Diving Trip: Losin : Day 2 (D-Day)
วันที่ 2 ดีเดย์.. หลังจากอุ่นเครื่องวันแรกไป วันนี้ได้เล่าเรื่องดำน้ำจริงๆ ซะที

ตื่นขึ้นมารู้สึกเหมือนนอนอยู่บนรถไฟเหาะ มองไปรอบๆ ถึงนึกได้ว่าอยู่ในห้องนอนของเรือ อ้อ ลืมบอกไปว่า เรือที่เราไปดำน้ำคราวนี้ คือ เรือสคูบาเน็ต มีห้องนอนแบบ ๒ เตียง ๘ ห้อง และอีกห้องนึงอยู่หัวเรือมี ๓ เตียง (เล็กๆ แต่มีที่นั่งเล่นกว้างขวาง นัยว่าจะให้เป็นที่นอนของพวกไดฟ์ลีดเดอร์ แต่เรารู้สึกว่ามันสะดวกสบายกว่าห้องของพวกลูกทัวร์เสียอีก) เรานอนห้องที่ ๒ จากท้ายเรือ นอนเตียงล่างซึ่งมันเป็นแนวเดียวกับลำเรือ ส่วนพี่ปุ๊กนอนเตียงบน เป็นแนวขวางกับลำเรือ ทำมุม ๙๐ องศากับเตียงล่าง

เรือแล่นไปบนคลื่น เตียงของเราเลยกลายสภาพเป็นรถไฟเหาะ คือ เคลื่อนไปข้างหน้าขึ้นๆ ลงๆ เป็นจังหวะ ส่วนพี่ปุ๊กคงรู้สึกว่าเตียงตัวเองกลายเป็นเปลญวน โยกซ้ายโยกขวาตามจังหวะที่เรือกระทบคลื่น เราเพ่งดูนาฬิกาข้อมือรู้สึกจะประมาณตีห้า ลุกไปเข้าห้องน้ำ (เขาทาสีประตูห้องน้ำใหม่ ต่อม Scent-sitive ของเราทำงานอีกแล้ว เหม็นชะมัดเลย) แล้วกลับมานอนต่อ เรือโคลงแบบนี้ ท่าไม่ค่อยดี ได้แต่หวังว่าพอถึงโลซินแล้วคงดีขึ้น

ตื่นมาอีกทีตอนหกโมงกว่าๆ ดำน้ำไดฟ์แรกเจ็ดโมงครึ่ง แต่เราคิดว่าไม่นอนต่อแล้ว ขึ้นไปนั่งรับลมบนดาดฟ้าเรือดีกว่า ปรากฏว่ารู้สึกว่าเมาเรือกระอักกระอ่วนมาก ไปเอายาแก้เมาเรือมากิน นั่งซึมอยู่ซักแป๊บนึงรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว เลยลุกไปอาเจียน ซึ่งก็ไม่มีอะไรออกมานอกจากน้ำที่เพิ่งดื่มเข้าไป พอดีพี่ปุ๊กกับครูกุ้งขึ้นมา เราเลยบอกว่า จะไปนอนรอในห้องคาราโอเกะ (เป็นห้องนั่งเล่นที่อยู่บนดาดฟ้าเรือ ติดแอร์ มีโทรทัศน์ เครื่องเล่นวิดีโอ และคาราโอเกะ) แต่เราลืมสั่งไปว่า ถึงเวลาจะ Brief ก่อนดำน้ำให้เรียกด้วย พอตื่นมาอีกทีเขา Brief กันไปเรียบร้อยแล้ว ก็บ่นๆ ว่า แหม ไม่ต้องรู้เลยนะว่า Dive Site เป็นยังไงบ้าง (แกล้งบ่นไปยังงั้นหละ ที่จริงก็ไม่ได้สำคัญอะไรหรอก ปกติก็ดำตามครูกุ้งอย่างเดียว ตอนอยู่บนบกก็ปากเก่งมาก แต่พออยู่ใต้น้ำก็ตามลีดเดอร์ต้อยๆ อยู่ในโอวาทสุดๆ)

