Indians Part II
มาบ่นเรื่องแขกต่อ... เมื่อวานออกมาจากลิฟท์ กลิ่นแขกระงมอีกแล้ว เดินเข้าห้องไป เก๋ถามว่าเป็นอะไรเหรอ เราบอกว่าเหม็นแขก (หน้าตาเราคงแย่พอๆ กับพี่บีทตอนที่ต้องนั่งติดกับแขก) เก๋หัวเราะเยาะเรา ประมาณว่าสมน้ำหน้า พอตอนนั่งดูโทรทัศน์ อยู่ๆ เก๋ก็ถามว่า "นี่ถ้าเราเช่าคอนโดอยู่ แกคงย้ายออกแล้วใช่ไหม" เราก็งงว่าพูดเรื่องอะไร แล้วก็นึกได้ อ๋อ... เรื่องทนแขกไม่ได้ ต้องย้ายออก เราก็เลยหัวเราะแหะๆ แบบว่า อืม.. อาจจะเป็นไปได้เหมือนกัน

เคยมีคนพูดอยู่บ่อยๆ ว่า "คนเราเกลียดอะไร มักจะได้อย่างนั้น" เพื่อนๆ ก็จะชอบมาขู่ๆ ว่าระวังเหอะ เดี๋ยวได้แฟนแขกแน่ๆ เลย เราไม่กลัวหรอก เพราะค่อนข้างแน่ใจในตัวเอง ว่าคงไม่มีแขกที่ไหนสามารถทำให้เราตกหลุมรักได้ขนาดไม่หายใจ (มันไม่ได้เกี่ยวกับหน้าตา เพราะฉะนั้นจะใช้คำว่า ไม่ลืมหูลืมตา ก็จะไม่ค่อยถูกเท่าไหร่) เคยพูดเล่นๆ ว่า ถ้าหากต้องเป็นแฟนแขกจริงๆ แขกคนนั้นต้องเป็นเจ้าของบ่อน้ำมันซัก ๒-๓ บ่อ เราถึงจะยอมลองๆ พิจารณาดู เห็นมะว่าไม่ชอบออกปานนั้น

แต่คำพูดข้างบนมันก็อาจจะมีส่วนจริงอยู่เหมือนกันนะ เพราะว่าขนาดว่าเราประกาศออกปาวๆ ว่า "ไม่ชอบแค้กกก... ไม่ชอบแขกกก..." แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมหน้าตาเราจึงดูเหมือน "รับแขก" ไปได้ (อันนี้แปลตรงๆ เลยนะ แขก แบบอีนี่แขกนะจ๊ะนายจ๋าอ่ะ ไม่ใช้แขกผู้มาเยือน) ประมาณว่าจะชอบมีแขกมาคุยด้วย เฮ้อ... ช่างไม่รู้เสียเลยว่ามันยากลำบากแค่ไหน ในการที่จะคุยไป แล้วก็ควบคุมการหายใจไป โดยไม่ให้คู่สนทนารู้ว่าเรากลั้นหายใจเป็นช่วงๆ ยากนะ ไม่เชื่อลองทำดู

ตอนที่เราเรียนอยู่ที่ Sheffield มีแขกปากีสถานทำท่าจะมาติดใจเรา มาคุยที่แฟลตที่เราพักอยู่บ่อยๆ แถมตอนช่วง Christmas คนอื่นๆ เขากลับไปเยี่ยมบ้านกันหมด เขาก็มาเป็นเพื่อนคุย ยกโทรทัศน์มาให้ยืม ประมาณว่ากลัวเราเหงา เราก็แบบว่าเกรงใจ๊ เกรงใจ แบบว่าไม่อยากบอกเลยว่า เธออย่ามาบ่อยเลยนะ ฉันไม่ชอบแขก แต่โชคดีที่เขาพูดว่า เขาคงหาแฟนเองไม่ได้หรอก เพราะคนแขกน่ะ ส่วนใหญ่ต้องแต่งงานแบบคลุมถุงชน (ภาษาอังกฤษเรียกว่า arranged marriage นะ) เราก็แบบว่า เหรอๆ แต่ในใจคิดว่า มาบอกเราทำไมฟะ แต่ก็ทำให้เราค่อนข้างโล่งใจขึ้น เพราะยังไงเขาไม่ขอเราเป็นแฟนแน่ๆ ฮ่าๆ รอดตัวไปอย่างหวุดหวิด

