะนัดกันให้ถี่กว่านี้ มีคนเสนอให้ตั้งวงแชร์ขึ้นมา จะได้เป็น Obligation ว่าจะต้องมาเจอกัน แต่ก็มีคนบอกว่าถึงขนาดเป็นแชร์ก็ยังล่มได้ และจะกลายเป็นภาระกันเปล่าๆ ในที่สุดก็สรุปไม่ได้ว่าจะทำยังถึงจะได้เจอกันถี่ขึ้น

เราคิดว่าคงต้องเพิ่ม “พยายามผลักดันให้เพื่อนๆ นัดเจอกันบ่อยขึ้น” เป็น New Year Resolution อีกอันหนึ่ง เพราะดูจะเป็นสิ่งที่ทุกคนหวังจะให้เกิดขึ้น แต่ดูท่าแล้วมันก็คงกลายเป็น Resolution ที่ทำไม่สำเร็จประมาณเดียวกับ “ปีนี้จะลดน้ำหนักให้ได้ 5 กก.” หรือ “จะแต่งงานก่อนสงกรานต์ที่จะถึงนี้” ซะกระมัง