Diving Trip: Losin : Day 1: 19 Aug 01
ที่หายไปหลายวันเมื่ออาทิตย์ก่อน ไปดำน้ำกับพี่ปุ๊กที่โลซิน เป็นกองหินกลางทะเลฝั่งอ่าวไทย นั่งเรือจากจังหวัดนราธิวาสออกไปประมาณ ๖-๗ ชั่วโมง เราหาวิธีกันอยู่นานว่าทำยังไงจะประหยัดทั้งเงินและเวลาในการเดินทางไปกลับกรุงเทพฯ-นราฯ แต่ไม่มี เริ่มเข้าใจว่าทำไมคนถึงไม่ค่อยไปดำน้ำที่โลซิน เพราะมันไปลำบากนี่เอง ไปดำน้ำแค่เสาร์-อาทิตย์ ๒ วัน แต่ต้องลางานวันศุกร์กับวันจันทร์ด้วย ในที่สุดตัดสินใจได้ว่า ขาไปจะไปโดยรถยนต์กับครูกุ้ง (ครูที่สอนดำน้ำของพวกเรา และตอนหลังๆ กลายเป็นไดฟ์ลีดเดอร์ประจำกลุ่มไปแล้ว เพราะแกไปเป็นลีดเดอร์ให้ทุกทริปที่พวกเราไปดำน้ำกัน ไม่รู้ว่าใครตามใคร แต่ที่แน่ๆ น่าจะบ้าดำน้ำพอๆ กัน) ส่วนขากลับกลับเครื่องบิน ส่วนครูกุ้งจะขับรถกับคุณจี๋ (แฟนครูกุ้ง ซึ่งไปดำน้ำด้วย แต่ใช้การเดินทางสลับ Mode กับเรากับพี่ปุ๊ก คือ ขาไปไปเครื่องบิน ขากลับนั่งรถกลับ)

ออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่เช้ามืดวันศุกร์ ครูกุ้งขับรถมารับเราที่คอนโดตั้งแต่ตี ๔.๔๕ (อ่านว่า ตีสี่สี่สิบห้า! ไม่เคยตื่นเช้าขนาดนี้มาเป็นปีๆ แต่เพื่อการดำน้ำก็ทุ่มเทได้) แล้วไปรับพี่ปุ๊กตอนตีห้าหน่อยๆ ตอนขับไปถึงแม่กลอง ฟ้ายังมืดๆ อยู่เลย ไปแวะกินข้าวเช้าที่หัวหิน ตอนแรกตั้งใจจะกินก๋วยเตี๋ยวเป็ด กับไก่ทอดกุ๊กไก่ที่ตลาดฉัตรชัย แต่พอจอดรถแล้วเดินไปทางร้านที่ขายข้าวมันไก่/ข้าวขาหมู กินข้าวกันคนละจานก็อิ่ม เลยไม่ได้มองหาของกินต่อ พี่ปุ๊กขอแวะร้านขายยาซื้อยาแก้อักเสบ เพราะคอเจ็บจะเป็นหวัด (ไปคราวนี้พี่ปุ๊กหอบยาไปประมาณย่ามนึง มีทั้งยาพ่นคอ และยากินสารพัดอย่างจนจะจำไม่ได้ว่าต้องกินยาอะไรแก้อะไรบ้าง นี่ก็ทุ่มเทเพื่อการดำน้ำเหมือนกัน กลัวไปไม่สบายตอนดำน้ำก็เลยกินยากันเอาไว้หมด)

กินข้าวเสร็จ ออกเดินทางต่อ ตอนนี้ฟ้าสว่างเต็มที่แล้วแล้ว แต่ไม่มีแดด ตอนแรกฝนยังไม่ตก แต่พอเริ่มถึงประจวบฯ ฝนก็ตกพรำๆ พี่ปุ๊กบอกว่า พอถึงชุมพรให้แวะเข้าห้องน้ำที่ปั๊มบางจาก เพราะเป็นปั๊มที่สวยมาก ได้รางวัลที่ ๑ (ไม่รู้ว่าของปั๊มทั่วประเทศหรือเฉพาะปั๊มบางจาก แต่ย้ำว่าสวยมาก) ห้องน้ำมีสวน แต่ปรากฏว่าพอถึงแถวๆ ชุมพร พี่ปุ๊กแอบงีบไป พอตื่นมาอีกที ปรากฏว่าเลยปั๊มสุดสวยไปแล้ว พี่ปุ๊กบอกว่าไม่น่าจะเลยมาได้โดยไม่เห็น เพราะจะมีป้ายบางจากติดก่อนจะถึงปั๊มเยอะมาก และปั๊มค่อนข้างใหญ่ แต่เรากับครูกุ้งยืนยันว่า ๔ ตาช่วยกันดู ไม่เห็นทั้งป้ายบางจาก และไม่เห็นทั้งปั๊มที่มีขนาดใหญ่หรือสวยพอจะได้รางวัลที่ ๑ ก็เลยเป็นว่า อดได้เห็นปั๊มที่ห้องน้ำมีสวนไป แต่มาแวะพักยืดแข้งยืดขาที่ร้านแก่งพกา เป็นร้านอาหารและขายกาแฟสด ร้านสวยดี ตัวร้านเป็นไม้ๆ บริเวณรอบๆ ร้านก็ต้นไม้เยอะ บรรยากาศดีเชียวหละ โดยเฉพาะวันที่ฟ้าฉ่ำฝนแบบนั้น ต้นไม้เขียวไปหมด ห้องน้ำที่นี่ก็มีสวนเหมือนกัน คือมีต้นไม้ปลูกรอบๆ ที่ร้านนี้มีน้ำตกจริงๆ ด้วยอยู่ด้านหลังออกไป พี่ปุ๊กเลยเดาว่าเป็นเหตุให้ตั้งชื่อร้านว่าแก่งพกา กินกาแฟเครื่องดื่มกันคนและแก้วแล้วก็เดินทางต่อ

เริ่มมีการบ่นว่า ฝนตกๆ แบบนี้ทำให้ไม่มีของกินมาขายตามข้างทาง แต่พอเข้าเขตสุราษฏร์ฯ ก็เจอแผงขายผลไม้ เลยแวะซื้อเงาะกับสละ และได้ใบเหลียงมาด้วย เพราะพี่ปุ๊กเล่าให้ฟังว่าตอนมาทำงานที่ชุมพร เคยมีคนสั่งใบเหลียงผัดไข่ให้กิน อร่อยมาก พอเราเห็นใบอะไรเขียวๆ วางขายก็เลยลองถามดู ปรากฏว่าใช่ใบเหลียงแสนอร่อยจริงๆ เลยซื้อมาด้วย กะจะให้พ่อครัวบนเรือทำให้กิน เพราะอยากรู้ว่าจะอร่อยขนาดไหน แต่ดูจากสภาพใบแล้ว เป็นใบไม้ที่ไม่น่าเอามากินที่สุดในโลก คือ เป็นใบเขียวๆ ดูไม่แตกต่างจากบรรดาต้นไม้เขียวๆ พันกว่าชนิดที่ขึ้นๆ อยู่ตามป่าๆ ทุ่งๆ ซักเท่าไหร่ สงสัยกันอยู่ว่าคนแรกที่เก็บเอามันมากิน เขารู้ได้ยังไงว่ามันจะกินได้ และกินอร่อย

หลังจากได้ซื้อผลไม้ก็ขับมาอีกพักใหญ่ โดยไม่เห็นตลาดหรือร้านค้าอะไรเลย เราก็ชักหิวกันแล้ว เริ่มมีการคุยเรื่องอาหาร เป็นต้นว่าใครกินเนื้อไม่กินเนื้อ เพราะอะไร เพราะนับถือเจ้าแม่กวนอิม หรือเพราะไม่กินเนื้อนานจนทนกลิ่นเนื้อไม่ได้ (ตอนแรกครูกุ้งพูดว่า คนนับถือเจ้าแม่ไข่มุกไม่กินเนื้อ เดาว่าแกนึกถึงครีมไข่มุกกวนอิม แบบนี้เป็นการจำตามความสัมพันธ์ อย่างเราเจอเพื่อนคนหนึ่ง จำได้เลาๆ ว่าชื่อ อู๊ด ก็ ถามไปว่า ชื่ออู๊ดใช่ไหม เขาบอกว่า ไม่ใช่ เรา ชื่อหมู.. เอ่อ อู๊ดกับหมูก็ใกล้เคียงกันนะ) ไปจนถึงว่าอาหารบางอย่างทำด้วยเนื้อจะอร่อยกว่าหมู อย่างเช่น โรตีแกงเนื้อ ข้าวกระเพราเนื้อราดข้าว พอถึงตอนนี้ก็เริ่มหน้ามืดมองหาร้านอาหารกันใหญ่ ขับมาจนเจอร้านอาหารร้านแรกตอนเกือบบ่ายโมง (ไม่แน่ใจว่ายังอยู่ในเขตสุราษฏร์หรือเปล่า) ก็เลี้ยวคว้าบเข้าไปจอดด้วยความดีใจ เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวดู๋ดี๋ เรากับพี่ปุ๊กกินก๋วยเตี๋ยวต้มยำ รสชาติเข้มข้น อร่อยโดยไม่ต้องปรุง ครูกุ้งยังติดใจที่คุยเรื่องกระเพราเนื้อ เลยสั่งกระเพราเนื้อไข่ดาว แต่เขาไม่ขายเนื้อ เลยเป็นกระเพราหมูแทน ก็อร่อยดีเหมือนกัน เพราะหิวโซ ครูกุ้งสั่งบะหมี่แห้งเพิ่มอีกชาม เราก็เลยสั่งข้าวกะเพรามาอีกจาน มาแบ่งกันกับพี่ปุ๊กเพื่อไม่ให้น้อยหน้า ก่อนขึ้นรถเราซื้อกาแฟเย็นใส่ถุง แต่ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ พี่ปุ๊กซื้อน้ำมะพร้าว แต่หลังจากกินไปแล้วบอกว่า ปวดท้อง แล้วก็เริ่มวิตกอีกว่า เดี๋ยวจะเป็นปัญหากับการดำน้ำ

ขับรถกันมาเรื่อยๆ มีแวะตามปั๊มเข้าห้องน้ำบ้าง เติมน้ำมันบ้าง งัดเรื่องออกมาคุยจนหมดไส้หมดพุง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องกินๆ (มองหากันไปตลอดทาง ว่ามีอะไรที่กินได้) หรือหาเรื่องจากที่เห็นๆ ตามถนน อย่างเราตั้งใจว่าจะต้องซื้อมะนาวไปให้พ่อครัวทำน้ำมะนาวปั่นให้กิน (ทริปที่แล้ว เราไปใช้มะนาวที่ครัวบนเรือหมด คราวนี้เลยเกรงใจ ว่าจะหามะนาวไปเอง) พอเห็นรถที่บรรทุกผัก ก็กะว่าจะไปขอเขาหยุด เพื่อซื้อมะนาว

แม้แต่เรื่องเส้นถนนเราก็เอามาวิจารณ์ได้ ตอนแรกพูดกันว่า ถนนถึงไม่มีไฟถนน แต่ถ้ามีการตีเส้นชัดๆ เวลามืดๆ ก็ช่วยให้ขับรถได้ง่าย เพราะเวลาไฟหน้ารถส่องไปมันจะสะท้อนเห็นได้ชัด พอดีมีถนนบางช่วงเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ยังตีเส้นไม่เสร็จ เราสังเกตกันว่า ปกติถนนที่เป็น ๔ เลน (ไป ๒ เลน กลับ ๒ เลน) แต่ละฝั่งเขาจะตีเส้น ๓ เส้นเป็นการแบ่งช่องทางเดินรถ โดยด้านซ้ายสุดเป็นเส้นทึบสีขาว ตรงกลางเป็นเส้นประสีขาว ด้านขวามือสุดที่ติดกับเกาะกลางถนน (ที่จริงเป็นคูกลางถนนมากกว่า) จะตีเส้นสีส้ม ก็วิเคราะห์กันว่าทำไมเส้นขวามือถึงเป็นสีส้มอยู่เส้นเดียว เราสรุปกันว่า เพราะสีขาวหมด! พอมองไปฝั่งตรงข้ามที่รถวิ่งอีก ๒ เลน ก็เป็นเหมือนกัน (ขาวทึบ ขาวประ ส้มทึบ) เลยสรุปกันว่า ไหนๆ ฝั่งนี้เป็นสีส้มแล้ว ฝั่งโน้นก็เลยต้องเป็นสีส้มด้วยจะได้เหมือนๆ กัน! ถนนช่วงที่ยังตีเส้นถนนไม่เสร็จเนี่ย บางช่วงมีเส้นทึบขาวอย่างเดียว บาวช่วงมีเส้นทึบกับเส้นประขาวไม่มีเส้นส้ม เราเลยสรุปว่า เป็นเพราะแต่ละเส้นถูกรับผิดชอบโดยคนละหน่วยงาน (ตามสไตล์หน่วยงานราชการไทย ต่างคนต่างทำ) หน่วยที่ตีเส้นทึบขาว ก็ตีแต่เส้นทึบขาวอย่าวเดียว (ตีเส้นประไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่า ต้องเว้นระยะช่องไฟเท่าไหร่) หน่วยที่ตีเส้นประ ก็ตีเส้นประอย่างเดียว (เส้นทึบทำไม่เป็น) ส่วนหน่วยตีเส้นสีส้มตีแต่เส้นสีส้ม (เพราะที่หน่วยสั่งซื้อแต่สีส้มมา จะไปช่วยตีเส้นทึบสีขาวก็ไม่ได้) แค่เรื่องเส้นถนนก็เอามาคุยกันได้เป็นตุเป็นตะ

