ไปเกาะเสม็ด
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาไปเกาะเที่ยวเสม็ดมา ความจริงก็ไม่มีอะไรตื่นเต้น แต่อยากจะเขียนเอาไว้ให้ตัวเองอ่านเตือนความจำ

เราไปเสม็ดครั้งล่าสุดสองสามปีที่แล้วมั้ง ไปกับพี่ปุ๊กและเพื่อนๆ (และศัตรู)ที่ทำงานของพี่ปุ๊ก ก่อนจะไปเสม็ดคราวนี้เราพยายามนึกย้อนไปว่า คราวที่แล้วไปยังไงทำอะไรมั่ง นึกแทบไม่ออกเลย ขนาดพี่ปุ๊กบอกว่า คราวนี้จะไปพักที่รีสอร์ทเดิมที่เราเคยพัก เรายังจำไม่ค่อยได้เลย จนกระทั่งไปถึงที่พักแล้วถึงได้พอนึกออกเลาๆ

ไปเที่ยวคราวนี้พี่ปุ๊กกับพี่หญิงเป็นคนจัดการ (สมาชิกที่เหลือ คือเรา พี่หนิง เก๋ เป็นผู้ปฏิบัติตาม) โดยตกลงกันว่าจะไป ๓ วัน ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ เพราะถ้าไปแค่ ๒ วันไปถึงก็บ่ายแล้ว วันรุ่งขึ้นตื่นมาก็ต้องเก็บของเตรียมตัวกลับแล้ว (ยังไม่ได้(โอ้เอ้)ทำอะไรเลย) จะเป็นการเหนื่อยเกินไปสำหรับป้าๆ เอ้ย... สาวๆ อย่างพวกเรา

พี่หญิงจองบ้านพักให้เพราะเป็นของเพื่อนพี่หญิงสมัยเรียนมหาวิทยาลัย (ค่าที่พักคืนละ ๒,๑๐๐ บาทเป็นห้องแอร์ ซึ่งมารู้ทีหลังว่าเขาคิด ค่าห้อง ๒ คน ๑,๒๐๐ และคนต่อไปคนละ ๓๐๐) ส่วนพี่ปุ๊กเป็นคนจัดการบังคับให้คนอื่นๆ มาพร้อมเพรียงกันที่สถานีขนส่งเอกมัยตอนแปดโมงเช้า (ถ้าให้คนอื่นจัดการ สมาชิกก็จะเถลไถลไปจนสาย ด้วยข้ออ้างว่าขนาดไปทำงานยังไม่ตื่นเช้าขนาดนี้เลย)

วันศุกร์เรานั่งรถแท็กซี่ไปสถานีรถไฟฟ้าอโศกแล้วต่อรถไฟฟ้าไปลงเอกมัย (อยู่ที่บ้านนี้มาตั้งนาน เพิ่งจะนึกได้ว่าไปสถานีรถไฟฟ้าอโศก สะดวกกว่าไปสถานีช่องนนทรีย์หรือสุรศักดิ์ตั้งเยอะ นั่งแท็กซี่จากบ้านไปถึงสถานีแค่ ๑๐ กว่านาทีเอง รถไม่ติดเลย) เราไปถึงคนแรกประมาณเจ็ดโมงสี่สิบ (กลัวโดนป้าแก่ด่า) ถึงก่อนพี่ปุ๊กแป๊บเดียว คนอื่นๆ ยังไม่มา เราเลยพี่ปุ๊กไปหาอะไรกิน

เราไปกินก๋วยเตี๋ยวตรงใต้สะพานลอยรถไฟฟ้า มี ๒ ร้านติดกัน เราเลือกเข้าร้านซ้ายมือเพราะเห็นคนเยอะกว่า ก็รสชาติอร่อยดี พี่ปุ๊กบอกว่าลูกชิ้นอร่อยเหมือนร้านนายเงี๊ยบตรงบางขุนนนท์เลย เราว่าน้ำซุปก็อร่อยหวานผงชูรส เอ้ย หวานน้ำต้มกระดูก ตอนเดินไปที่สถานีพี่ปุ๊กชำเลืองดูลูกชิ้นในตู้กระจกของอีกร้านขวามือ แล้วบอกว่าต้องไม่อร่อยเท่าร้านที่เรากินแน่ๆ เลย แต่ปรากฏว่าผิดคาด เพราะเก๋กับพี่หนิงมาถึงทีหลังก็ไปหาอะไรกิน แล้วเข้าไปกินร้านทางขวามือ ก็บอกว่าอร่อยดี สรุปว่าอร่อยทั้ง ๒ ร้าน

