Significant & Insignificant Events
วันก่อนลางานไปทำธุระที่บ้านกับเก๋ ก็เลยได้คุยกันเรื่องไดอารี่ บอกเก๋ว่ามีคนประชดไว้ในเกสต์บุ๊กว่าตอนต่อไปที่จะเขียนเกี่ยวกับไอโกะคงเป็นตอนเข้าอนุบาล เก๋บอกว่าไม่ค่อยมีเวลาเขียน เพราะมัวแต่ยุ่ง (กลุ้ม) เรื่องทำยังไงจะให้ร้านที่สยามขายดีๆ แล้วเก๋ก็บอกว่า วันก่อนไปอ่านไดอารี่ของใครไม่รู้ เห็นมีเขียนแค่ 6-7 บรรทัดเท่านั้นเอง ก็คิดว่าเขียนสั้นๆ ก็ดีเหมือนกัน ไม่เห็นต้องเขียนยาวๆ แบบนิจวรรณเลย ไปเขียนแค่ว่า วันนี้ไปไหน กินอะไรมาก็พอ

เราก็บอกว่า เราอ่านโรอัลด์ ดาห์ลเขียนคำนำของหนังสือ Going Solo ว่า ชีวิตคนเราประกอบด้วยเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ค่อยสำคัญเยอะแยะมากๆ และเหตุการณ์ยิ่งใหญ่มีความสำคัญมากแค่ไม่กี่เหตุการณ์ เหตุการณ์ที่เขาเล่าใน Going Solo เป็นเหตุการณ์ประเภทหลัง เราพยายามจะบอกว่า ถ้าเขียนแค่ว่าวันนี้ไปไหน กินอะไร มันก็เขียนซ้ำๆ อยู่ร่ำไป เพราะฉะนั้นเราจะเขียนแต่เหตุการณ์ที่ไม่ใช่เหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ

วันเสาร์ที่ผ่านมา (25 ตุลาคม) แม่ให้เก๋ไปไหว้เจ้าที่เจ้าทางที่บ้านที่ซอย 35 อาทิตย์นี้เราไม่ได้กลับบ้าน เพราะแม่กับเตี่ยหนีไปเที่ยวเมืองจีน เราก็เลยบอกเก๋ว่าจะไปไหว้เป็นเพื่อน แม่เตรียมของแห้งไว้ให้แล้ว เก๋เตรียมผลไม้กับบัวลอยไป นิจวรรณเตรียมตัวไปอย่างเดียว (และตามมาตรฐานน้องคนเล็ก ก็เลยให้เก๋มารับที่คอนโดด้วย) ไหว้เสร็จแล้วก็ไปกินก๋วยเตี๋ยวปลาเจ้าอร่อยที่บางขุนนนท์ (พี่ปุ๊กบอกว่าชื่อ ก๋วยเตี๋ยวนายเงี๊ยบ ตอนเราไปกิน หิวจัดไม่ทันได้อ่านชื่อร้าน รู้แต่คนแน่นร้านมากๆ) แล้วก็ซื้อไส้กรอกอีสานเจ้าอร่อยกลับมากินด้วย

วันอาทิตย์ (26 ตุลาคม) เรานัดกับพี่ปุ๊กพี่หญิงไปออกกำลังกายที่สปอร์ตคลับที่บริษัทเป็นสมาชิก (การออกกำลังกายก็เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยในช่วงชีวิตของเราเพราะฉะนั้นต้องบันทึกไว้ ฮ่าๆๆ) ได้ตีสควอชเป็นครั้งแรก รู้สึกว่ายาก ตีผิด(บ่อยๆ)ตีถูก(นานๆ ครั้ง) แต่จะว่าไปกีฬาอะไรๆ ก็ยากสำหรับคนด้อยความสามารถทางกีฬาอย่างเรา ตีได้พักเดียวก็เหนื่อย ก็ไปเล่นอุปกรณ์อื่นๆ ในยิมอีกอย่างละนิดละหน่อย แล้วก็ไปตีปิงปองกับพี่ปุ๊ก (สรุปว่าปิงปองเป็นกีฬาที่ง่ายที่สุด)