เราเพิ่งได้เจอคนอื่นๆ ในทริปเดียวกันตอนนี้เอง ปรากฏว่าเจอเช็งกับแน็ตด้วย เช็ง เป็นน้องที่เคยเจอกันตอนที่เรากับพี่หนิงจะไปดำที่สิมิลัน แต่ทริปล่ม เพราะคลื่นแรงจนครูจุ๋ม (ไดฟ์มาสเตอร์ของมนุษย์กบ) คิดว่าไม่ปลอดภัยเลยไม่ยอมออกเรือ ครูกุ้งกับคุณจี๋เลยหอบเรากับพี่หนิง และคนอื่นๆ อีกกลุ่มหนึ่งไปดำที่เกาะพีพีกัน เช็งก็ไปด้วย ตอนนั้นเช็งยังเรียนไม่จบเลย แต่ตอนนี้เพิ่งจบได้ ๓ เดือน และมาเป็นหมอใช้ทุนอยู่ที่สุไหงโกลก เห็นบอกว่าเลือกมาเองเลย เพราะใกล้ที่ดำน้ำ เช็งมากับพี่ๆ เพื่อนๆ กลุ่มหนึ่ง มีพี่หญิงเป็นพยาบาล พี่เหม่งเป็นหมอเหมือนกัน น้องผู้ชายจำชื่อไม่ได้ รู้แต่เป็นหมอฟัน เพิ่งเรียนดำน้ำจบ และมาสอบ) ส่วนแน็ตเป็นน้องผู้ชายที่เรากับพี่ปุ๊กเคยเจอตอนไปดำที่สุรินทร์ ตอนนั้นแน็ตไปดำกับพี่สาว ชื่อแนน แต่คราวนี้แน็ตมากับเพื่อนชื่อ เมย์

กลุ่มเราที่จะดำกับครูกุ้งนอกจากเรากับพี่ปุ๊ก ก็มีพงษ์กับไต๋ ลงไปดำไดฟ์แรกไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ปะการังแถวๆ นี้จะเป็นปะการังแข็งซะเป็นส่วนใหญ่ เป็นพวกปะการังเขากวาง ปะการังผักกาด ปลาเล็กปลาน้อยไม่ค่อยมี คนที่มาดำที่นี่เขาจะมาดูสัตว์ใหญ่กันมากกว่า อย่าง พวกฉลามวาฬ ปลากระเบนราหู (แมนต้าเรย์) ฉลามอื่นๆ แต่เรากับพี่ปุ๊กรู้อยู่แล้ว ว่ายังไงคงไม่เจอสัตว์ใหญ่ๆ แน่ๆ เพราะเป็นพวกไม่มีดวง อย่างทริปที่แล้วที่ไปดำที่สุรินทร์ เล่นไล่จับกับแมนต้าอยู่นั่นแล้ว เขาบอกว่ามันอยู่ที่ตาชัย เรือเราอยู่ที่เกาะบอน พอเราย้ายไปที่ตาชัย มันย้ายไปอยู่ที่ริเชลิว พอเราไปริเชลิวเขาบอกว่ามันขึ้นที่ตาชัย เลยปลงๆ ว่าถ้าจะให้เจอแมนต้าแน่ๆ ต้องไปที่ Sea World น่ะแหละ ชัวร์

ช่วงที่เราขึ้นมาลอยตัวที่ผิวน้ำ ถูกคลื่นโยนขึ้นๆ ลงๆ อยู่พักใหญ่กว่าเรือจะมารับ พอขึ้นไปบนเรือได้ เจอกับควันท่อไอเสียที่ท้ายเรือซ้ำเติม เราเลยทนไม่ไหว อาเจียนไปอีก ๑ รอบ เลยรีบไปหายาแก้เมามากินทั้งๆ ที่กลัวเหมือนกันว่า จะ Overdose คนอื่นเขาขึ้นมาก็กินอาหารเช้ากันเอร็ดอร่อย (รู้สึกจะเป็นข้าวต้มไก่มั้ง) แต่เรากินไม่ลงมันผะอืดผะอมยังไงชอบกล เลยโผเผไปนอนในห้องคาราโอเกะ คิดในใจว่า มาทรมานหรือมาเที่ยวกันแน่ฟะ… แล้วก็ผล็อยหลับไป