พี่หญิงมาถึงเป็นคนสุดท้ายเกือบ ๙ โมงเพราะรถติด แต่ก็ยังทันได้ตั๋วรอบเก้าโมง ตั๋วกรุงเทพฯ-บ้านเพ ไปกลับราคา ๒๓๔ บาท พวกเราต้องแยกกันนั่ง เรานั่งกับเก๋ ส่วนพี่ๆ ๓ คนได้ที่นั่งด้านหลัง เราอุตส่าห์เอาหนังสือ "จะเลือกเงินหรือชีวิต" ไปอ่าน แต่ปรากฏว่าเก๋ชวนเราคุยตลอดเลยไม่ได้อ่านซักกะหน้า

พวกเราไปถึงบ้านเพเที่ยงกว่าๆ ก็งงๆ ว่าจะไปขึ้นเรือที่ไหน ตกลงกันว่าจะไปเรือสปีดโบ้ท พี่หญิงบอกว่ารู้สึกจะขึ้นเรือที่ท่านวลทิพย์ ๒ (ออกจากท่ารถ ข้ามถนนแล้วเดินไปทางขวามือ) เดินไปได้ซักร้อยเมตรเห็นป้ายมีบริการเรือสปีดโบ้ท ไปถามราคาเขาบอกว่าพันสองแต่ลดให้เหลือพันนึง พี่หญิงเลยโทรถามเพื่อน เพื่อนบอกให้ไปหาเจ้าที่เขารู้จัก ได้ราคา ๘๐๐ บาท (ขากลับเขาให้นามบัตรมาด้วย มีเบอร์โทรเอาไว้คราวหน้าถ้าเราจะไปอีกก็โทรเรียกได้เลย) เขาไปส่งที่อ่าวทับทิมที่เราจะพัก นั่งเรือแค่ประมาณ ๒๐ นาทีก็ถึง (ถ้านั่งเรือเมล์จะนานกว่า ค่าข้ามคนละ ๕๐ บาท แต่ต้องรอเวลา/รอคน และถ้าที่พักไม่ได้อยู่ใกล้ท่าเรือ ก็ต้องนั่งรถสองแถวต่อไปเองอีก)

ตอนแรกว่าพวกเรากะว่าจะกินข้าวกลางวันก่อนแล้วค่อยนั่งเรือข้ามไปเกาะ แต่คนที่ท่าเรือบอกว่าที่ฝั่งไม่มีอะไรอร่อย ให้ไปกินที่เกาะดีกว่า เราก็เลยข้ามไปเกาะเลย (อารามหิวจนตาลาย ก็เลยลืมแวะเซเว่นซื้อขนม น้ำ ของกินเล่น) ไปถึงก็สั่งอาหารมากินก่อนที่จะเอาของเข้าไปเก็บที่ห้องพักซะอีก ตลอดเวลาสามวันเราฝากท้องไว้กับร้านอาหารของรีสอร์ท อาหารรสชาติดีแต่หวาน พอหลังจากผ่านไป ๒ มื้อ เวลาสั่งอาหารพวกเราก็จะต้องมีคำสั่งกำกับไปว่า "ไม่หวานนะคะ" จึงได้อาหารรสชาติดีแบบไม่มีแต่

วันแรกพวกเราไม่ได้ทำอะไร กินอาหารกลางวัน เอาของไปเก็บที่บ้าน แล้วออกมานั่งเล่นที่ชายหาด นั่งเมาท์ นั่งคุย นั่งอ่านหนังสือ มีเด็กมาชวนให้ทำเฮนน่า (เหมือนลายสัก แต่อยู่ได้แค่ ๒ อาทิตย์ และไม่ต้องเจ็บตัว) เก๋มีทีท่าสนใจ ถามทำนานเท่าไหร่ ราคาเท่าไหร่ ฯลฯ แถมเปิดสมุดเลือกลายอย่างขมักเขม้น ในที่สุดตัดสินใจเลือกภาษาจีนที่แปลว่า "ฝน" ถามคนทำว่าเขานิยมติดกันตรงไหน เขาบอกว่าก็แล้วแต่ ต้นแขน ข้อมือ หลังมือ คอ แต่ที่คอจะเมื่อยหน่อย ตอนที่ต้องรอให้แห้ง