ออกกำลังเสร็จก็ไปกินข้าวกันที่เซ็นทรัลแล้วเราก็แยกจากพี่ๆ (รู้สึกว่าจะไปช็อปปิ้งกันระเบิดเถิดเทิง) ขับรถไปบ้านใหม่ของก๊อใหญ่ บ้านก๊อใหญ่อยู่ซอยลาดพร้าว 71 เราต้องโทรไปถามทางเพราะเป็นย่านที่ไม่คุ้นเคย ปรากฎว่าไปไม่ยากเท่าไหร่ วันอาทิตย์รถไม่ติดเลยใช้เวลาแค่ 15 นาที ก๊อใหญ่ซื้อบ้านอีกหลังหนึ่งที่ติดกัน แต่ยังสร้างไม่เสร็จ เขาบอกว่าถ้าเสร็จแล้วจะให้เราไปอยู่ด้วย มีบ้านหลายหลังจัดไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนดี

ก๊อใหญ่ชวนหมอโกร่งมากินข้าวด้วย แล้วก็มีพี่ๆ น้องๆ ของซ้อมาด้วย อาหารเต็มโต๊ะไปหมด (เท่าที่จำได้มี ปูนึ่ง แหนมเนือง ข้าวเกรียบปากหมอญวนไก่ทอด ปลานึ่ง เกาเหลาแห้งลูกชิ้นปลา แกงจืด ลาบ หอยจ๊อ) ยังดีว่ากว่าจะได้กินก็เกือบๆ ทุ่ม เราก็เลยมีเวลาย่อยทัน (กินข้าวกับพี่ปุ๊กพี่หญิงไปตอนบ่ายสอง) กินเสร็จก็ขับรถกลับบ้าน เก๋บอกให้เราขึ้นทางด่วน แต่เรางก เพราะต้องขึ้นทางด่วน 2-3 ต่อ เราก็เลยมาทางราบ

วิ่งไปตามถนนเลียบทางด่วนรามอินทราไปเอกมัย แล้วก็เลี้ยวเข้าทางลัดไปซอยทองหล่อ เห็นรถไม่ติดก็มัวแต่คิดว่าคงถึงบ้านไม่เกินสองทุ่มครึ่ง ที่ไหนได้พอเกือบถึงปากซอยทองหล่อ มีทางโค้งเราขับพ้นโค้งมาปุ๊บเจอรถหยุดข้างหน้าแบบไม่ตั้งตัว รู้สึกตัวกระทืบเบรคไปก็ได้ยินเสียงโครม!!!

รถเราไปทิ่มรถคันข้างหน้า คนขับคันโน้นเขาคงรู้ว่าเราผิดอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง ก็เลยขับรถหลบไปข้างทาง เราก็ขับไปหลบตาม ลงไปดูรถเขากันชนบุบไปนิดหน่อย เราก็เลยโทรเรียกประกัน (โทรศัพท์ดันแบตฯหมดอีก ต้องไปขอยืมโทรศัพท์ของคนที่โดนเราชนมาโทร โทร.ไปประกันก็ดันหากรมธรรม์ไม่เจออีก ดีว่าเดี๋ยวนี้มีคอมพิวเตอร์เขาก็เลยค้นหาเลขกรมธรรม์ได้) รถที่โดนเราชนยังใหม่อยู่เลย เขาบอกว่าออกมาได้ปีกว่าเอง แต่คนขับเขาก็ไม่ได้โมโห เขาบอกว่าตัวเขาเองก็เบรคเต็มแรงเหมือนกัน เพราะพ้นโค้งมาแล้วถึงเจอว่ามีรถหยุดอยู่