จากการที่เรามีหน้ารับแขก และมีดวงสมพงษ์กับแขกมาก ทำให้เรามีข้อสังเกตเกี่ยวกับแขกเยอะพอสมควร จะลองไล่ๆ ดูนะ ว่ามีอะไรบ้าง และมีใครเห็นด้วยไม่เห็นด้วย ยังไง

:: ในโลกนี้มีแขกอยู่ ๒ ประเภทเท่านั้น คือ แขกธรรมดา กับ แขกไม่ดี ::
ทำไมเราพูดแบบนี้ ลองนึกดูอย่างพ่อแขกปากีฯ ที่อุสาห์ยกโทรทัศน์มาให้เรายืมไม่จัดว่าเป็น แขกดี หรอกหรือ คำตอบคือ ไม่ เขาเป็นแค่แขกธรรมดา เพราะการทำดีของเขา ไม่ได้เป็นการทำดีโดยธรรมชาติ แต่ทำดีเพราะหวังผล เหมือนผู้ชายทั่วๆ ไปน่ะแหละ เวลาจะจีบสาวๆ น่ะทำตัวดีผิดหูผิดตา เบื้องลึกจริงๆ เป็นยังไงต้องรอดูเวลา เขาปฏิบัติกับคนธรรมดาที่เขาไม่ได้หวังอะไร ส่วนตัวอย่างของแขกไม่ดีน่ะมีเยอะ ที่เคยเจอกับตัวก็อย่างตอนที่มีแขกมาทำงานที่ Office ไม่มีความเกรงใจเลย อยากเอาของของคนอื่นไปใช้ ก็เอาไป ไม่มีการถามหรือขออนุญาต หรืออย่างเพื่อนเรา จะย้ายเมือง ก็ต้องขายสัมภาระบางส่วน ดันไปขายให้แขก ทั้งที่ตกลงกันแล้ว แต่ดันพยายามจะโกง บางคนก็เจอแขกที่เรียนร่วมชั้นด้วยขโมยฉีกหนังสือในห้องสมุด แทนที่จะถ่ายเอกสารไปอ่าน ฯลฯ โอย... สารพัดสาระเพ เล่าไม่หมด

::แขกพูดไม่รู้เรื่อง และพูดมาก::
ตอนที่เราเรียนภาษาอังกฤษ มีการให้เตรียมเรื่องไปพูดหน้าห้อง แล้วก็ให้คนที่ฟังตั้งคำถาม เป็นการฝึกทั้ง Speaking และ Listening ปรากฏว่าทุกครั้งที่แขกไปพูด พวกคนเอเชียอื่นๆ (จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไทย) จะส่ายหัวดิก เพราะฟังไม่รู้เรื่องเลย พูดรัวๆ เร็วๆ ที่เป็นสุดยอดในบรรดาแขก คือ บังกาเทศ โอ้โห... เธอออกไปพูดอยู่ประมาณ ๑๐ นาที แต่ขอโทษเถอะ เราไม่รู้ว่าจะแบ่งคำ แบ่งประโยคตรงไหน แบบว่าพูดรัวติดกันไปหมด แถมเราดันซวย ครูดันเรียกให้ช่วยตั้งคำถามด้วย เราน่ะฟังรู้เรื่องอยู่ประโยคเดียว คือ ชื่อหัวข้อ ก็เลยโมเมถามอะไรที่มาจากชื่อหัวข้อไป เออ...แต่แปลกอยู่อย่างหนึ่งนะ พวกเราที่ว่าฟังกันไม่ออกๆ เนี่ย แต่ทำไมพวกครูๆ (หรือพวกฝรั่งที่เป็นเจ้าของภาษาอังกฤษเอง) เขาเข้าใจได้ก็ไม่รู้นะ สงสัยจะเป็นเพราะภาษาอังกฤษเราอ่อนเกิน

