Blind Date

ชะตาชีวิตช่วงนี้ของเรานี่มันประหลาดเหลือเกิน เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีคนมา "ดูตัว" เรา (แต่พอเราบ่นให้แม่ฟัง แม่บอกว่า "ไม่ใช่หรอก เขามาให้เราดูตะหาก" เราว่า แม่กลัวเราเสียใจหรือเสียฟอร์มที่มีคนมาดูตัวโดยที่เราไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่ที่จริงที่เรารู้สึกคือ "ประหลาด" มากกว่า) ฮ่าๆๆ แค่คิดก็ขำกลิ้งแล้ว

วันอาทิตย์น่ะเราตื่นซะสายโด่ง ๑๑ โมงเช้า เตี่ยกับแม่ไม่ได้ไปไหน เรากะจะชวนไปกินสุกี้ แต่แม่บอกว่าตอนเย็นจะทำกินเองอยู่แล้ว ก็เลยต้องเปลี่ยนแผน ยังไม่ทันได้ตัดสินใจว่าจะไปกินกลางวันที่ไหน ก็พอดีพี่ทิพย์โทรมาชวนให้ไปกินข้าวด้วยกันที่ร้านนายแกละ

พี่ทิพย์ เคยทำงานที่บ้านเรามาก่อน ทำงานเก่งมากๆ ทำบัญชี ออกใบส่งของ ใบกำกับ ทำภาษี ทำสต็อค เรียกว่า เหมาคนเดียวหมดทุกอย่าง ตอนหลังเขาลาออกไปทำงานของตัวเอง เตี่ยกับแม่เสียดายไม่อยากให้เขาออก แต่ก็ต้องยอม เพราะเขาไปดี พี่ทิพย์กับสามี (พี่นัย) ไปทำกิจการซื้อขายปลาและของทะเล กิจการก็ดีมาก เขามีเงินปลูกบ้านใหม่ และซื้อรถ แต่เมื่อประมาณเกือบปีนึงที่แล้ว พี่นัยถูกยิง คิดว่าเป็นคงเป็นการขัดผลประโยชน์กัน พวกเราคิดว่าพี่ทิพย์รู้ว่าใครเป็นคนทำ และมีอะไรเป็นสาเหตุ แต่เมื่อเขาไม่ได้เล่าให้ฟัง เราก็ไม่ได้ถาม ก็ได้แต่ให้กำลังใจและช่วยเท่าที่ช่วยได้

พอแม่บอกว่า พี่ทิพย์ชวนไปกินข้าว เราก็ถามว่ามีอะไรหรือเปล่า แม่บอกว่าไม่รู้เหมือนกัน แต่เราก็นึกว่าดีเหมือนกัน เพราะอยากรู้ว่า เขากับพี่นัยเป็นยังไงบ้าง ไม่ได้เอะใจอะไร ไปก็ไป พอเราไปที่ร้านนายแกละ ปรากฏว่าพี่ทิพย์ยังมาไม่ถึง แต่เจอคนที่เตี่ยกับแม่รู้จักก็เลยทักเขา (รู้ตอนหลังว่าเป็นเจ้าของร้านทองอะไรซักอย่างที่แม่กลอง ประมาณว่าเราต้องเรียกเขาว่า "อาซิ่ม" มั๊ง) เขามากับอีก ๓ คน พอเราเข้าไป เขาก็กุลีกุจอมานั่งโต๊ะเดียวกับเรา เราก็งงๆ ว่า เอ… ยังไงกันเนี่ย แต่เห็นเตี่ยกับแม่เฉยๆ เราก็เลยไม่ได้ว่าอะไร