ในที่สุดเก๋เลือกติดที่คอ เขาก็ลอกลายใส่กระดาษไขไปแปะที่คอเก๋ แล้วก็ผสมเฮนน่าระบายเป็นลาย พอระบายเสร็จแกบอกว่า เดี๋ยวพี่นั่งเอียงคอให้โดนลมประมาณ ๒๕ นาทีนะครับ เก๋ก็ร้องเฮ้ย ๒๕ นาทีเชียวเหรอ ไหนว่าแป๊บเดียว คนทำก็ยิ้มๆ ไม่ว่าอะไร (ก็หลวมตัวทำไปแล้วนี่ อยากโวยวายอะไรก็โวยไปเถอะ 555) บอกต่อด้วยความใจดีว่า เดี๋ยวถ้าพี่เห็นว่าสีมันติดไม่ค่อยดี เพราะเก๋ทาโลชั่นกันแดด เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมมาเติมสีให้อีกก็ได้นะครับ แล้วก็เดินจากไป ปล่อยให้เก๋นั่งคอเอียงอยู่ริมทะเล

พวกเรานั่งเล่นอยู่พักใหญ่ รอจนลายเฮนน่าของเก๋เริ่มแห้ง ก็ลงไปเล่นน้ำทะเล ก็ดูๆ กันว่าลายเฮนน่าจะลบเพราะโดนน้ำหรือเปล่า ก็ไม่ลบ แต่พี่หนิงมาสังเกตเห็นว่า เขาทำลายกลับด้าน (เวรกรรม... นี่ถ้าพี่หนิงอ่านภาษาจีนไม่ออก ก็คงไม่รู้เรื่องกันไปจนลายมันลบไป) เก๋บอกว่า เดี๋ยวถ้าเจอเด็กคนนี้อีกจะต้องบอกให้เขาทำซ่อมให้ แต่ปรากฏว่าเขาก็ไม่มาให้เราเจออีกเลย

พวกเราไม่มีอุปกรณ์เล่นน้ำ ทางรีสอร์ทเขาเอาถังน้ำมันไปผูกเป็นทุ่น มีไม้กระดานวางพาดขนาดซัก ๔ เมตรคูณ ๔ เมตรได้ มีคนขึ้นไปนั่งเล่น นอนเล่น กระโดดน้ำเล่นกันเยอะแยะ ตอนแรกพวกเราก็ไม่สนใจเพราะเห็นคนเยอะ แต่ตอนหลังไม่มีอะไรทำก็เลยว่ายไปนั่งเล่นมั่ง เล่นน้ำอยู่พักหนึ่งแล้วก็ขึ้นไปอาบน้ำ ตอนจะออกมากินข้าวเย็น ฝนตกปรอยๆ ก็เลยนั่งกินข้าวข้างบนที่หน้าทีวี กินเสร็จก็นั่งเมาท์ แล้วไปเมาท์ต่อที่ห้อง แล้วก็เข้านอน

วันที่สองตั้งใจจะเดินไปหาดอื่นๆ และจะเล่นบานาน่าโบ้ท กินข้าวเช้าเสร็จก็ถามพนักงานที่รีสอร์ทว่าจะเดินไปเที่ยวที่ไหนได้มั่ง เขาบอกว่าถ้าเดินไปทางขวาจะเป็นหาดทรายแก้ว ถ้าไปทางซ้ายเป็นหาดวงเดือน พี่ปุ๊กถามว่าไปทางไหนดี เขาบอกว่าก็แล้วแต่ชอบ พี่ปุ๊กไม่ยอม บังคับให้เขาเลือก เขาเลยบอกว่าไปทางหาดวงเดือนดีกว่าเป็นป่าๆ คนไม่เยอะดี

