Shaking... Chicken...
เห็นเพื่อนๆ เล่าเรื่องสั่นๆ อ่านไปขำไป อะแฮ่ม.. เราก็มีเหมือนกัน อาจไม่ขำเท่า แต่ก็ขอเล่า แบบว่าอยากจะมีส่วนร่วมมั่ง คือ เราเคยโดนประตูหนีบ เอ๊ะ.. ไม่ใช่สิ ทำประตูหนีบมือตัวเองตะหาก เมื่อซัก ๓-๔ ปี ที่แล้ว ก็เป็นประตูห้องนอนเราเองน่ะแหละ มันมีสวิตช์ไฟอยู่ด้านที่ติดกับบานพับ พอดีเราจะออกจากห้อง ก็เอื้อมมือซ้ายไปปิดไฟ พร้อมๆ กับที่มือขวาดึงประตูปิดเข้าหาตัว

ถ้าเป็นปกติก็คงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เวลาเคราะห์หามยามซวยอะไรก็เป็นไปได้ เราก็ดันเอานิ้วโป้งเสียบเข้าไปในช่องระหว่างประตูกับขอบประตูได้ไงไม่รู้ พอดึงประตูปิดเข้ามา มันก็เลยหนีบนิ้วโป้งเราเข้าไปแพร่ดอยู่ในซอกพานพับ เรามารู้ตัวอีกทีคือมาอยู่ข้างล่างแล้ว (ไม่รู้ว่าวิ่งผ่านบันไดสิบกว่าขั้นมาได้ยังไง) มาสะบัดมือเร่าๆ กระโดดก็องกอยอยู่ตรงหน้าเตี่ย ร้องโวยวายว่า "โอ๊ย!! โอ๊ย!! โอ๊ย!! เจ็บชิบเป๋งเลยยย ประตูหนีบมือออ ฮืออ ฮืออ ฮืออ" เตี่ยถามหน้าตาเฉยๆ ว่า "แล้วไปให้มันหนีบทำไมล่ะ ทำไมไม่ดึงมือออกเล่า โง่จริง" อ๊ากกก… เจ็บเบิ้ลเป็น ๒ เท่าเลย อุตส่าห์จะหาคนเห็นใจ กลับโดนว่า ว่าเราโง่เอง

พอสะกัดกลั้นความเจ็บได้ ก็เอานิ้วมาดู ยังดีที่เล็บไม่หลุดเพราะตรงที่โดนหนีบเป็นโคนเล็บพอดี แต่เห็นกับตาเลยว่า เลือดมันไหลอยู่ใต้เล็บ ตอนแรกจะเป็นสีแดงๆ อยู่ตรงโคนเล็บแล้ว ก็กระจายออกมาทางปลายเล็บเรื่อยๆ จนเกือบครึ่งหนึ่งของเล็บ แล้วก็ปวดตุบๆ ตามจังหวะของชีพจร เราก็คิดลังเลอยู่ว่าจะไปหาหมอดีหรือเปล่า แต่ในที่สุดก็ไม่ได้ไป แค่ประตูหนีบห้อเลือดแค่นี้เอง เรื่องเด็กๆ เราทนได้อยู่แล้ว…

ช่วงวันสองวันแรกนิ้วโป้งเราบวมตุ่ย แต่พอผ่านไปก็ค่อยๆ ยุบลง ประกอบกับเล็บก็ยาวขึ้นมาเรื่อยๆ จนตรงที่โดนประตูหนีบจริงๆ มันงอกออกมา ปรากฏว่าเล็บหักเป็นร่องลงไป แล้วก็มีเลือดแข็งกรังอยู่ข้างใต้ ในที่สุดอาทิตย์กว่าๆ ผ่านไป เราเห็นท่าไม่ดี เลยตัดสินใจไปหาหมอ โดนหมอเอ็ดซ้ำอีกว่า "ทำไมไม่มาหาหมอตั้งแต่ตอนที่โดนหนีบใหม่ๆ มาตอนเนี้ยเล็บเสียหมด เนี่ยเลือดมันเข้าไปคั่งจนเล็บหวำหมดแล้วเนี่ย" โดนเอ็ดไปแต่ก็ได้ศัพท์ใหม่ไปด้วย เล็บหวำ หมายถึงว่า เล็บมันจะบุ๋มลงไปในนิ้ว ไง หมอสรุปว่า ต้องถอดเล็บ เพราะปล่อยไว้แบบนี้มันจะหายช้า และเล็บที่งอกออกมาใหม่ก็จะน่าเกลียด

