Losing Forrester
ไปดูหนังเรื่อง Finding Forrester มา ก่อนไปดูอุตสาห์เที่ยวไปบอกใครๆ ว่า Forrester คนนี้แหละที่เป็นคนที่ Roald Dahl ไปเจอตอนสมัยที่เขาไปอเมริกา แล้วเลยชักชวนให้เขียนหนังสือ จน Roald Dahl กลายมาเป็นนักเขียนในดวงใจของเด็กๆ และนักอ่านทั่วโลก พอไปดูหนังจบแล้วกลับมาอ่านประวัติของ Roald Dahl จากปกของ Going Solo อีกรอบ เขาเขียนว่า Roald Dahl ไปอเมริกา และพบกับนักเขียนชื่อ C. S. Forrester ที่ชักนำให้เขาเขียนเรื่องสั้น ส่วนหนัง Finding Forrester ที่เราไปดูมาเนี่ย เป็นเรื่องแต่ง และตัวเอกคือ นักเขียนชื่อ William Forrester...แป่ว!!!

Finding Forrester เป็นเรื่องของนักเขียนชาวสก็อตต์ชื่อ William Forrester กับ Jamal Wallace เด็กวัยรุ่นผิวดำที่อยู่ในย่าน Bronx โดย Forrester (แสดงโดยสก็อตแมนจริงๆ คือ Sean Connery) เขียนหนังสือออกมาเล่มแรก คือ Avalon Landing ประสบความสำเร็จอย่างสูงและได้รับรางวัล Pulitzer หลังจากนั้นเขาก็หายตัวไปจากสาธารณชน ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน และเหตุใดจึงไม่มีผลงานอื่นๆ ออกมาอีก ส่วน Jamal Wallace เป็นเด็กที่มีความสามารถอย่างยิ่งในการเขียนหนังสือและการเล่นบาสเก็ตบอล จนได้ทุนไปเรียนในโรงเรียนเอกชนชื่อดัง

Jamal บังเอิญได้มาพบและได้รับความช่วยเหลือจาก Forrester ในการเขียนหนังสือโดยที่ไม่รู้ว่าเขา คือ Forrester จนกระทั่งเพื่อนที่โรงเรียนให้ดูรูปของ Forrester จากปกของ Avalon Landing ฉบับพิมพ์ครั้งแรก

หนังแสดงความผูกพันธ์ของ Forrester กับ Jamal บอกเล่าถึงเหตุผลที่ Forrester หายไปจากสาธารณชนและแวดวงวรรณกรรม เรื่องราวความกดดันจากสิ่งแวดล้อมที่ Jamal ต้องได้รับ ฯลฯ เป็นหนังที่เราชอบมากๆ อีกเรื่องหนึ่งของปีนี้ ที่ดูจบแล้วรู้สึกดีใจที่ได้ดู สมแล้วกับที่ต้องดั้นด้นไปดูไกลขนาดนั้น

ปกติเราจะชอบดูหนังที่ UA พระราม 3 เพราะใกล้บ้าน หรือไม่ก็ดูที่ Major Cineplex รัชโยธิน (ใกล้ที่ทำงาน) แต่ก็ไม่ค่อยบ่อยเท่า UA เพราะไม่ชอบที่ที่จอดรถมันน้อย และคนก็ค่อนข้างเยอะ แต่คราวนี้เราต้องไปดู Forrester ถึงที่ EGV ลาดพร้าว รู้สึกว่าต้องใข้ความพยายามมาก ต้องขับรถไปไกล และสถานที่ก็ไม่ค่อยดี ที่จอดรถดูมืดๆ และตัวห้าง (อิมพีเรียล) ก็โทรมๆ ดูไม่ปลอดภัย ถึงปกติเราจะดูหนังคนเดียว แต่ก็จะเลือกที่ที่ดูไม่เปลี่ยว ไม่น่ากลัวมาก แต่ EGV ลาดพร้าวนี่ถ้าเลือกได้ ไม่ไปเด็ดขาด แต่ความที่มันเป็นโรงเดียวที่เหลืออยู่ตอนนี้ ก็เลยต้องไป

ขากลับขับรถกลับบ้าน แล้วก็รู้สึกว่าหลงทาง แถวนั้นมันจะมีถนนตัดใหม่ ที่ข้ามจากลาดพร้าวไปเพชรบุรี สุขุมวิทได้ เราตั้งใจว่าจะให้มาออกถนนเพชรบุรีตรงแถวๆ อโศก แต่ขับไปยังไม่รู้ ทางอะไรไม่คุ้นเอาซะเลย พอมารู้ตัวอีกที่คือไปอยู่ในซอยเอกมัยแล้ว ยังดีที่ดึกแล้ว รถไม่ติด ไม่งั้นคงเซ็งมาก

หลังจากที่เราดูหนังจบแล้ว ทำให้เราชักไม่ค่อยอยากเขียนอะไรซะแล้ว เพราะรู้สึกว่า การเขียนมันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่จังเลย คนที่จะเขียนหนังสือให้เป็นที่ยอมรับต้องมีคุณสมบัติอะไรหลายอย่างที่เราไม่มี ต้องเป็นคนอ่านหนังสือมากๆ มีสุนทรีย์ในการใช้ภาษา มีความสามารถในการจดจำรายละเอียดได้ดี (เด็กผู้ชายในหนัง Quote คำพูดจากนักเขียนดังๆ ได้เป็นว่าเล่น) ส่วนเราน่ะเหรอ แค่บอกให้ได้ว่า หนัง ๕ เรื่องสุดท้ายที่ดูคืออะไร โดยไม่ต้องเปิดสมุดที่จดไวั ยังยากเลย แต่เราว่าเราไม่เป็นนักเขียนดีกว่า เป็นนักบ่นขี้ลืมเจ๋งกว่าตั้งเยอะ บ่นเรื่องโน้นเรื่องนี้แล้วก็ลืมมันไป อิอิ

แต่จะว่าไป เราก็พอจะจำคำพูดจากหนังเรื่องนี้ได้บ้างนะ มีอยู่ตอนนึงที่ Jamal ถาม Forrester ว่าเขาได้เคยออกไปข้างนอกบ้างไหม Forrester ตอบกลับมาว่า "The objective of asking question is to obtain the information that is useful to us" แล้วก็บอกต่อว่า สิ่งที่ Jamal ถามมันไม่ได้จะก่อประโยชน์อะไรให้ตัวเอง เพราะฉนั้นก็ไม่ควรถาม (แต่ที่จริงแล้ว คือ Forrester ไม่อยากตอบมากกว่า เราจำมา เพราะกะว่าจะเอาไว้สวนพวกที่ชอบมาถามโน่นถามนี่ เรื่องที่เราไม่อยากตอบ อิอิ)

อีกตอนนึง คือ ตอนที่ Forrester สอนให้ Jamal จีบผู้หญิงที่เขาชอบ เขาบอก Jamal ว่า "The key to the woman's heart is the unexpected gift at unexpected time" หลังจากได้ฟัง Jamal เลยเอา Avalon Landing ไปให้สาวเป็นของขวัญ แต่ที่พิเศษคือ มีลายเซ็น William Forrester อยู่ที่ด้านใน สาวเจ้าตอบกลับมาว่า "This is.. really unexpected." เจ้าหนุ่มก็ยิ้มแป้นไปเลยสิ

อ่านไดอะรี่ของปิยธิดา (เพื่อน ม. ๑ สตรีวิทย์ -- เราแอบทำ link ไปโดยไม่ได้ขออนุญาตหละ) เขียนถึงความสามารถในการหลงทางแล้วก็นึกถึงตัวเอง เพราะความสามารถในด้านนี้ของเราไม่เป็นรองใครเหมือนกัน โดยเฉพาะพวกซอยลัดๆ ทั้งหลายเนี่ย เข้าเมื่อไหร่เป็นหลง มีอยู่ครั้งนึงเข้าไปซอยอะไรไม่รู้ แถวลาดพร้าว ประมาณว่า ถ้าเลี้ยวถูกเนี่ยมันจะไปออกรัชดาภิเษกได้ เราก็เลี้ยวเข้าไปเลยเชียว พอขับไปถึงทางแยก ก็ใช้ทักษะในการตัดสินใจ (มั่ว) เลี้ยวไปตามที่คิด พอมันชัก ๒-๓ เลี้ยวผ่านไปก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถึง ก็คิดเป็นกังวลใจ แต่พอมองกระจกหลังเห็นมีรถตามมาติดๆ อีกคันนึง ก็เลยคิดว่า เราคงมาถูกทางแล้วหละ ไม่งั้นคงไม่มีเพื่อนมากับเราหรอก ก็เลยขับไปตามทางด้วยความมั่นใจ

แต่พอมาถึงทางแยกอีกอันข้างหน้าแล้ว ถึงได้รู้... เฮ้ย ทางตันนี่หว่า มองไปข้างหลัง รถคันที่ตามมาก็เบรคแล้วทำหน้าล่อกแล่ก ซักพักก็ถอยหลังหาที่กลับรถ เราถึงได้รู้ว่ารถคันนั้นก็หลงทางเหมือนกัน เขาคงคิดว่าเรารู้จักทางเลยขับตามซะประชิดเชียว หารู้ไม่ ไอ้ที่เลี้ยวพรืดๆ อย่างมั่นใจเนี่ย เดาเอาทั้งนั้น แล้วก็เดาผิดด้วย เขาคงนึกด่าเราอยู่เหมือนกันว่า หนอย พามาเจอทางตันซะได้ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ขับตามใครไม่ตาม มาตามเราซะได้