ปรากฏว่า ๓ คนที่มาด้วยกันกับอาซิ่มเป็นน้องสาว (เราก็ต้องเรียกว่า อาซิ่ม เหมือนกันมั๊ง) น้องเขย (เราต้องเรียกว่า อาเจ่ก) และหลานชาย (ลูกชายของอาซิ่มกับอาเจ่ก) เขาบอกว่า เดี๋ยวน้องจะตามมา เราก็งงๆ คิดในใจว่าน้องไหนฟะ ก็นั่งคุยกันอยู่พักนึงจนอาหารมาแล้ว พี่ทิพย์ถึงจะมา เราก็เลยโล่งใจว่า อ๋อ นัดไม่ผิด ไม่ได้หลงมานั่งผิดโต๊ะ อาซิ่มเขาเรียกพี่ทิพย์ว่า น้อง น่ะ

ก็คุยๆ กันสัพเพเหระ เรื่องโน้น เรื่องนี้ เราก็รู้สึกแหม่งๆ เพราะพี่ทิพย์ชวนเรามากินข้าวทั้งที แต่มาช้า แถมพอชวนกินอาหาร ก็บอกว่า กินกันเถอะ เพราะก่อนออกจากบ้านเขากินข้าวมาแล้ว เราก็งงๆ ว่า เอ… แปลก ก็เขาเป็นคนชวนมากินนี่นา ส่วนอาซิ่มก็ถามเราว่าทำงานที่ไหน พักที่ไหน แล้วอาซิ่มคนน้องก็เล่าว่าเขาอยู่ที่กรุงเทพฯ ทำพวกตัดเย็บเสื้อผ้า ลูกชายคนที่มาด้วยเป็นคนคุม มีร้านอยู่แถวเยาราช มีลูกชายอีกคนนึงเป็นน้อง แต่งงานไปแล้ว และเรียนอยู่ที่อเมริกา ส่วนคนที่มาด้วยกันนี่ยังไม่ได้แต่งงาน แล้วก็มีการพูดว่า อาซิ่มน่าจะชวนเตี่ยกับแม่เราไปเที่ยวบ้านเขาที่กรุงเทพฯ เราก็เริ่มปิ๊งขึ้นมาทันที โอ๊ะ…โอ… การกินอาหารมื้อนี้มันไม่ธรรมดาซะแล้ว

เราเคยมีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับ "ธุรกิจการดูตัว" นี่มาพอสมควร คือ ไปเป็นเพื่อนก๊อเล็ก พี่ชายเราน่ะ ประมาณว่า ก่อนที่เขาจะแต่งงานเขาก็ไปดูตัวผู้หญิงมาพอสมควรเหมือนกัน แล้วก็มักจะชอบชวนเรากับเก๋ไปด้วย นัยว่าทางผู้หญิงจะได้ไม่เขินมาก เพราะมีเด็กๆ ผู้หญิงไปด้วย จะได้ชวนคุย พอกลับมาแล้วก๊อก็จะกลับมาถามเรา ประมาณว่าให้ช่วยให้คะแนน แต่ที่จริงก๊อก็ไม่ได้เชื่อพวกเราเท่าไหร่หรอก เขาก็ชอบคนที่เขาชอบน่ะแหละ

พอเราได้คิดว่า อ๋อ… นี่มันเป็นการดูตัว เราก็ขำๆ ไม่ได้ซีเรียสอะไร แต่ก็ตกใจหน่อยๆ ว่า นี่ เรายังไม่เคยได้คิดไปไกลกว่า การใช้ชีวิตไปวันๆ เป็นเด็กๆ ที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร แต่คนพวกนี้เขาคงมองว่าเราถึงวัยที่จะมีครอบครัว (หรือไม่ก็จะต้องขึ้นคาน) แล้ว เราจะซีเรียสก็ตรงที่ว่า "เฮ้ย เราแก่ขนาดนี้แล้วเหรอ" แถมทางอาซิ่มกับอาเจ่กเขาพูดไปถึง ว่าอยากจะอุ้มหลานไวๆ เราได้ยินแล้วก็รู้สึกเหมือนหลุดโลก แบบว่า จะอยากอะไรก็อยากไป ไม่เกี่ยวกับเรานะเออ แต่เราก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นที่ผิดประหลาดนะ แบบว่าทำตัวเหมือน มากินข้าวกับเพื่อนเตี่ยกับแม่ ก็กินๆ ไป แล้วก็ฟังๆ เขาคุยๆ ไป

พอกินข้าวกันเสร็จ เขาก็ชวนเตี่ย แม่ (และเรา) ไปบ้านพี่ทิพย์ เราก็เต็มใจไป ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร ก็อย่างที่บอกตอนแรกว่า อยากจะไปรู้ว่า พี่นัยเขาเป็นยังไงบ้าง ส่วนเตี่ยก็บอกว่า ดีเหมือนกัน เพราะ ตั้งแต่ที่พี่ทิพย์ทำบ้านใหม่ก็ยังไม่เคยไปดูเลย พี่นัยเขาอาการดีขึ้นเยอะจากตอนที่เราเห็นสมัยที่เขาเพิ่งถูกยิง นับว่าทั้งพี่ทิพย์และพี่นัยมีกำลังใจดีมากๆ จากที่พี่นัยต้องโดนยึดด้วยเหล็กไม่รู้กี่จุด มีสายน้ำเกลือสายอะไรต่ออะไรระโยงระยาง พูดก็ไม่ได้ขยับตัวไม่ได้ จนตอนนี้พูดได้ ยกแขนได้แล้ว คิดว่าอีกไม่นานคงจะลุกนั่งได้

เราอยู่ที่บ้านพี่ทิพย์ได้ซักพักนึงก็กลับ ได้ส้มโอกลับติดรถมาเข่งหนึ่ง (พี่ทิพย์เขาชอบเอาส้มโอมาให้บ้านเราบ่อยๆ เราก็ชอบกิน) ความจริงแม่เคยเล่าให้เราฟังว่าสมัยก่อน คนจีนเนี่ย ถ้ามีผู้ชายมาดูตัว เขาจะต้องให้เงินผู้หญิงด้วยนะ แต่สมัยนี้เขาไม่ให้กันแล้ว มันคงดูประหลาดๆ น่ะนะ เหมือนการหาเงินยังไงไม่รู้ เออ... ความจริงเราลืมไป น่าจะแกล้งแซวแม่ว่า ดูสิ มีคนมาดูตัวลูกสาวแม่ แล้วเขา ไม่ได้ให้เงิน แต่ให้เป็นส้มโอแทน ส้มนี่มันจะต้องอร่อยมากกก.. เลยนะเนี่ย (อิอิ)

เรากะว่าจะถามแม่ว่า เนี่ยแม่รู้มาก่อนล่วงหน้าหรือเปล่า แต่ก็ไม่ได้ถาม คิดในใจว่า ดูซิ แม่จะมาพูดอะไรกับเราหรือเปล่า ปรากฏว่า พอตอนเย็น แม่มาถามเราว่า ที่ไปกินข้าววันนี้เนี่ยรู้อะไรบ้างไหม เราก็บอกว่า "รู้สิ ตอนแรกก็งงๆ อยู่เหมือนกัน แล้วแม่รู้หรือเปล่า" แม่บอกว่า ตอนก่อนไปแม่ไม่รู้ เขาเพิ่งมาบอกแม่ทีหลัง เขาบอกว่า พ่อหนุ่มคนที่มาเนี่ย เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน พ่อแม่เขาเป็นคนจัดการ แม่บอกว่า เขาจะขอเบอร์โทรศัพท์เรา เราบอกแม่ว่า บอกเขาไปเหอะว่าอย่ามายุ่งกับเราเลย

ตอนหลังเรามาเราก็แกล้งๆ บ่นต่อหน้าเตี่ยกับแม่ว่า แหม… กลัวลูกสาวขายไม่ออกหรือไง เขาบอกว่า ไม่เห็นกลัวเลย มีเงินซะอย่าง อยู่คนเดียวยิ่งใช้สบายใหญ่เลย ไม่ต้องแบ่งใคร เฮ้อ… ขอให้พูดจริงเถอะนะแม่ เพราะ ท่าทางลูกสาวแม่คงต้องทำงานหาเงินคนเดียว ใช้เงินคนเดียวไปตลอดแน่ๆ เลย