ยังมีอีกนะ ตอนที่ไปเรียนที่ Warwick ก็จะมีเพื่อนร่วมชั้นเป็นแขกอยู่ พวกนี้ก็จะชอบถามครู แบบว่าถามอยู่นั่นหละ เหมือนกับว่า ถ้าถามไปเรื่อยๆ ครูจะให้คะแนนเพิ่มหยั่งงั้นหละ และจะแสดงความคิดเห็นเยอะมาก ความเห็นถูกหรือผิด เข้าประเด็นหรือไม่เข้าก็ไม่สนหละ ขอพูดไว้ก่อน นักเรียนชาติอื่นๆ ก็จะนั่งฟังตาปริบๆ พร้อมตะโกนในใจ "ไม่อยากฟังโว้ย" ครูเขาก็เบื่อๆ เหมือนกันนะ แต่ก็ต้องทน มีคนเคยเล่าว่าเวลา แขกตอบข้อสอบก็จะตอบเยอะมากนะ สงสัยคิดว่า จะคะแนนได้ตามปริมาณน้ำหมึกที่เขียน (แต่ความจริงเรื่องตอบข้อสอบนี่เราก็ตอบเยอะเหมือนกันนะ แบบว่าเป็นคนพูดรวบรัดไม่เป็น จะ detail เยอะมาก)

::แขกชอบเจ๊าะแจ๊ะ/ขี้หลี::
ตอนที่เราไปทำงานที่ Kansas มีอยู่ Project นึง หัวหน้าเราก็บอกว่า เนี่ย เธอไปคุยกะ Project Manager คนนี้นะ เขาจะบอกเองว่าให้ทำอะไร เราก็ไปหาปรากฏว่าเป็นแขก ก็แอบถอนหายใจเบาๆ เฮ้อ... ดวงสมพงษ์อีกแล้ว เราก็คุยเรื่องงานไป แป๊บเดียวก็จบ แต่แทนที่เขาจะให้เรากลับ กลับชวนคุยโน่นคุยนี่ (ดูหัวข้อที่แล้ว... แขกพูดมาก..) เราก็คยด้วยแบบแกนๆ เขาก็บอกว่า เออ... เนี่ย เอาไว้วันไหน เขาจะพาเราไปกินอาหารกลางวันนะ แบบว่าเป็น Hospitality สำหรับคนไกลบ้านอย่างเรา จะได้ไม่เหงา อะไรประมาณนั้น แต่ขอโทษเหอะ ตัวเองน่ะมีภรรยาแล้ว แต่แบบว่าอดพูดคุยเจ๊าะแจ๊ะไม่ได้ เราก็ตอบไปว่า โอเคๆ จะไปเมื่อไหร่ก็บอกมาแล้วกัน แต่คิดต่อในใจว่า จะได้รีบนัดกับคนอื่นให้ไม่ว่าง ความขี้หลีอื่นๆ ก๊มีอีก อย่างเวลาที่มีการคุยกันตามปาร์ตี้ต่างๆ พวกแขกผู้ชายจะชอบรี่เข้าไปคุยกับผู้หญิงเสมอ แล้วก็คุยๆ ไม่หยุด

::แขกชอบนินทาและสอดแนมเรื่องคนอื่น::
อันนี้เพื่อนแขกปากีสถานของเราเป็นคนเล่าให้ฟัง เขาบอกว่า พวกแขกๆ เนี่ยเขาจะมีสังคมเป็นของเขาเอง ก็จะคบกันอยู่แต่ในหมู่แขกด้วยกัน (แถมยังแบ่งเป็นชาติๆ ไปอีกด้วย อย่าง อินเดียไม่ถูกกับปากีสถานเท่าไหร่) โดยเฉพาะพวกคนแก่ๆ ที่ยังหัวโบราณอยู่ จะไม่ค่อยชอบให้ไปคบกับคนอื่นๆ ก็จะมีการแบบว่า คอยแอบดูว่า พวกเด็กๆ รุ่นใหม่ๆ ที่มาเรียนในมหาลัยเนี่ยจะทำตัวนอกลู่นอกทางหรือเปล่า อย่างเป็นต้นว่าแอบไปมีแฟนเป็นคนนอกสังคมแขก? หรือคนที่พ่อแม่ไม่ได้หามาให้ เขามีเครือข่ายการแอบดูเป็นพวกคนขับแทกซี่ ที่อังกฤษคนขับแท๊กซี่ส่วนใหญ่ (๙๙%) เป็นแขก ก็จะขับรถไป แอบ spy คนโน้นคนนี้ไป เพราะพวกนี้เขาไปทั่วทั้งเมือง แล้วก็จะมีการเอาไปนินทาหรือไปฟ้องพ่อแม่ของเด็ก เช่น ว่าลูกชาย (อินเดีย) บ้านนั้นไปดูหนังกับผู้หญิงปากีสถาน หรือลูกสาวบ้านนั้นไปกินข้าวกับผู้ชายฝรั่ง น้ำเน่ามากเลยนะเนี่ย แต่เพื่อนเราก็ยืนยันว่าจริง