การถอดเล็บ ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว (ถ้าเราไม่ต้องดูเขาทำ) ก็แค่ฉีดยาชา แล้วหมอก็จะเอามีดมากรีดๆๆๆ เข้าไปในนิ้ว เพื่อเลาะเอาเล็บออกมา ตอนแรกพยาบาลเขาจะเอามือเราไปวางไว้บนตะแกรงโลหะเย็นๆ ทำความสะอาดนิ้วเราด้วยอัลกอฮอล์ แล้วก็ฉีดยาชาไปเข็มหนึ่ง พอกะว่าชาได้ที่แล้ว หมอก็จะเริ่มลงมือปฏิบัติการ แต่เรารู้สึกว่ามันยังไม่ชา ก็เลยมือสั่นๆ แล้วก็เริ่มโวยวาย หมอก็เลยต้องหยุด แล้วให้พยาบาลฉีดยาเพิ่มอีกเข็ม พอหมอเริ่มลงมือรอบใหม่ เราก็ยังคิดอยู่ดีว่ามันยังไม่ชา แต่หมอก็ไม่ให้โอกาสเราอีกแล้ว รีบลงมือทำอะไรกรุ๊กกริ๊กอยู่แป๊บนึง (เราไม่กล้าดูอีกตามเคย) แล้วก็บอกว่า เสร็จแล้ว ให้พยาบาลปิดแผล และให้เรามาล้างแผลทุกวัน และห้ามโดนน้ำจนกว่าแผลจะแห้ง

เราก็ไปให้พยาบาลล้างแผลอยู่เกือบอาทิตย์ โดยไม่กล้าดูว่าแผลที่เล็บเราเป็นยังไง ได้รู้จากแต่ที่หมอบอก (อ้าว แผลแห้งดีนะ ไม่มีอาการอักเสบอะไร อย่าให้โดนน้ำล่ะ จะได้หายไวๆ) แต่ในที่สุดเราก็ทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ วันนึงเราก็เลยแอบเหลือบตาดูตอนที่พยาบาลเพิ่งล้างแผลเสร็จ และจะเดินไปหยิบผ้าก็อซมาปิดแผล มานึกตอนนี้แล้วมันก็ไม่มีอะไร แต่เห็นตอนนั้นมันตกใจ เพราะนิ้วโป้งไม่มีเล็บ เป็นแผลสีชมพูๆ ดูแล้วน่ากลัวจัง เป็นลมดีกว่า เฮ้อ.. พอพยาบาลกลับมาปิดนิ้วให้เราแล้วก็บอกว่าเสร็จแล้วค่ะ แต่เราไม่ยอมลุกขึ้น ก็นอนหน้ามืดตื๋ออยู่นะซี พยาบาลเขาก็งงๆ ว่าเป็นลมได้ไงฟะ แค่ล้างแผลเนี่ยนะ แต่ก็ไม่ว่าอะไร เอาแอมโมเนียมาให้เราดม แล้วก็บอกว่านอนพักก่อนได้ค่ะ เราก็พักอยู่แป๊บนึง แล้วก็รีบลุกขึ้น เพราะว่าอายที่เห็นแผลแค่นี้แล้วเป็นลม

จากเหตุการณ์นี้สรุปได้ ๒ อย่าง อย่างแรก โชคดีแล้วที่เราไม่ได้เลือกเรียนหมอ (ลองนึกภาพหมอกำลังเย็บแผลให้คนไข้อยู่ดีๆ แล้วก็หน้ามืดล้มตึงไปสิ แย่แน่เลย) อย่างที่สอง Curiosity, not only kills the cat, but also makes me faint. :-)