Bloody Day
วันเสาร์ไปบริจาคเลือดมา ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๑๕ ที่บริจาคที่สภากาชาด แต่เราเคยบริจาคตอนสมัยอยู่ที่แคนซัสประมาณ ๓-๔ ครั้ง เดือนนี้เห็นเขียนตรงหน้าประตูว่าต้องการเลือด ๓๕๐๐๐ ยูนิต แต่มีคนมาบริจาคยังไม่ถึง ๑๕๐๐๐ ยูนิตเลย เก๋ก็เคยพูดว่าหน้าร้อนเลือดจะขาดเยอะ ใครที่บริจาคได้ก็อยากชักชวนให้ไปบริจาคด้วยกัน

เราไปคราวนี้โชคไม่ค่อยดีตั้งแต่ต้น เข้าไปรอแถวไหน แถวนั้นช้า ตั้งแต่วัดความดัน หมอก็วัดช้ามาก พอตรวจความเข้มข้นของเลือด ก็ช้าอีกเพราะคนก่อนหน้าคงมาบริจาคเป็นครั้งแรก ก็ถามอะไรเยอะ แต่พอตอนมาที่ห้องบริจาคก็ค่อยดีขึ้น รอแป๊บเดียว

เราต้องให้เขาเจาะเลือดที่แขนขวา (บางคนให้แขนไหนก็ได้) เคยคิดว่าแขนไหนก็เหมือนกัน แต่มีอยู่ครั้งนึงให้แขนซ้าย ได้เลือดไปประมาณครึ่งถุงก็หยุดไหล พยาบาลบอกว่าต้องเปลี่ยนแขนแล้วหละ เราก็ให้เขาเปลี่ยน เรานึกว่าเขาจะใช้ถุงเดิมให้เต็ม ปรากฏว่าเขาเริ่มถุงใหม่เลย ไม่รู้ว่าทำไมถึงใช้ถุงเดิมไม่ได้ คราวนั้นน่าจะโดนเจาะเลือดไปประมาณ ๕๐๐ ซีซี บริจาคเสร็จเราขับรถกลับ ก็คิดอยู่ว่าจะไปดูหนัง แต่ก็รู้สึกเวียนหัวหน่อยๆ พอรถติดไฟแดง ดันมือบอนไปแกะพลาสเตอร์ที่ติดไว้ออกมา เลือดมันยังไม่ค่อยหยุดดี เราเห็นรอยเข็มกับรอยเลือดซึมออกมา เลยพาลจะเป็นลม ต้องรีบเปลี่ยนแผนขับรถกลับบ้าน พอกลับมาถึงคอนโดเดินมาขึ้นลิฟท์ก็จะเป็นลม ต้องเอามือเกาะผนังไว้ตลอด พอเข้าบ้านได้รีบล้มตัวลงนอน พอรู้สึกว่าดีขึ้นก็ลุกขึ้นมาจะนั่ง เท่านั้นหละ หน้ามืดไปอีก สรุปว่าบ่ายวันนั้นทั้งวันหน้ามืดไปประมาณ ๔-๕ รอบ เพราะทำอะไรเร็วๆ หน่อยก็หน้ามืด ตั้งแต่ครั้งนั้นมาจะต้องบอกพยาบาลว่า แขนขวานะคะ

ตอนเราลงไปนอนบริจาค คนที่นอนเตียงติดกับเรา (หัวชนกัน) ชื่อ "ปิยธิดา" ด้วยหละ พอบริจาคเสร็จเขาจะให้ออกมานั่งพัก และมีโอวัลตินกับขนมให้กิน เราเพิ่งกินโอวัลตินหมด ยังไม่ทันได้แกะขนม ก็สังเกตว่าเลือดมันซึมที่ผ้าก็อซ มองๆ อยู่ว่ามันซึมออกมาเพิ่มหรือเปล่า ว่าจะไปให้เขาติดให้ใหม่ ก็พอดีมีผู้หญิงคนนึงเขาเดินออกมา เขาบอกว่า "เลือดไหลใหญ่แล้ว ไปให้เขาเปลี่ยนผ้าก็อซให้ใหม่ดีกว่า" เราก็เลยกลับเข้าไปที่ห้องบริจาค

