Mother Day's Weekend
วันแม่ผ่านไปแล้ว ไม่ได้ทำอะไรให้แม่เป็นพิเศษ เพราะแม่ไม่อยู่ หนีไปเที่ยวเมืองจีนกับเตี่ยอีกแล้ว แถมก่อนไปกำชับกับเราบอกว่า หยุดหลายวันอย่าลืมกลับไปเฝ้าบ้านนะ เฮ้อ…

ความจริงแม่ไม่อยู่บ้านตอนวันแม่ก็ดีเหมือนกัน ทำให้เราไม่เครียดมาก เพราะไม่รู้จะให้อะไร หรือทำอะไรให้เป็นพิเศษ เก๋ยังบ่นเลยว่า กระแสวันแม่ปีนี้แรงจริงๆ จากปกติที่วันแม่เป็นแค่วันหยุดธรรมดา สื่อมวลชนประโคมให้ความสำคัญเสียจน แม่ทำท่าจะเรียกร้องเอากับลูกอย่างเราว่าต้องทำดีกับแม่ แหม… ที่จริงต้องทำดีทุกวันตะหาก แต่ถ้าในแง่นี้ เราก็เป็นลูกที่แย่เต็มที เพราะไม่ค่อยจะอะไรกับแม่เท่าไหร่ จะกลับบ้านเมื่อไหร่ก็ไม่บอก ไม่ค่อยโทร.ไปคุย ต้องให้แม่โทร.มาตามอยู่เรื่อย (ก็แบบว่าขี้เกียจนี่นา) แถมกลับบ้านไป ก็ให้แม่ทำอะไรๆ ให้อีกตะหาก ก็แม่จะมีความสุขที่ได้ทำอะไรๆ ให้ลูกนี่นา อิอิ :-)

วันเสาร์ ไปดู Planet of Apes ที่เอ็มโพเรียม หนังก็งั้นๆ นะ เราว่า อีตา Mark Wahlberg แกไม่ค่อย Cool เท่าไหร่ แต่ไอเดียของหนังน่าสนใจ พร้อมๆ ไปกับน่าเศร้า นึกดูสิว่า ลิงสามารถจะวิวัฒนาการขึ้นมาเป็นอะไรก็ได้ แต่มันกลับวิวัฒนาการขึ้นมาเป็นสัตว์ที่มีความกีดกัน เหยียดผิว บ้าอำนาจ และจิตใจหยาบทารุณ (เหมือนคน…) ทำให้คิดว่า สัญชาติญาณด้านร้ายๆ มันคงรุนแรงมาก และการพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้นเป็นเรื่องยาก

ดูหนังเสร็จเรามาซื้อของกิน ในระหว่างที่รอ ก็เห็นเด็กผู้ชายสองคน คิดว่าเป็นพี่น้องกัน คงอยู่ประมาณไม่เกินม. ๔ นั่งคุยกันเราก็แอบฟัง (สอดรู้จริงๆ) ปรากฏว่าเขากำลังช่วยกันแต่งกลอน เพื่อเขียนการ์ดให้แม่ น่ารักดี พอจะลงลิฟท์มาที่จอดรถ ระหว่างที่รอลิฟท์ เห็นผู้หญิงน่าจะอายุประมาณ ๔๐ แล้ว กำลังดูดอกไม้ประดิษฐ์พร้อมกับคุยโทรศัพท์มือถือ แอบฟังเขาอีกแล้ว ได้ความว่ากำลังคุยกับน้องสาว (หรือไม่ก็พี่สาว) ว่าดอกมะลิที่เป็นช่อๆ มันไม่สวย จะเปลี่ยนเป็นซื้อดอกบัวให้แม่ดีไหม… ได้บรรยากาศวันแม่ จริงๆ

เมื่อวานไปงาน ๑๕ ปีมติชนที่ SCB Park อยู่ฟัง คุยกับประภาส ด้วย เพราะเป็นนักเขียนในดวงใจคนหนึ่ง ชอบความคิดของเขา ชอบผลงานของเขา ทั้งงานเพลงที่เขียนให้กับเฉลียง และงานเขียนที่เขียนในมติชนวันอาทิตย์ แต่เมื่อวานเป็นการคุยที่ไม่ค่อยมีประเด็นอะไรใหม่สักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะเขาไม่ได้เตรียมรายการมาเป็นการพูดนำเสนออะไร แต่เป็นในลักษณะให้คนฟังถามคำถามขึ้นมามากกว่า แต่ชอบอยู่ประเด็นหนึ่งที่พี่จิกพูด ตอนที่มีคนถามว่า รู้สึกอย่างไรที่มีคนบอกว่า ไม่ชอบที่พี่จิกเขียนเพราะรู้สึกว่า ไม่รู้จริง และไม่มีแนวคิดอะไรที่น่าสนใจ

พี่จิกตอบว่ารู้สึกดี ที่มีคนมองกันต่างมุม การทำอะไร ก็ต้องมีคนชอบพร้อมๆ กับที่มีคนไม่ชอบ แต่เขารู้สึกว่า การวิจารณ์ว่า คนคนนี้ไม่รู้จริง หรือคนคนนี้มั่ว เป็นการเทยาพิษใส่บ่อน้ำ (ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเปรียบเทียบแบบนี้ แต่ชอบคำอธิบายที่ตามมามากกว่า) คือ มันไม่บอกอะไรเลย ทำไมไม่บอกว่า คุณไม่รู้จริงเพราะคุณเขียนตรงนี้ ตรงนี้ ผิด ที่ถูกต้องเป็นแบบนี้ คนเราทุกคนมีสิทธิ์จะผิด มีสิทธิ์จะไม่รู้ การที่มีคนวิจารณ์มาก็ควรต้องยอมรับ แต่คำวิจารณ์ก็ควรต้องเป็นคำวิจารณ์ที่ยอมรับได้ด้วย ไม่ใช่สักแต่ว่า อยากจะวิจารณ์ก็วิจารณ์เขา ไป อันนี้เราชอบมาก เราว่า เมืองไทยยังขาดการวิจารณ์ที่สร้างสรรค์ พูดไปแล้วไม่แน่ใจว่าจะไปซ้ำๆ กับตอนที่เคยบ่นเรื่องการเปลี่ยนเวลา หรือเปล่า คือ คนส่วนใหญ่วิจารณ์โดยเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง และเน้นไปที่อารมณ์มากกว่าเหตุผล การวิจารณ์ว่าอะไรต่ออะไรไม่ดีนั้น ลองนึกย้อนสักนิดหนึ่งว่า ถ้าเราต้องเป็นคนที่ทำสิ่งนั้นๆ เราจะทำให้ดีกว่าอย่างไร อย่าวิจารณ์เพียงเพราะว่ามีปากก็พูดไป …

ทีหลังเราจะไม่ไปงานหนังสืออะไรแบบนี้อีกแล้ว ปกติเราเป็นคนมีหิริโอตัปปะ ในการซื้อของในระดับหนึ่งนะ แต่ขนาดนั้นก็เหอะ หมดเงินไปพันกว่าบาท ได้หนังสือมาหอบหนึ่งตอนเดินดูก็ทรมานใจ อยากซื้อไปหมด กลับมาบ้านก็ทรมานใจ อยากอ่านไปหมดทุกเล่ม เกลียดใจตัวเอง… :-(