กินข้าวเสร็จก็กลับมาโอ้เอ้ที่บ้านพักจนได้เวลาข้าวกลางวัน ก็เลยกินข้าวกลางวันก่อน กว่าจะได้เริ่มเดินไปอ่าววงเดือนก็ปาเข้าเกือบบ่ายสองโมง ระหว่างทางต้องผ่านอ่าวนวลกับอ่าวช่อก่อน พอถึงอ่าวช่อก็เริ่มเหนื่อย พอดีเห็นบานาน่าโบ้ทก็เลยตัดสินใจว่าจะเล่นบานาน่าโบ้ทที่นี่ไม่ไปอ่าววงเดือนแล้ว เข้าไปถามราคาเขาบอกว่าครึ่งชั่วโมงแปดร้อย/หนึ่งชั่วโมงพันห้า เราคิดว่าแพงเล็กน้อย เหมือนที่เคยเล่นจะประมาณครึ่งชั่วโมงห้าร้อย แต่ก็ตัดสินใจว่าจะเล่น เพราะตั้งใจไว้แล้ว

พี่หญิงไม่เล่น เพราะก่อนหน้านี้เป็นตาแดง หมอให้งดโดนน้ำชั่วคราว พวกป้าๆ ที่เหลือก็เอาเสื้อชูชีพมาใส่ คนเรือบอกพี่หญิงว่าจะนั่งไปในเรือที่ลากด้วยก็ได้ เป็นสปีดโบ้ท ไม่เปียกน้ำ พี่หญิงก็เลยนั่งไปด้วย ปรากฏว่ารอบแรกป้าๆ ยังไม่ทันตั้งตัว นั่งโต้คลื่นได้ซักพักก็ล้มโครมตกน้ำกันหมด กว่าจะทุลักทุเลปีนขึ้นมาบนกล้วยได้ก็เหนื่อย แต่หลังจากนี้เริ่มเรียนรู้ที่จะโยกตัวฝืนเพื่อไม่ให้ล้ม

คนขับเรือเห็นพวกเราเลี้ยงตัวกันเก่งก็ยิ่งขับฉวัดเฉวียนพยายามจะให้พวกเราตกน้ำให้ได้ เล่นจนหมดเวลาพวกเราตกน้ำพร้อมกันหมด ๒ รอบ เรากับเก๋ตกน้ำเดี่ยวๆ คนละรอบ (ป้าๆ พยายามกันสุดขีดที่จะไม่ตกน้ำ เพราะไม่มีแรงปีนขึ้นกล้วย ในขณะที่เคยเห็นเด็กๆ เขาเล่นบานาน่าโบ้ทกัน เขาจะมีแกล้งล้ม มีการแกล้งให้เพื่อนตกน้ำ ฯลฯ แบบว่าพลังยังเหลือล้นอยู่) ส่วนพี่หญิงเมาเรือเพราะตอนที่คนเรือเขาขับฉวัดเฉวียน พวกเราที่อยู่บนกล้วยแค่ต้องเอียงตัวกับหลบคลื่น แต่พี่หญิงอยู่บนเรือหัวหมุนสุดๆ ไปเลย

พวกเราได้ข้อสรุปกันว่า คราวหน้าจะต้องเอาแว่นตาว่ายน้ำมาด้วย น้ำทะเลจะได้ไม่เข้าตาและมองเห็นทางและเลี้ยงตัวได้ดีกว่านี้ เล่นบานาน่าโบ้ทเสร็จก็เดินสะโหลสะเหลกลับอ่าวทับทิม

กลับมาถึงอ่าวทับทิมเจอบานาน่าโบ้ทจอดอยู่ลำหนึ่ง อึ้งไปเล็กน้อย เพราะถ้าเขามาจอดตั้งแต่ตอนเที่ยงพวกเราคงไม่เดินไปอ่าววงเดือน (แต่เดินถึงแค่อ่าวช่อ) สั่งของว่างมากิน แล้วก็เล่นน้ำอีกรอบหนึ่ง คราวนี้ไปเช่าห่วงยางมาเล่นด้วย แล้วก็ว่ายไปที่ทุ่นอีก วันนี้ทุ่นยิ่งกลายเป็นสลัมเข้าไปใหญ่ เพราะเป็นวันเสาร์คนเยอะกว่าวันศุกร์ เล่นน้ำเสร็จก็ไปอาบน้ำ แล้วออกมากินข้าวเย็นที่ชายหาด นั่งกิน นั่งเมาท์ กลับไปที่พักแล้วก็เข้านอน

วันสุดท้าย (ตื่นมาป้าๆ มีอาการปวดเมื่อยเคล็ดขัดยอกกันเล็กน้อย เนื่องจากการเล่นบานาน่าโบ้ท) ตอนแรกตั้งใจกันว่าจะไม่กินข้าวเช้า แต่จะกินข้าว(บรันช์)ประมาณสิบเอ็ดโมง เพราะนัดเรือมารับตอนเที่ยง แต่ปรากฏว่ามีคนทนหิวไม่ไหว ออกมากินข้าวกันตอนเกือบเก้าโมง กินเสร็จกลับไปเก็บของอาบน้ำเตรียมตัวกลับ ออกมารอเรือตอนสิบเอ็ดโมงก็เลยกึกๆ กักๆ จะสั่งอาหารกลางวันกิน ก็เพิ่งจะกินมื้อเช้าไป จะไม่กินก็กลัวหิว สุดท้ายก็สั่งอาหารมาแบ่งกัน

เรือสปีดโบ้ทมารับตอนเที่ยง คนขับมาส่งที่ท่าเรือตรงข้ามกับสถานีรถทัวร์ ก็เลยไม่ต้องเดินไกล เราได้ตั๋วกลับเที่ยวบ่ายโมงสิบ ซื้อของกินของฝากนิดหน่อย กินน้ำเข้าห้องน้ำ ก็พอดีได้เวลารถออก (พวกเราโชคดีที่มาถึงเร็ว พอหลังจากที่เราได้ตั๋วแล้ว คนอื่นมากันอีกตู้มๆ เลย ถ้าเรามาช้าอีกซักสิบนาที คงต้องรอรถอีกหลายเที่ยว)

กลับถึงกรุงเทพฯสี่โมงครึ่ง พี่หญิงแยกตัวกลับไปบ้าน เพราะต้องไปงานแต่งงานเพื่อน ส่วนสมาชิกที่เหลือนั่งแท็กซี่ไปกินเนื้อย่างเกาหลี เพราะระหว่างนั่งรถทัวร์มีคนหิวโซจนทนไม่ไหว (โชคดีที่ไปถึงร้านอาหารเกาหลี เขาเปิดร้านพอดี ไม่งั้นคงมีคนโมโหหิวไปยืนทุบประตูร้านเป็นแน่แท้) กินอาหารเกาหลีเสร็จก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เป็นอันจบทริปเที่ยวเกาะเสม็ด

เก็บตก

ที่อ่าวทับทิมที่เราพัก โทรศัพท์จีเอสเอ็มมีสัญญาณเล็กน้อย ดีแทคจะมีสัญญาณถ้าเดินไปที่หัวแหลมทางขวามือ (ทางไปอ่าวนวล) ส่วนออเร้นจ์ซึ่งปกติเป็นลูกเมียน้อย ไม่ค่อยมีสัญญาณตามที่ไกลๆ กลับมีสัญญาณเต็มเปี่ยม เพราะเขามาตั้งเสาส่งอยู่ใกล้มาก

เราบอกแม่ว่าไปเที่ยวเสม็ด แต่ไม่ได้บอกว่าลางานวันศุกร์ด้วย แม่ถามว่าไปวันเสาร์กลับวันอาทิตย์เหรอ ก็อือๆ ไปตามเรื่อง ไม่ได้ตั้งใจจะโกหก แต่นึกว่าไม่ได้สลักสำคัญอะไร

ปรากฏว่าวันศุกร์แม่โทรหาเราที่มือถือไม่ได้ (คาดว่าเป็นตอนที่สัญญาณเล็กน้อย ลดลงเหลือ ไม่มี) แม่เลยโทรเข้าออฟฟิศเรา คนที่ออฟฟิศบอกว่า เราลาพักร้อน ตอนหลังเรามานั่งที่หาดแม่โทรเข้ามือถือ ก็เลยถามว่า เราลาพักร้อนไปทำอะไร เลยเหมือนโดดงานแล้วนจับได้เลยอ่ะ เหะๆๆๆ