::แขกรักธรรมชาติ::
พูดถึงข้อเสียมาเยอะแล้ว พูดถึงเรื่องธรรมดาๆ มั่งดีกว่า (ก็แค่ธรรมดานะ อย่างที่บอก แขกไม่มีเรื่องดี อิอิ) ตอนที่เราไปเที่ยว Yellow Stone กับเพื่อน ก็จะขับรถวน Loop รอบอุทยาน และหยุดชมวิวตามที่ต่างๆ มีที่ให้ดูหลายสิบจุด เป็นน้ำตก เป็น Canyon น้ำพุร้อน โคลนเดือด หรือแม้แต่ทุ่งหญ้า ไม่มีจุดไหนเลยที่ไม่มีขบวนแขกเดินไปมา แทรกอยู่ตามวิวที่เราต้องการจะถ่ายรูป ในขณะที่ก่อนหน้าที่จะมาถึง Yellow Stone เราแวะที่ Mount Rushmore (คือที่ที่เป็นหน้าผาที่แกะสลักเป็นรูปประธานาธิบดีน่ะ) ซึ่งเป็นอีก Landmark นึงทีอยู่บนทางผ่าน แต่ไม่เจอแขกเลยซักคน ก็เลยตั้งข้อสังเกตขึ้นมา (เราจำไม่ได้แล้วว่าใครเป็นคนตั้ง) ว่า "แขกรักธรรมชาติ" พอเราได้สังเกตไปนานๆ ขึ้นก็รู้สึกว่าว่าค่อนข้างเป็นจริง คือ สถานที่ท่องเที่ยวที่ไหนเป็นธรรมชาติ (อย่าง น้ำตก ภูเขา หน้าผา น้ำพุ ฯลฯ) ที่นั่นมีแขก

ตอนเราไป น้ำตก Niagara ก็เหมือนกัน ตรงน้ำตกจะมีเป็นเหมือนสะพานยื่นออกไปให้เดินไปดูวิวได้ ต้องมีการเข้าแถวเพื่อจะขึ้นไป ประมาณว่าในแถวมีแขกสลับกับคนที่ไม่ใช่แขกแบบครึ่งๆ เลย มีทั้งมาเป็นกลุ่มเพื่อน (ส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ว่ากันว่าเป็นพวกที่มาเป็นแรงงานใน Silicon Valley ซึ่งเป็นที่ที่มีแขกชุมชนใหญ่มาก และส่วนใหญ่เป็นชายโสด มีคนแซว+ประชดเราว่า เราน่าจะย้ายไปอยู่ที่นั่น) เป็นครอบครัวลูกเล็กเด็กแดง เยอะไปหมด พอมาเดินตรงส่วนที่เป็น park ก็แขกเต็มไปหมด ทุกทิศทุกทาง จนเพื่อนเราที่ไปด้วย (ซึ่งก็มีความไม่ชอบแขกไม่ได้น้อยไปกว่าเรา เพียงแต่อาจจะไม่ได้แสดงชัดเจนเท่าเรา) ยังตกใจ บ่นๆ ว่ามาจากไหนกันเยอะแยะขนาดนี้

อีกข้อนึงที่จะสนับสนุนว่าแขกรักธรรมชาติก็คือหนังแขก ในหนังจะมีแต่ฉากวิ่งไล่กันตามหุบเขา ทุ่งหญ้า ไม่เห็นมีวิ่งไล่กันตาม ถนน ตึก หรือในห้องครัว อย่างหนังฮอลลีวู้ดเลย ประมาณว่ามันไม่เป็นที่นิยม เหมือนกับที่เขาก็จะไม่ค่อยชอบไปเที่ยวสถานที่ที่ไมใช่ธรรมชาติ อย่างเราไป New York น่ะ ทั้งๆ ที่ออกจะเป็น Landmark ของอเมริกา แต่ไม่เจอแขกเลย สงสัยเป็นพราะเป็นแต่ตึกล้วนๆ ไม่มีธรรมชาติ

คิดว่า เราคงจบเรื่องแขกก่อนดีกว่า ไปเขียนเรื่องอะไรอื่นๆ หนุกๆ บ้างดีกว่า แต่ถ้าหมดมุข (เรื่องอื่นๆ) หรือมีมุขเด็ดๆ (เกี่ยวกับแขก) ก็อาจจะกลับมานินทาให้ฟังอีกก็ได้นะ