Headline News

::ข่าวดี::

ข่าวจากวิทยุเมื่อเช้าวาน บอกว่าเด็กนักเรียนจากโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ไปชนะการประกวดดุริยางค์ระดับโลก ได้เหรียญทองถึง ๒ ประเภท คิดว่าเขาไปประกวดกันที่ประเทศสวีเดน แต่ไม่แน่ใจนะเราอาจจะจำผิด ตอนที่เขาพูดเรายังไม่ทันได้ตั้งใจฟัง พอรู้ว่าเป็นเรื่องอะไรเขาก็พูดผ่านไปแล้ว ความที่มันไม่ได้เป็นข่าวพาดหัว เราหมุนไปฟังช่องอื่นก็ไม่เจออีก

ความจริงเรื่องดีๆ สร้างสรรค์ เป็นตัวอย่างที่ดีแบบนี้ น่าจะบังคับให้ลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ แต่มันคงขายไม่ดี มันอาจจะฟังแล้วงี่เง่าไปหน่อย แต่ตอนที่เราได้ยินว่า เด็กนักเรียนไทยร้อยกว่าคน สามารถไปแสดงการแสดงประกอบเพลงดุริยางค์ ความยาวประมาณ ๑๒ นาที แล้วชนะ ได้เหรียญทอง เรารู้สึกดีกับข่าวนี้มาก ประมาณว่ากลืนน้ำลายลำบากเล็กน้อยเพราะความตื้นตันมันเอ่อขึ้นมาในลำคอ รู้สึกประหลาดใจตัวเองเหมือนกันว่า เออ หนอ เราก็เป็นไปได้…


::ข่าวไม่ดี::

ข่าวพาดหัวตัวโตในหนังสือพิมพ์หลายฉบับเมื่อวานนี้ บอกว่า ตำราเรียนภาษาอังกฤษของเด็กประถม ของสำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช มีข้อผิดพลาด ทั้งการสะกดคำ ไวยกรณ์ และการใช้ภาษา โดยมีที่ผิดถึง ๘๐% หนังสือพิมพ์ประชดว่า เด็กไทยซวย ต้องเรียนภาษาอังกฤษผิดๆ ตั้งแต่เด็ก เราได้เห็นตำราที่ว่าบางส่วนจากทางโทรทัศน์ ก็เห็นว่ามันมีข้อผิดพลาดจริงๆ แอนดรู บิกส์ มาว่าให้ฟังเป็นฉากๆ ว่าผิดอะไรบ้าง ไล่ไปทีละหน้าๆ หลายๆ จุดเป็นข้อผิดพลาดที่ชัดเจน และไม่น่าให้อภัย เขาบอกว่า ความจริงทั้งผู้เขียนจะต้องมีตรวจทานตรวจสอบให้ดี และบรรณาธิการมีหน้าที่จะต้องไม่ให้มีข้อผิดพลาด โดยอาจจะเอาไปให้ฝรั่งเจ้าของภาษาได้อ่านและตรวจสอบแก้ไข ซึ่งก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร ฟังแล้วสะท้อนใจ

ต้องสะท้อนหลายๆ ที เพราะมีหลายเรื่องเหลือเกิน เรื่องของความผิดชอบต่อผลงานตัวเอง การทำตำราเรียนไม่ใช่หนังสือพิมพ์รายวัน ไม่ได้พิมพ์ตอนเช้าออกขายตอนบ่าย เขายอมให้มีข้อผิดพลาดมากขนาดนั้นออกไปโดยมีชื่อตัวเองหรือชื่อของสำนักพิมพ์ตัวเองปรากฏอยู่บนหน้าหนังสือได้ยังไง แสดงให้เห็นว่าไม่มีการตรวจสอบทบทวนอะไรเลย

เรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม คนเขียนเขาน่าจะได้คำนึงว่า ตำราพวกนี้จะต้องไปมีผลกับคนเยอะแยะมากมาย (ไม่เหมือนการเขียนไดอะรี่ของเราที่มีคนอ่านแค่ไม่กี่คน เพราะฉะนั้นเราเขียนผิดได้นะ อิๆๆ ) เราไม่รู้ว่าคนเขียนเป็นครูหรือเปล่า แต่ผลงานของเขาจะกลายเป็นครูให้กับเด็กเป็นหมื่นๆ แสนๆ คน ข้อผิดที่เขาปล่อยผ่าน ไม่ได้เป็นแค่การแสดงความสะเพร่า ไม่รับผิดชอบต่อผลงานของเขาอย่างเดียว แต่หมายถึงการทำให้เด็กๆ จำสิ่งๆ ผิดไปใช้

ที่น่าเศร้าอีกอย่างหนึ่ง คือ ทำไมถึงเพิ่งมาตรวจสอบพบเอาตอนนี้ ระบบการตรวจสอบของเราไปไหน กระทรวงศึกษามัวไปทำอะไรอยู่ เท่าที่เราฟังแว่วๆ จากข่าว รู้สึกว่าจะไม่ใช่หน่วยงานราชการที่เป็นคนยกประเด็นความผิดพลาดนี้ขึ้นมาแต่เป็นเอกชน นอกจากนี้ เราว่ามีคนทำงานในด้านการศึกษาน้อยเกินไป ตำรับตำราของเรายังไม่ทันสมัย และกระตุ้นการเรียนรู้เท่าที่ควร เรารู้ว่า ตำรับตำรา สมัยนี้เปลี่ยนแปลงไปเยอะจากตอนที่เราเรียน (อย่าให้บอกว่านานแค่ไหน เพราะ เราจำไม่ได้แล้ว) มันน่าเราหวังว่ามันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ซะแล้ว


::ข่าวเก่า::

อาทิตย์ก่อนโน้นๆ (ก่อนอาทิตย์ที่แล้ว) รายการเจาะใจ เอาเรื่อง ธุรกิจต้มตุ๋นเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (หรือ ที่ได้เรียกว่า FOREX มาเปิดเผย) มีคนโดนหลอก เสียเงินเป็นแสนๆ ล้านๆ มีทั้งคนธรรมดา ไปจนถึงพวกไฮโซ บางคนเป็นถึงลูกหลานอัยการ บางคนเป็นตำรวจก็มี

เราได้ฟังแล้วตกใจมากๆ เพราะ เคยมีคนโทรศัพท์มาชักชวนให้เรา “ลงทุน” ในธุรกิจนี้ด้วย แต่ความที่เราเป็นคนที่ไม่สนใจในการลงทุนอะไรๆ ทำนองนี้ เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นการพนันมากกว่าการลงทุน (อย่างตลาดหลักทรัพย์ของไทยน่ะ เม็ดเงินที่หมุนเวียนที่เป็นการลงทุนจริงๆ นะน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นการเก็งกำไรจากราคาซื้อขายมากกว่า) ก็เลยบอกเขาไปว่าไม่สนใจ เขายังถามอีกว่า มีเพื่อนๆ ที่คิดว่าน่าจะสนใจ จะแนะนำไหม ก็หงุดหงิดเล็กน้อย เลยถามเขาไปว่า แล้วเขาไปได้ชื่อกับเบอร์โทรเรามาได้ยังไง เขาบอกว่า ได้มาจากแผนกการตลาด เราก็เลยตอบไปว่า งั้นคุณก็ไปหารายชื่อจากแผนกการตลาดของคุณแล้วกัน

ตอนนั้นเราคิดแค่ว่ามันเป็นเหมือนการพนัน และมันน่าจะเป็นการลงทุนที่ไม่ค่อยถูกกฏหมาย เหมือนกับการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินในตลาดมืดที่ไม่ผ่านธนาคาร เราไม่ได้คิดเลยว่ามันคือ การต้มตุ๋น ปรากฏว่าพอมาฟังเขาแฉแล้ว ไม่อยากจะเชื่อเลย เขาจะหลอกให้คนเอาเงินมาให้ โดยบอกว่าเป็นการลงทุนโดยดูจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินสกุลต่างๆ เขาจะทำเหมือนกับว่า เอาข้อมูลต่างๆ ของค่าเงินมาวิเคราะห์ แล้วแนะนำให้เราสั่งซื้อขาย แต่ที่จริงแล้วไม่ได้มีการซื้อขายอะไรเลย เรียกว่า หลอกลวง ๑๐๐%

แถมที่ร้ายคือมีการหลอกกันเป็นวงจร คือพวกพนักงานที่มาชักชวนให้เรา “ลงทุน” นั่น ส่วนใหญ่ก็โดนหลอกให้เชื่อว่าตัวเองกำลังทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนทำธุรกิจเหมือนกัน บริษัทพวกนี้เขาจะเปิดรับสมัครงาน มีการฝึกอบรมก่อนเริ่มทำงาน มีการสอนดูข้อมูลตัวเลขเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ สำนักงานก็มีการตกแต่งให้ดูดี มีเครื่องคอมพิวเตอร์ออนไลน์ แสดงกราฟตัวเลขการเปลี่ยนค่าเงิน พนักงานมาทำงานก็คิดว่าตัวเองทำงานจริงๆ โดยจะมีรายได้จากค่า Commission บางคนยังหลงคิดว่า น่าจะเป็นธุรกิจที่จะได้กำไร เลยเอาเงินตัวเองหรือญาติพี่น้องมาลงทุนด้วย แทนที่ทำงานจะได้เงิน ทั้งเสียเงิน ทั้งเสียรู้

เขายังบอกอีกว่า ความที่ตอนนี้เริ่มมีคนรู้ว่า มันเป็นการหลอกลวง เขาก็มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นรูปแบบอื่นๆ ตามแต่จะคิดสร้างสรรค์หาวิธีหลอกลวงกันต่อไป เราก็คิดหวังว่าจะมีการประชาสัมพันธ์ให้มากกว่านี้เวลาที่จับได้ เพราะเราก็เพิ่งตาสว่างเอาก็เมื่อตอนได้ดูรายการเจาะใจนี่เอง เอาแบบว่า ลงข่าวหน้าหนึ่งไปเลย (อีกแล้ว นี่ถ้าเราเป็นคนทำหนังสือพิมพ์ท่าทางจะขายไม่ได้แน่ๆ เพราะมีแต่ข่าว “ไม่ขาย”) แล้วถ้าจะให้แก้กันแบบถอนรากถอนโคน ก็ต้องสอนกันให้ขึ้นใจ ว่าไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ขนาดนั้น ถ้ามีการลงทุนอะไรที่ได้กำไรแน่ๆ เยอะๆ คงไม่มีใครมาบอกให้เรารู้หรอก เขาแอบลงทุนคนเดียว รวยคนเดียวไปแล้ว พอมีใครจะเอาอะไรทำนองนี้มาเสนอจะได้เอะใจ ไม่หลงเชื่อ