ระหว่างที่รอประกัน เราก็ถึงจะได้ดูสภาพรถตัวเอง ไฟเลี้ยวแตกยับ กระจกที่เป็นกรอบไฟหน้าแตก ไฟหน้าแตกไปหนึ่งดวง (แต่หลอดไม่แตก เลยยังไม่ได้เป็นรถตาบอดข้างเดียว) ตัวถังรถพังไปสามชิ้น (กระโปรงหน้า กันชนหน้า และแผงด้านข้างเหนือล้อหน้า) รถเรามีประกันชั้น 3 เพราะฉะนั้นค่าซ่อมรถเราต้องจ่ายเอง กลายเป็นว่าปีนี้เราซ่อมรถหัวปีท้ายปี (ตอนต้นปีดันเบลอ ขับรถเบียดเสาในที่จอดรถที่คอนโด ประตูหลังบุบแผลเบ้อเริ่มเลย) ทำประกันชั้น 3 สุดแสนจะไม่คุ้ม

เรารอประกันอยู่ประมาณ 20 นาที พอประกันมาเราก็เซ็นเอกสาร (รับผิด) แล้วก็แยกย้ายกัน เรากลับถึงบ้านสามทุ่มกว่า คิดแล้วก็เศร้า อดคิด What… if… ต่างๆ นานาไม่ได้ ถ้าไม่ไปบ้านก๊อใหญ่... ถ้าตัดสินใจขึ้นทางด่วน... ถ้าไม่มัวแต่ใจลอยคิดว่าจะถึงบ้านเร็ว... ถ้า... ถ้า... ถ้า... คิดถึงที่เตี่ยบอกว่า อุบัติเหตุเกิดขึ้นแค่ช่วงเสี้ยววินาที ที่ทุกอย่างมาประจวบเหมาะกันพอดี ถ้าเร็วกว่านั้นนิด หรือช้ากว่านั้นหน่อยเดียว อุบัติเหตุจะไม่เกิด แต่สรุปสุดท้ายก็ไม่รู้จะคิดไปทำไม ช่างมันดีกว่า รถเสียก็เอาไปซ่อม เรายังโชคดีตั้งเยอะที่เป็นน้องคนเล็ก เราก็เอารถไปให้ก๊อใหญ่เอาเข้าอู่ให้ แล้วเขาก็มีรถให้เราก็ยืมใช้ด้วย แต่ขนาดทำใจว่าไม่คิดเมื่อคืนก็ยังฝันอะไรเป็นตุเป็นตะ

วันนี้เก๋โทรมาหาเรา ถามว่าให้ไปทำธุระที่บ้านที่แม่กลองพรุ่งนี้ได้ไหม เราบอกว่า “พอดีเลย ไปก็ได้ จะได้เอารถไปซ่อมด้วย” เก๋ก็งงว่าเป็นอะไร ก็เลยเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟัง เก๋ถามว่าทำไมเราไม่โทรหาตั้งแต่เมื่อคืน ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราคงโทรเหมือนกัน แต่ตอนนี้คิดว่าโทรไปก็ไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรเท่าไหร่ เราขับรถชนบ่อยมากๆ ทุกครั้งเขาก็แค่ห่วงกันว่าเราเป็นอะไรหรือเปล่า ไม่ค่อยห่วงรถกันเท่าไหร่ เราไม่เป็นอะไรก็เลยไม่รู้จะโทรบอกทำไม พอตอนบ่ายๆ ก๊อใหญ่โทรมา เราก็ได้เอ่ยปากขอยืมรถ เขาก็งงๆ ว่าชนได้ไง เพิ่งออกจากบ้านเขาหลัดๆ (กินอิ่มไปหรือเปล่า?)

ไม่รู้ว่าที่เล่ามานี้จะสามารถจัดเป็นเหตุการณ์สำคัญไม่กี่เหตุการณ์ในชีวิตของเราได้หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ มันไม่ดีเพราะฉะนั้นสำคัญหรือไม่สำคัญก็ไม่ว่า แต่ว่าอย่าเกิดขึ้นบ่อยๆ เลยดีกว่า (ถ้าไม่ต้องเกิดขึ้นอีกเลยได้ยิ่งดี) เพราะมันทำให้ลำบากคนที่ต้องคอยดูแลน้องคนเล็กอ่ะนะ...