Thunder Storm

เมื่อวานนี้ขับรถกลับบ้านที่แม่กลอง ฟังวิทยุเขาบอกว่า ฝนจะน้อยลงแล้ว เพราะ พายุอ่อนที่ออกอาละวาดในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาได้อ่อนกำลังลงบ้างแล้ว แต่พอเราขับรถมาได้อีกแป๊บนึง มองไปข้างหน้า โอ้โห เหมือนใน หนัง Twister (เรื่องที่เขาพยายามตามหาพายุทอร์นาโดน่ะ) บนท้องฟ้ามืดไปซีกนึง มีเมฆดำก้อนใหญ่ๆ ไล่จากบนฟ้าลงมาที่พื้นดิน มองๆ ไปมันจะดูคล้ายกับเป็นควันดำมืดก้อนใหญ่ๆ ที่ลอยจากพื้นดินขึ้นไปปกคลุมท้องฟ้าขาวๆ ข้างบน เพียงแต่กลุ่มดำๆ ที่ว่ามันเป็นเมฆฝน

คิดไปเรื่อยๆ ว่า ดูๆ ไปมันก็สวยดี ไม่ค่อยได้เคยเห็นอะไรแบบนี้ (ธรรมชาติที่มันมหัศจรรย์อย่างนี้นี่เอง) สีดำๆ ของเมฆมันจะไล่ๆ กันเป็นลายเป็นเฉดและมีการเปลี่ยนแปลงด้วย (ที่จริงคือ เม็ดฝนที่โดนลมพัด) แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่า ถ้าต้องเข้าไปใต้ก้อนดำมหึมานั่นคงน่ากลัวไม่ใช่เล่น (ภาพในสมองเป็นรูปรถเรากำลังถูกก้อนดำๆ นั่นดูดขึ้นไป รถหมุนคว้าง) หวังๆ ว่ามันคงเคลื่อนไปทางอื่น เพราะเราเป็นโรคไม่ถูกกับฝน โดยเฉพาะเวลาขับรถ กลัวอุบัติเหตุน่ะ (ไม่โทษตัวเองหรอกนะ โทษฝนดีกว่า)

แต่ในที่สุดก็เลี่ยงไม่ได้ เพราะ ถนนมันก็นำเราเข้าไปในก้อนเมฆดำปี๋นี่จนได้ เราก็ลดความเร็วลงมาเป็นระดับเต่าคลาน เพราะฝนเม็ดใหญ่ๆ กระหน่ำมาที่กระจกหน้า และลมก็พัดแรงจนรู้สึกถึงแรงต้านที่ตัวรถ เราค่อยๆ มองฝ่าสายฝนไปที่ท้ายรถคันหน้า กับมองกระจกหลัง (ฝ่าสายฝนไปอีกเหมือนกัน) ไปที่รถคันข้างหลัง พยายามรักษาระยะห่างให้อยู่ในระดับที่คิดว่าสามารถหยุดได้ทันถ้ามีอะไรฉุกเฉินเกิดขึ้น

พอเริ่มจะชินกับห่าฝนที่ระดมใส่กระจกหน้ารถเรา ก็เริ่มมองออกไปไกลๆ ปรากฏว่าการที่เรามาอยู่ข้างในกลุ่มฝน แล้วมองออกไป ข้างนอกดูสว่างและบรรยากาศไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิด แต่แน่นอนว่าเรายังคงต้องรักษาความเร็วของรถไว้ในระดับเต่าคลานเหมือนเดิม และหวังว่าจะได้ออกจากกลุ่มฝนไปอยู่ตรงที่สว่างๆ ข้างหน้าเสียที พอพ้นจากกลุ่มเมฆฝนมาได้ เราก็ได้กลับมาขับด้วยความเร็วสาวซิ่งเหมือนเดิม พร้อมกับอารมณ์ครึ้มใจ ที่รถดูสะอาดขึ้นมาประมาณ ๒ ขีด จากแรงการชำระล้างระบบความดันแบบกระจัดกระจายจากเม็ดฝน

มานึกๆ ไปก็พายุฝน ก็เหมือนกับมรสุมชีวิตนะ เรามองเห็นพายุที่เกิดขึ้นกับที่อื่นที่อยู่ข้างหน้า เราหวังว่ามันจะเคลื่อนไปไม่เข้ามาแผ้วพานบนถนนของชีวิตเรา บางคนก็โชคดี มีลมช่วยพัดพาพายุออกไปพ้นทางเสียก่อนที่เราจะไปถึง แต่บางทีโชคไม่ดี ก็ต้องเผชิญทั้งลมทั้งฝนไปเต็มๆ คนที่ตกใจตั้งสติไม่ได้ ก็อาจเสียการทรงตัว จนเกิดความเสียหายยับเยินกว่าจะฝ่าพายุออกไปได้ หรือบางคนโชคร้ายก็ฝ่าออกไปไม่ได้ เป็นซากหักพังติดอยู่ในพายุ แต่ถ้าเราสามารถตั้งสติได้ ลองมองไปข้างหน้า ก็จะเห็นว่ามันเป็นไม่ได้มืดมิด พยายามค่อยๆ ประคองตัวเองไปอย่างช้าๆ เราก็จะผ่านความมืดครึ้มออกไปไปพบกับฟ้าที่เปิดสว่าง พบกับความสดใสหลังพายุฝน แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ เพราะอาจมีพายุลูกใหม่ที่รออยู่ที่โค้งถัดไป ชีวิตมันก็แบบนี้ ไม่มีอะไรแน่นอน