เราตื่นขึ้นมาตอนเกือบเที่ยง ได้เวลาลงดำไดฟ์ที่ ๒ เรารู้สึกไม่ค่อยดี แต่รู้ว่าลงไปอยู่ใต้น้ำจะสบายกว่าอยู่บนเรือ เลยไปแต่งตัวเตรียมใส่อุปกรณ์ แต่แค่ใส่เว็ทสูทเสร็จก็รู้สึกว่าหน้ามืดจะเป็นลม เลยบอกครูกุ้งว่า ไดฟ์นี้ไม่ลงดีกว่า ถอดเว็ทสูทไปแขวนที่เดิม แล้วก็หายาแก้เมากับพาราเซตามอลมากิน จะเดินขึ้นบันไดไปนอนในห้องคาราโอเกะ แต่ปรากฏว่าขึ้นบันไดไปได้แค่ ๒ ขั้นก็ต้องโผล่หัวออกไปอาเจียนข้างเรืออีกเป็นรอบที่ ๓ โอย…

หลังจากดำไดฟ์ที่ ๒ ก็เป็นอาหารกลางวัน เราตื่นขึ้นมาเจอกับส้มตำ ลาบ ไก่ทอด ได้กลิ่นอาหารเผ็ดๆ เปรี้ยวๆ ก็ค่อยยังชั่ว แต่เราก็ยังกินได้ไม่มากเท่าปกติ กินเสร็จก็นอนพักอีกแล้ว ตื่นขึ้นมาตอนบ่าย ๓ ได้เวลาดำไดฟ์ที่ ๓ คราวนี้รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมนิดหนึ่ง ก่อนลงเห็นงูทะเลว่ายไปว่ายมาอยู่ท้ายเรือ น่าหวาดเสียว เพราะมีคนบอกว่าถ้าโดนกัด ตายลูกเดียว แต่โดดตอนลงไปดำ มันก็ว่ายหนีไปทางอื่นแล้ว ไดฟ์นี้เป็นไฮไลต์ของทริปเลย เพราะกำลังว่ายๆ อยู่ดีๆ เห็นครูกุ้งขยับตัวคว้ามีดที่เหน็บไว้ที่ขา รู้เลยว่าแกต้องเจออะไรแน่ รีบกวาดตามอง เห็นเงาตะคุ่มๆ กับปลายยอดแหลมๆ ดำๆ มันคือ Black-tipped shark หรือฉลามหูดำนั่นเอง ตัวไม่ใหญ่มาก ประมาณซักเมตรกว่าๆ (เพราะฉะนั้นคงไม่ใช่ตัวเดียวกับที่ลุยขึ้นมากัดขานักท่องเที่ยวที่หาดแม่พิมพ์ จ.ระยอง เมื่ออาทิตย์ก่อนโน้นแน่ๆ) ครูกุ้งไม่ได้คว้ามีดมาไล่แทงฉลามหรอกนะ แต่แกเอามาเคาะแท็งค์เรียกให้พวกเราดูมันตะหาก พวกนักดำน้ำเวลาเจอตัวอะไรที่อยากเรียกให้คนอื่นดู ถ้าไม่อยู่ในรัศมีที่แตะตัวกันได้ เขาจะเคาะแท็งค์เรียกนะ อยู่ในน้ำตะโกนเรียกกันไม่ได้เพราะปากคาบ Regulator อยู่ แต่ถึงตะโกนได้ ก็คงไม่ดังอยู่ดี เพราะเสียงเดินทางในน้ำได้ไม่ดีเท่าในอากาศ มันจะดังบุ๋งๆ มากกว่าเป็นเสียงตะโกน