เราเดินไปบอกเจ้าหน้าที่ เขาให้เราเข้าไปหาพยาบาลตรงเตียงที่บริจาค มันค่อนข้างจะทุลักทุเล เพราะ เราต้องยื่นแขนข้ามเตียงที่มีคนนอนบริจาคอยู่เข้าไปให้เขาแกะผ้าก็อซ ตอนเขาจะแกะเราก็เบือนหน้าไปทางอื่น คิดในใจว่า "เราไม่ดูดีกว่า เดี๋ยวเป็นลม" พอคิดจบเท่านั้นและ เราก็รู้สึกว่าตัวเซๆ เลยจะย่อตัวลงไปจับเตียง พยาบาลถามว่า "เวียนหัวใช่ไหม" เราได้ยินตัวเองตอบว่า "ใช่" และได้ยินเสียงพยาบาลเรียกคนที่นั่งรออยู่ว่า "คุณครับช่วยมาจับคนนี้หน่อยครับ เขาจะเป็นลม" แล้วเราก็รู้สึกว่าหน้ามืดหมดแรงแล้วก็ทรุดลงไป

ยังดีว่าคนที่นอนอยู่ที่เตียงที่เราเกาะอยู่เขาบริจาคเสร็จพอดี เขาก็เลยรีบลุกให้เราลงไปนอนแทน เราได้นอนก็รู้สึกดีขึ้น หน้าหายมืด มองเห็นว่า พยาบาลเอาผ้าก็อซหยดแอมโมเนียมาแกว่งๆ ให้ดมตรงจมูก เราก็เลยเอื้อมไปหยิบจากมือเขามา เขาจะได้ไปทำอย่างอื่นต่อ ปรากฏว่าตอนเรียนเคมีครูสอนไม่รู้จักจำ ว่าเวลาจะดมอะไรให้เอามือพัดๆ ดมเบา เราดันลืม สูดแอมโมเนียเข้าไปเฮือกใหญ่ เกือบสลบไปอีกรอบเพราะฤทธิ์ "เยี่ยวอูฐ" ซะแล้ว เรานอนอยู่พักนึง พอรู้สึกว่าสบายดีแล้วก็ลุกขึ้นมา พยาบาลถามว่าสบายดีแล้วนะครับ แล้วเราก็มานั่งตรงเดิมที่เราทิ้งสมบัติเอาไว้ เจ้าหน้าที่เอาโอวัลตินกับขนมมาให้อีกชุดนึงเพราะคิดว่าเราเพิ่งออกมา เลยได้กินทุกอย่างเป็น ๒ เท่า เป็นการเพิ่มพลังทดแทนจากที่เป็นลม

ตอนขับรถมาจากสภากาดชาด ก็ยังงงๆ อยู่ว่าเราเป็นลมได้ยังไง เลยเอาบัตรบริจาคมาดู ถึงได้สังเกตว่า เขาเจาะเลือดเราไปถึง ๔๐๐ ซีซี ปกติเราจะบริจาคแค่ ๓๐๐ ซีซี และที่จริงแล้วเขาเพิ่มเป็น ๔๐๐ ซีซี มาตั้ง ๕ ครั้งแล้ว แต่เราไม่รู้ตัวเอง สงสัยเขาคงเห็นว่าเราอ้วนท้วนสมบูรณ์แข็งแรงดี เลยขอเยอะหน่อย เพราะเราถามเก๋ว่า ตอนที่เก๋ไปบริจาค เขาเอาไปเท่าไหร่ เก๋ก็บอกว่า ๓๐๐ ทุกครั้งเลย คราวหน้าเห็นจะต้องขอร้อง บอกว่า อย่าเอาไปเยอะเลยนะ แค่ ๓๐๐ ก็พอแล้วเดี๋ยวอีฉันเป็นลมกันพอดี

แต่ความจริงแล้ว การที่เราเป็นลมอาจจะเป็นเพราะเราคิดว่าเราจะเป็นลมก็ได้ "ใจสั่งกาย" ได้ เพราะฉะนั้นแค่คิดว่าจะเป็นลมก็ทำให้เป็นลมไปจริงๆ เพราะไม่งั้นตั้ง ๔-๕ ครั้งก่อนหน้านั้นทำไมไม่เป็นไร อีกอย่างนึงก็อาจจะเป็นที่ เราต้องไปก้มๆ เงยๆ ตอนที่เปลี่ยนผ้าก็อซ เลือดเลยไปเลี้ยงสมองไม่ทันก็เลยหน้ามืด เฮ้อ เสียฟอร์มจริงๆ