The Jo-- Movies

พูดเรื่องฟุตบอลเครียดๆ ไปแล้ว มาพูดเรื่องฟุตบอลไม่เครียดดีกว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่แมนฯยูฯเขาแข่งน่ะ เราไม่ได้ดูเขาเล่นหรอกนะ แต่เราไปดูหนังของโจซิงฉือ เรื่อง นักเตะเสี้ยวลิ้มยี่ (Shaolin Soccer) มา สนุกดีนะ ฮาแบบไม่ต้องคิดดี ดูแล้วหายเครียดจากกาสอบไปเลย ตอนนี้พี่โจ (รู้สึกว่า ชื่อฝรั่งแกจะชื่อว่า Stepen Chow) เล่นเป็นศิษย์เส้าหลินตกยาก ต้องเก็บขยะขาย บังเอิญมาเจอกับอดีตนักฟุตบอลที่ตกอับ เพราะดันพลาดไปรับเงินพวกนักพนันให้ล้มบอล เลยถูกรุมตีจนขาหักเป๋หมดอนาคต

อีตาอดีตนักบอลเนี่ยมาฟอร์มทีมฟุตบอลเป็นโค้ชให้พี่โจ และพี่ๆน้องๆ ศิษย์เก่าเส้าหลินอีก ๕ คน ก็มีการเอาวิชาต่างๆ ที่เรียนจากเส้าหลินมาประยุกต์ใช้กับเกมฟุตบอล (วิชาตัวเบา วิชาหัวเหล็ก ฯลฯ) ก็ตะลุยเล่นตั้งแต่รอบแรกๆ ไม่มีคนดูเลย ไปจนคนดูแน่นสนาม แล้วก็เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้ พล็อตเรื่องมีแค่นี้แหละ ก็หนังของพี่โจนี่นะ ก็รู้ๆกันอยู่จะเอาสาระอะไร เอาฮาลูกเดียว มุขตลกไร้สาระ เวอร์สุดๆ มีล้อมุขหนังเรื่องอื่นๆ บ้างประปราย เราเป็นแฟนพี่โจมาตั้งแต่สมัยตอนเรียนลาดกระบัง เพราะเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ชมรมบริดจ์พาไปดูสมัยที่พี่โจแกยังเล่นเป็นเซียนไพ่ เซียนพนันอยู่ (มันส์สุดยอด เพราะกลโกงไพ่เหลือกินจริงๆ) หลังจากนั้นพอมีเรื่องอื่นๆ ออกมาเราก็ไปดูอยู่เรื่อยๆ เป็นหนังที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก เข้าไปแล้วก็เตรียมหัวเราะอย่างเดียว

ตอนนี้สอบมิดเทอมเสร็จแล้ว มีเวลาได้หายใจเลยไปไล่ดูหนังที่ยังไม่ได้ดู นอกจากหนังของพี่โจที่ดูไปแล้ว ก็มีหนังของน้องโจ (Angelina Jolie เรื่อง Tomb Raider) ที่ปิยธิดาบอกว่าถ้ามีเรื่องอื่นให้เลือก ก็ไปดูเรื่องอื่นดีกว่า เราก็รีๆ รอๆ อยู่ เท่าที่ถามหนุ่มๆ ก็เห็นพูดกันว่า ไปดูความเซ็กซี่ของน้องโจก็พอไหว (ตอนนี้มีคนแนะว่าให้เรียกน้องแกว่า A.Jo ดีกว่า เพราะตอนนี้ฮ็อทกว่าน้อง J.Lo หรือ The artist fomerly known as Jennifer Lopez เสียอีก) แต่อยากไปดูฉากนครวัดนครธม

พอไปดูเข้าจริงๆ ปรากฏว่า สมน้ำหน้าตัวเองที่ปิเตือนแล้วดันไม่เชื่อ หนังทำออกมาไม่มีการให้ได้ลุ้นตื่นเต้นเลย ความรู้สึกเหมือนกับเล่นเกมยังไงยังนั้น คือ น้องโจ อ้อ… ต้องเลดี้ครอฟท์ สินะ… เธอหลุดออกจากโลกของความเป็นจริงไปเลย สู้เก่งเหลือเกิน ไม่มีเจ็บไม่มีปวด ให้อารมณ์แบบว่าถึงน้องจะทำอะไรพลาดก็คงไม่เป็นไร คงจะมีตัวหนังสือขึ้นว่า Game Over!! แล้วก็เริ่มเล่นเกมใหม่ แถมอะไรๆ ก็รู้ไปหมด แค่มี Clue ทิ้งไว้จิ๊ดเดียว น้องแก้ปริศนาแสนลี้ลับได้หมด เราว่าสงสัยมีคนทำ Crack ไว้ให้หมดแล้ว ว่าต้องทำยังไงๆ ถึงจะผ่านด่านไปได้ เพราะในเนื้อเรื่องมันไม่มีอะไรนำไว้ก่อนเลย ว่าจะไปทางไหนยังไง สรุปว่า Stroryline อ่อนมาก มุขตลกก็ไม่มีให้ได้ฮาเลย (อาจมีคนเถียงว่า มีมุขตลกด้วยเหรอ เราก็ขอตอบว่า… ไม่มีหรอก เฮ้อ)

ฉากนครวัดนครธมที่ตั้งใจจะไปดูก็โดนยำซะยับเยิน มาถึงก็ดึงปราสาทบายนของเขาพังครืนลงมา แล้วก็เอาเรือไปพายกันให้แน่นครืดอยู่ในสระบัวหน้าปราสาทนครวัด ก็ให้สงสัยว่าพายมาจากไหน และจะพายไปไหนกัน เพราะตอนที่เราไปเขมร เราจำได้ว่าสระน้ำเนี่ยมันเป็นสระปิดนะ ไม่ได้มีทางออกไปไหน (ก็มันคือสระน้ำนี่นะ ไม่ใช่คลองดำเนินสะดวก) ทำซะอย่างกับว่าต่อมาจากน้ำตกที่น้องลาร่าโผบินลงมา ก็แหวกว่ายมาที่สระนี้ได้เลย

ใน Time ด่าหนังเรื่องนี้ยับเลยนะ แต่ก็บอกว่าตราบใดที่ยังมีหนุ่มๆ อีกมากที่อยากไปดูผู้หญิงสาวๆ shower (อาบน้ำจากฝักบัว) กับดูการยิงกันสนั่นเมืองระเบิดกันถล่มทลาย คงจะมีคนทำหนังแบบนี้ออกมาอีกเรื่อยๆ เขาพูดถึงฉาก shower นี่อยู่สองสามครั้ง จนเราสงสัยว่า เอ... จะ shower อะไร sexy ขนาดไหนเหรอ ปรากฏว่าหนุ่มไทยไม่ได้โชคดีเท่าหนุ่มอเมริกัน (หรือประเทศอื่นๆ ที่เขาเจริญแล้ว และไม่มีการเซ็นเซอร์หนัง แต่ใช้วิธีแบ่งอายุคนดูหนังแทน) เพราะเท่าที่เห็นเราไม่เห็นว่าจะมีอะไรให้ Time ต้องพูดถึง ก็เป็นอันเดาได้ว่าโดนกบว.ตัดออกไปหมดแล้ว ซึ่งเราว่าก็ดีเหมือนกัน ขนาดนี้ก็รู้สึกว่ามันจงใจเกินไปแล้วหละ

ว่าถึงตรงนี้แล้ว เรารู้สึกว่า บางทีอาจจะเป็นความผิดของเราเองที่หลงเข้าไปดู เพราะเขาทำหนังออกมาเอาใจพวกผู้ชาย เราดูไปก็รู้สึกว่า ตั้งใจจะโชว์แต่ความบึ้มของนางเอกตลอดเวลาเสียจนดูขัดตา แต่พวกผู้ชายคงดูไปด้วยความเพลินใจ ขอให้ sexy เยอะๆ เข้าไว้ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง!!

เดือนสิงหานี้มีหนังใหม่ให้เลือกดูอีกหลายเรื่อง อาทิตย์นี้ Final Fantasy กับ Moulin Rouge จะเข้า น่าดูทั้ง ๒ เรื่อง อ้อ มี Planet of Apes ด้วย แต่เรื่องนี้นี่กำลังชั่งใจอยู่ระหว่างความเกลียดลิง กับความชอบ Tim Burton ยังไม่รู้ว่าฝ่ายไหนจะชนะ คาดว่าฝ่ายหลังมีภาษีดีกว่า เพราะได้แรงส่งจากความบ้าดูหนังประเภทไม่อยากพลาดสักเรื่องเข้าไปด้วย

พอตอนกลางๆ ค่อนไปทางปลายเดือนจะมีหนังไทยฟอร์มใหญ่เข้าฉาย เรื่อง ศรีสุริโยไท ที่ตอนนี้กำลังตีกันอยู่ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องไม่จริง บิดเบือนประวัติศาสตร์ กระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือปล่า เขาจะเถียงอะไรก็เถียงกันไป แต่เราตั้งใจว่าจะไปดู เอาความบันเทิง เห็นหนังตัวอย่างก็รู้สึกว่า ไปดูแค่ Production อย่างเดียวก็คุ้มค่าตั๋วแล้ว

เรารู้สึกว่า บางทีคนเราก็จะไปเอาสาระความเป็นจริงจากศิลปะมากเกินไป หนังมันคือหนัง เป็นแค่ภาพที่สะท้อนความคิดของคนทำหนังออกมา มันไม่ใช่ตำรา ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ (ขนาดประวัติศาสตร์ยังบิดเบือนไปตามใจคนแต่ละชาติได้) ไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องดู แต่ไม่ใช่ปิดกั้นไม่ให้คนอื่นเขามีโอกาสคิดเห็นให้แตกต่าง แต่ก็ดูเหมือนจะแยกแยะกันไม่ค่อยได้

อย่างตอนโน้นเราต้องอดดู The King And I ฉบับใหม่ที่แสดงโดยพี่โจ(เหวินฟะ) กับน้องโจ(ดี้ ฟอสเตอร์) เพราะทางราชการเขาคิดว่าหนัง คือ ประวัติศาสตร์ คือเรื่องจริง ถ้าเขายอมให้หนังเข้ามาฉาย หมายถึงการยอมรับว่าสิ่งที่อยู่ในหนังเป็นเรื่องจริง แต่ถ้าเขาไม่ยอมให้เข้ามาฉาย คือการปฏิเสธไม่ยอมรับ แต่เราว่ามัน คือ การปิดหูปิดตาตัวเอง ปฏิเสธความคิดเสรี ปิดกั้นโอกาส ในประเทศไทยฉายไม่ได้ (แต่มี CD เถื่อนระบาดตรึม) และคนอื่นๆ เขาได้ดูกันทั่วโลก อย่างนี้คิดว่าฉลาดแล้วอย่างนั้นหรือ??