ขับมาจนถึงหาดใหญ่ก็เลี้ยวเข้าเมืองไปเล็กน้อย เติมน้ำมันเสร็จก็วกกลับมาเส้นทางเดิมต่อ (ก่อนถึงหาดใหญ่ มีการเลี้ยวผิดทางไปเล็กน้อย ดีว่าจอดถามก่อนเลยไม่ผิดไปไกล เพราะตอนนั้นน้ำมันแห้งถังแล้ว แถมเราดันเล่าเรื่องที่เราเคยไปน้ำมันหมดกลางถนนไฮเวย์ที่ลาสเวกัสให้ฟังอีก ก็เลยรู้สึกลุ้นๆ กันเล็กน้อยทั้งที่ก็รู้ๆ กันว่า ถ้าไฟเตือนว่าน้ำมันหมดก็ยังขับได้อีกหลายสิบกิโล แต่ใจไม่ค่อยดี) พอดีผ่านตลาดนัดเลยแวะ เพราะคิดว่าต้องมีมะนาวขายแน่ๆ เลย ได้มะนาวเกือบ ๒๐ ลูก พอเหลือบไปที่แผงข้างๆ มีไก่ทอดหาดใหญ่ พยักหน้าพร้อมกันหงึกๆ เห็นพ้องต้องกันว่า เอาไก่ทอดๆ (ตอนนั้น ๕ โมงกว่าแล้ว เริ่มหิวมื้อเย็นหน่อยๆ) เลยได้ไก่ทอดกับข้าวเหนียวมาด้วย ขับรถต่อมาอีกแป๊บก็เริ่มมืดแล้ว เลยตัดสินใจว่าลุยไปให้ถึงนราธิวาสเลยดีกว่า เพราะมันมืดๆ น่ากลัว ถ้าแวะกินข้าว จะยิ่งเสียเวลากันไปใหญ่ ไปถึงนราธิวาส ๒ ทุ่มนิดๆ แต่หาทางเข้าท่าเรือไม่เจอต้องวนๆ หาเล็กน้อย ถึงท่าเรือ ๒ ทุ่มครึ่ง รวมแล้วครูกุ้งขับรถคนเดียว ๑๕ ชั่วโมงครึ่ง อึดมาก! (ตอนหลังคุยกับคุณจี๋ เขาบอกว่า น่าจะให้ครูกุ้งไปขับแท็กซี่ดีกว่า แต่พี่ปุ๊กบอกว่าไม่ได้หรอก แท็กซี่ไม่พอ ต้องไปขับรถทัวร์ ถึงจะเหมาะ อึดขนาดนี้)

พอขนของลงจากรถก็มีลูกเรือมารับของไปเก็บ เราใช้สิทธิ์มาถึงก่อนเลือกห้องนอนที่อยู่ค่อนมาทางท้ายเรือ เพราะว่าจะโคลงน้อยกว่าห้องหัวเรือ แล้วก็รีบหิ้วถุงไก่ทอดขึ้นไปนั่งกินบนดาดฟ้า ส่วนครูกุ้งยังฟิตจัด (ไม่รู้แอบไปกินยาบ้าที่ไหนหรือเปล่า) เราเรียกให้มากินไก่ด้วยกัน ก็บอกให้พวกเรากินกันไปก่อน เรากับพี่ปุ๊กก็เลยลุยไปก่อนเพราะหิวสุดๆ กินเสร็จก็อาบน้ำ ไปเดินตลาดนราธิวาสเล็กน้อย เพราะพี่ปุ๊กจะซื้อเคเนลอกซ์(ยาทาแผลในปาก) กับยาธาตุ แก้ปวดท้องที่เกิดจากน้ำมะพร้าว ตอนแรกจะหาน้ำเต้าหู้กินด้วย แต่ถามที่ร้านขายยาเขาบอกว่าเดินไปประมาณกิโลนึงก็เลยช่างมัน กลับมาที่เรือคนอื่นๆ ที่มาทางเครื่องบิน หรือทางอื่นๆ ยังมาไม่ถึง ตอนนั้นประมาณ ๔ ทุ่มกว่าๆ เรากับพี่ปุ๊กง่วงแล้ว เลยตกลงกันว่าเข้านอนดีกว่า แล้วค่อยมาเจอคนอื่นๆ ตอนจะดำน้ำวันรุ่งขึ้นเลย

จบวันแรกของการเดินทางไปดำน้ำที่โลซิน เรือยังไม่ออกจากท่า ยังไม่ได้เริ่มเรื่องดำน้ำเลย... ต้องตามตอนต่อไปซะแล้ว...
:-:-:-บันทึกมาราธอน ไปดำน้ำ๑๗–๒๐ สิงหาคม ๒๕๔๔ --- Day1---Day2---Day3---Day4-:-:-: