Old Car... New Book...

วันนี้ได้ขับรถตัวเองมาทำงานซะที คนที่ยินดีพอๆ กับเรา ก็คือ ยามที่ตึกที่เราทำงาน วันแรกที่รถเราโดนชน เรายังต้องขับมันมาทำงานทั้งๆ ที่ไฟแตกและหน้ารถยุบ ยามที่แจกบัตรจอดรถเห็นรอยที่ชนปุ๊บ ก็ทำหน้าประมาณว่า "อ้าว ไปชนอะไรมาล่ะเนี่ย เมื่อวานยังดีๆ อยู่เลย" แต่เขาก็ไม่ได้ถามหรอกนะ เราก็ยิ้มให้เขา แบบว่าเขินๆ เหมือนกัน ไม่รู้คนอื่นคิดยังไงนะ แต่เราจะอายๆ เวลาขับรถที่มันมีรอยชน คือรู้สึกว่ามันเป็นการแสดงว่าฝีมือการขับรถเราห่วย ถึงได้ชน

ปกติรถเราเป็นรถที่มีสติ๊กเกอร์ คือ รถที่จ่ายค่าจอดเป็นรายเดือน (บริษัทเราไม่ค่อยเขี้ยวมาก พนักงานที่ขับรถมาทำงาน บริษัทจะจ่ายค่าที่จอดรถให้) จะได้รับบัตรแข็ง ถ้าไม่มีสติ๊กเกอร์จะได้บัตรกระดาษ ซึ่งต้องประทับตราบริษัทถึงจะไม่เสียค่าจอด ช่วงที่เราใช้รถของก๊อเล็ก แต่เราไม่ได้ย้ายสติ๊กเกอร์มาติด เพราะยังไงๆ เขาก็จะให้บัตรกระดาษอยู่ดี เพราะทะเบียนรถไม่ตรงกับที่ระบุในสติ๊กเกอร์ แต่ยามเขาก็จะจำเราได้ เขาก็จะเขียนที่บัตรว่า แทนรถคันปกติที่เราขับ แล้วเราก็เอาบัตรนี้ไปให้ฝ่ายอาคารประทับตราให้ ก็จะไม่ต้องเสียค่าจอด (เพราะจ่ายค่าจอดไปก่อนแล้ว) ช่วง ๒ อาทิตย์ที่ผ่านมาทุกเช้าเราก็จะต้องบอกยามว่า แทนทะเบียนรถคันโน้นนะ

เมื่อเช้านี้ พอยามเขาเห็นเราขับรถของตัวเองมา เขาจำได้ เขายิ้มให้เราตั้งแต่รถเราเพิ่งเลี้ยวพ้นมุมตึกมา ตอนที่เราจอดรับบัตรแข็งจากเขา เขาก็ยังไม่หุบยิ้ม คงยินดีกับเราที่รถซ่อมเสร็จเสียที ตัวเขาก็จะได้ไม่ต้องออกบัตรกระดาษให้เราอีกด้วย

เมื่อวานอ่าน "Going Solo" ของ โรอัลด์ ดาห์ล ภาคภาษาไทยจบซะที หลังจากที่โดน Harry Potter เล่ม ๔ มาขัดจังหวะไปช่วงนึง "Going Solo" เป็นเรื่องราวชีวิตของ โรอัลด์ สมัยที่ไปทำงานที่แอฟริกา และเป็นนักบินในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มต่อของ "Boy" ซึ่งเป็นเรื่องราวชีวิตตอนเด็กๆ อ่านสนุกทั้ง ๒ เล่ม เราชื่นชมที่เขาสามารถจำรายละเอียดอะไรๆ ต่างๆ ได้เยอะแยะ และเอามาเขียนเล่าได้อย่างสนุกสนานน่าอ่านน่าติดตามพอๆ กับเรื่องที่เขาแต่งขึ้นมา ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตจริงของคนคนหนึ่งจะมีความตื่นเต้นหลากหลายได้ขนาดนั้น

ตอนนี้หนังสือเล่มใหม่ที่กำลังอ่านคือ Great Expectations ของ Charles Dickens (เราซื้อมาจาก Kinokuya ที่เอ็มโพเรียม เล่มละ 70 บาท ถูกมากๆ เพราะเป็นหนังสือใน Classic Series ที่พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Penguin แต่ความจริงมีให้ download ได้จาก Project Guttenburg ด้วย) เรื่องนี้ถูกเอามาสร้างเป็นหนังด้วย แสดงโดย Ethan Hawke กับ Gwyneth Palthrow เมื่อหลายปีก่อน เราไม่ได้ดูเต็มๆ เรื่องซักที ได้ดูเป็นช่วงๆ จาก HBO มีอยู่ช่วงหนึ่งโทนหนังเป็นสีเขียวๆ และถ่ายภาพได้สวยมาก มีเพื่อนที่เคยดูบอกว่าดูแล้วชอบมาก ก็เลยไปหาหนังสือมาอ่าน ปรากฏว่าชอบหนังสือมากกว่ามากๆ พอเราไปเจอขายถูกขนาดนั้น ก็เลยซื้อมาเก็บไว้ ความจริงตอนแรกอ่านไปได้หน่อยหนึ่งแล้ว แต่รู้สึกว่ามันอ่านยาก อ่านเท่าไหร่ก็ไม่ไปถึงไหนซักที ก็เลยพักไว้ก่อน

ความจริงหนังสือภาษาอังกฤษเนี่ย เราว่ามันจะอ่านยากอยู่แค่ช่วงหนึ่ง คือช่วงต้นๆ เรื่องประมาณไม่กี่สิบหน้าแรกเท่านั้น เราสังเกตจากหนังสือหลายๆ เล่มที่เราอ่านๆ มา จะติดอยู่ช่วงบทแรกๆ นานกว่าปกติ แต่พอผ่าน ๒-๓ บทแรกไปได้ คราวนี้จะวางไม่ค่อยลงแล้ว Great Expectations ที่เรากำลังอ่านนี่ก็ยังอยู่ในช่วง Struggling อยู่ แต่คาดว่าพอจบบทที่กำลังอ่านอยู่นี่ไปแล้วคงเริ่มเข้าไคล (เอ.. ไอ้คำว่า "เข้าไคล" เนี่ยมันย่อมาจาก "ไคลแม็กซ์" หรือเปล่าหนอ ความหมายก็พอไปได้เหมือนกันนะ อืมม...น่าคิดๆ)

พักหลังๆ นี่ (ที่จริงคือหลายๆ ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เราเริ่มทำงาน) เราอ่านหนังสือที่เป็นเรื่องยาวๆ น้อยมาก ส่วนใหญ่จะอ่านพวกบทความตามนิตยสารหรือหนังสือรวมเรื่องสั้นๆ มากกว่า เรารู้สึกว่าเป็นเพราะเราไม่ค่อยมีสมาธิ จะอ่านอะไรที่ยาวกว่าซัก ๑-๒ หน้ากระดาษก็เหมือนจะไม่ประติดประต่อ หลายๆ ครั้งที่เราได้รู้เรื่องอะไรครึ่งๆ กลางๆ เพราะเวลาผ่านไปเราก็ไปอ่านเรื่องใหม่ และลืมเรื่องเก่าที่เราอ่านค้างไว้ ไม่ว่าจะเป็นที่เดี๋ยวนี้ชีวิตมีความเร่งรีบมากกว่าเดิม หรือเราไม่สามารถต้านกระแสของวิถีชีวิตแบบ Cut & Paste ได้ก็ตาม เรารู้สึกว่ามันไม่ดีเลย

เรารู้สึกว่าการอ่านหนังสือพวกวรรณกรรมเรื่องแต่งมันช่วยสร้างสมาธิ (ถ้าสามารถควบคุมให้ตัวเองอ่านจนจบได้) และเป็นส่วนเสริมในการพัฒนาความคิดได้มากกว่าการอ่านพวกบทความที่เรามักจะอ่านอยู่เป็นประจำ เพราะบทความพวกนั้นมักจะเป็นการคัดย่อ สรุปรวมเอาเนื้อหามาให้ มองในแง่มุมนึงมันก็สะดวกรวดเร็วดี เราได้ข้อมูลอะไรหลายๆ อย่างในชั่วแค่อ่าน ๑ บทความ แต่ในขณะเดียวกันเราว่ามันทำให้เราเคยชินกับการรับข้อมูลมากกว่าวิเคราะห์ข้อมูล การอ่านหนังสือเป็นเล่มๆ มันใช้เวลามากกว่า มีส่วนที่เป็นรายละเอียดมากกว่า แต่มันก็ทำให้เราต้องใช้สมองคิดมากกว่า เราก็เลยตั้งใจว่า จะพยายามอ่านหนังสือให้มากขึ้น จะพยายามอ่านให้ได้ตลอดเวลา พอจบเรื่องหนึ่งก็จะต้องหาเรื่องใหม่มาอ่าน เป็นการตั้งกฏให้ตัวเอง ไม่งั้นก็จะเรื่อยเฉื่อย แล้วก็เอาแต่อ้างว่าไม่มีเวลาๆ

::Annotation:: (27 June 2001)
ปิฯ อ่านที่เราเขียนเรื่อง Great Expectations (ทำให้เราได้รู้ด้วยว่า ต้องเป็น Great ExpectationS ไม่ใช่ Great Expectation พลาดไปนิดนึง ^-^) แล้วบอกว่า หนังที่เราพูดถึงเป็น Adaptation จากหนังสือ คือ ทำเป็นเรื่องราวในปัจจุบัน แทนที่จะเป็นในอดีต ความจริงเราก็เหมือนจะรู้แว่วๆ เหมือนกัน แต่ไม่ได้นึกถึง เดี๋ยวอ่านฉบับของจริงจบแล้ว เราจะลองพยายามหาวิดีโอมาดู ต้องใช้คำว่า พยายาม เพราะเราชอบดูหนัง แต่เกลียด การดูวิดีโอ เพราะมันหยุดได้ Rewind, Forward ได้ แต่มีคนเถียงว่า ที่เขาคิดวิดีโอมาก็เพราะต้องการฟังก์ชั่นพวกนั้นนั่นแหละ เราว่าการที่มันทำแบบนั้นได้ ทำให้เราไม่มีสมาธิในการดู เพราะรู้ว่า ถ้าพลาดอะไรไป ก็ยังย้อนกลับมาดูได้ ถ้าให้เลือก เราชอบดูหนังในโรงที่สุด รองมาเป็นการดูในเคเบิลทีวี ส่วนวิดีโอน่ะ ไม่ได้ดูนานมากจนคิดว่าตอนนี้ไม่รู้วิธีเปิดแล้วมั้ง