หลังจากเจอ Black-tipped แล้ว ถือว่า "Mission Accomplished" ไดฟ์นี้ไม่ต้องไล่หาอะไรอีกแล้ว ดำต่อมาอีกซักพักหนึ่ง ครูกุ้งหันมาดู Pressure Gauge ของพงษ์แล้วทำท่าผงะ ตกใจรีบคว้า Octopus ให้พงษ ์(Octopus เป็นสายอากาศสำรองเอาไว้แบ่งให้คนอื่นหายใจจากแท็งค์เดียวกับเรา) เรารู้ว่าอากาศพงษ์เหลือน้อย เลยดูอากาศของตัวเองบ้างรู้สึกจะเหลือ ๒ พัน (อากาศเต็มถัง คือ ๓๐๐๐ PSI เพื่อความปลอดภัย ถ้าเหลือประมาณ ๕๐๐ ก็ควรเตรียมขึ้นได้แล้ว แต่ปกติ กลุ่มเราจะใช้อากาศกันไม่เปลือง ถ้าจะดำให้เหลือถึง ๕๐๐ จะต้องดำกันไม่ต่ำกว่า ๖๐ นาที ซึ่งนานเกิน ปกติเขาจะดำกันอย่างมาก ๔๐-๕๐ นาที) พอขึ้นมาครูกุ้งบอกว่า ตอนที่เอา Octopus ให้พงษ์น่ะ อากาศพงษ์เหลือแค่ ๗๐๐ แต่ตัวแกเหลือประมาณ ๒ พันเหมือนกัน เรากับพี่ปุ๊กมาแซวว่านี่เป็นครั้งแรกที่ครูกุ้งได้เป็นฮีโร่ขนาดนี้ เพราะปกติดำกับพวกเรา (พี่ปุ๊ก พี่หนิง พี่ดิว เรา) แกจะอากาศหมดก่อนพวกเราด้วยซ้ำ Octopus ของแกน่ะมีไว้เป็นเครื่องประดับเฉยๆ เพราะไม่มีอากาศเหลือมาแบ่งให้พวกเราหรอก

พอดำไดฟ์นี้เสร็จเราก็อาบน้ำสระผม เป็นอันเสร็จสิ้นการดำน้ำวันแรก ความจริงมี Night Dive ด้วย แต่เราไม่ลงเพราะไม่ชอบความมืด กินข้าวเย็นเสร็จ ก็นั่งเล่นอีกพักหนึ่ง ก็เริ่มง่วง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ยา หรือฤทธิ์ขี้เกียจ เลยแอบหนีไปนอนที่ห้อง ตอนพี่ปุ๊กจะไปเปลี่ยนชุดลงดำ Night Dive เจอเรานอนอยู่ก็งงๆ เล็กน้อย แบบว่ามันจะนอนอะไรกันนักกันหนา เราก็งงตัวเองเหมือนกัน แต่เรานอนได้พักเดียวก็ร้อนทนไม่ไหวต้องตื่น เป็นเพราะตอนแรกที่นอนรู้สึกว่ามันหนาว ก็เลยหรี่แอร์ แต่คงหรี่มากไปเลยมีแต่ลมอุ่นๆ ออกมา เลยเดินงัวเงียขึ้นมาบนดาดฟ้า เลยหนีบเอา Logbook กับไดอะรี่ขึ้นมาเขียนด้วย มานั่งเขียนได้ซักพักนึงพี่ปุ๊กและคนอื่นๆ ก็ขึ้นมาจากดำ Night Dive มานั่งกินขนมกันอีกพักหนึ่ง แล้วก็แยกย้ายกันไปนอน เราขึ้นเตียงนอนด้วยความรู้สึกเเหมือนเพิ่งกลับจากสนามรบ… จบวันแรกของการดำน้ำอันแสนเมา

โปรดติดตามตอนต่อไปด้วยใจระทึก... :-)
:-:-:-บันทึกมาราธอน ไปดำน้ำ๑๗–๒๐ สิงหาคม ๒๕๔๔ --- Day1---Day2---Day3---Day4-:-:-: