Diving Trip: Losin : Day 3: 19 Aug 2001
มาต่อเรื่องไปดำน้ำให้จบดีกว่า… มีคนที่อ่านที่เขียนเรื่องการเดินทางวันแรก (Day 1) แล้วถามว่า ตกลงเราไปทัวร์ดำน้ำหรือทัวร์กินกันแน่ แหม…ไปเที่ยวให้สนุกก็ต้องแบบนี้แหละ กินๆ เมาท์ๆ เป็นหลัก พวกเรายังไม่จัดเป็นพวกกินดุนะ มียิ่งกว่าพวกเราอีกนะ เป็นพี่ๆ ผู้ชาย (และผู้ฉิง) ๓ คนที่ขับรถมากันเองตั้งแต่คืนวันพฤหัส (เรามาเช้าวันศุกร์) เห็นเล่าว่าแวะกินมาตลอดทางเหมือนกัน แถมมีตุนอาหารของกินมาบนเรืออีกเพียบ มีทั้งของกินได้เลย และของที่ต้องปรุง เวลามื้ออาหารพี่ๆ แกก็จะงัดเอาของกินมาแจกรอบวง มีแถมรอบดึกด้วย อะไรที่ต้องปรุงก็เอาไปให้พ่อครัวจัดการ อิ่มหนำสำราญกันสุดๆ

Day 3: วันอาทิตย์: ดำน้ำวันที่สอง

จากดำน้ำวันแรก (Day 2)ที่เมาเรือสุดๆ เราเพิ่งมารู้ว่าไม่ได้มีแต่เราเท่านั้นที่สภาพย่ำแย่ ยังมีน้องที่เป็นหมอฟัน (ที่มากับเช็ง และเราบอกว่าจำชื่อไม่ได้น่ะ ตอนนี้นึกออกแล้วหละ น้องเขาชื่อ เต๋อ ตอนนั้นที่เขียนนึกเท่าไร๊…เท่าไร ก็นึกไม่ออก บทจะนึกออกมันก็โผล่ขึ้นมาในสมองง่ายๆ แบบนี้เอง) กับพี่เหม่งที่สภาพแย่ยิ่งกว่าเรา คือวันแรกไม่ได้ดำน้ำเลย เมาเรือมากเลยนอนพักอยู่ในห้องตลอด เพิ่งจะปรับตัวได้ และลงดำวันที่สองนี้เอง (ยังดีที่ปรับตัวแค่วันเดียว ถ้าปรับตัวนานกว่านี้ คงต้องมาดำแถวๆ ท่าจอดเรือที่นราธิวาส)

หมอเต๋อมาสอบ Diving License เพิ่งเรียนด้ำน้ำจบหมาดๆ โดยมีครูเอกเป็นคนสอน ครูเอกก็เพิ่งได้เป็นครูสอนดำน้ำหมาดๆ เหมือนกัน เพราะเราเจอเขาทริปที่แล้วตอนไปดำที่สุรินทร์สิมิลันช่วงสงกรานต์เขาเพิ่งได้ Instructor License ตอนทริปโน้นเราไม่ค่อยได้เห็นครูเอก เพราะแกนอนตลอด พวกเราจะเห็นแกอยู่ ๒ สถานะ คือ ใส่เว็ทสูทกำลังดำน้ำอยู่ หรือไม่ก็ใส่ชุดธรรมดา นอนหลับอยู่ในห้องคาราโอเกะ พอตอนมาทริปนี้ ครูกุ้งบอกว่า มีครูเอกมาด้วย พี่ปุ๊กจำไม่ได้ว่าครูเอกไหน แต่พอเราบอกว่า คนที่นอนตลอดเลยไง พี่ปุ๊กก็ “อ๋อ…” นึกออกทันที

มาทริปนี้ครูเอกไม่ได้หลับตลอด ระหว่างไดฟ์เราเห็นเขาเอาการ์ดพลาสติกของ PADI (เป็นหน่วยงานที่ออก Diving License นอกจาก PADI ก็มีหน่วยงานหนึ่งคือ NAUI ซึ่งเป็นอันที่เราได้ License มา) มาดูๆ ก็ไม่ได้เอะใจว่าเป็นอะไร ความมาแตกเอาวันนี้เอง แกเอาการ์ดมาถามพี่ปุ๊กว่า คำนี้ (Exploration) แปลว่าอะไร พี่ปุ๊กเห็นแวบๆ ก็ตอบไปเลย แปลว่าระเบิด (Explosion) ครูเอกทำหน้าตะลึงไปนิดหนึ่ง แต่พอดูกันชัดๆ อีกทีถึงรู้ว่า อ๋อ… แปลว่าสำรวจ แล้วก็เลยรู้ว่าการ์ดพลาสติกที่ครูเอกเอามาดูๆ ก็คือChecklist ว่าต้องสอบนักเรียนเรื่องอะไรบ้าง ครูเอกแกบอกว่า “แหม.. ผมตกใจหมดเลย คิดว่าต้องพานักเรียนไประเบิดด้วย” ดูสิ… อ่อนซ้อม (ที่จริงต้อง เรียกว่า อ่อนสอบ หรือเปล่า?) ขนาดนี้ยังมีมุขอีกนะ สรุปว่าแกก็ไม่ชัวร์เหมือนกันว่าต้องสอบอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นผลประโยชน์ก็ตกอยู่ที่หมอเต๋อ คือ ยังไงๆ สอบผ่านแน่นอน

วันที่สองตามกำหนดมีทั้งหมด ๓ ไดฟ์ เราลงครบทั้ง ๓ ไดฟ์ ไดฟ์แรกตอน ๗ โมงเช้า ตอนลงไปก็ OK แต่ตอนที่ขึ้นมาที่ผิวน้ำ คลื่นแรงอีกแล้ว แถมเรือมารับช้ามาก เพราะเขามองไม่เห็นพวกเรา ครูกุ้งต้องถอด Fin (ตีนกบ) ออกมาโบกเรียกเรือตั้ง ๒ รอบ คลื่นโยนเราตัวลอยขึ้นๆ ลงๆ จนเมา พอขึ้นมาที่เรือได้ เราก็เลยอาเจียนอีกจนได้ เฮ้อ…

ก่อนลงไดฟ์ที่ ๒ เรากับพี่ปุ๊กตกลงกับครูกุ้งว่า เราจะไม่ขึ้นมารอบนผิวน้ำแล้ว เพราะเบื่อที่จะอาเจียนแล้ว (อันนี้ไม่ได้พูดออกมาหรอกนะ แต่เป็นที่สามารถเข้าใจได้) แต่จะรออยู่ที่ ๑๐ ฟุต เรือมาเมื่อไหร่ ค่อยเรียกเราขึ้นมา ปรากฏว่าตอนที่เรารออยู่ที่ ๑๐ ฟุต เงยขึ้นมาก็เห็นดิงกี้ (คือเรือยางที่มีเครื่องยนต์ บางทีเขาจะใช้เรือนี้แล่นมารับเราเวลาที่เรือใหญ่กำลังรับกลุ่มอื่นอยู่) ลอยอยู่เหนือหัว ก็เลยคิดว่าเขามารับเรา ก็เลยขึ้นมาที่ผิวน้ำกันเอง ปรากฏว่าคนขับเรือดิงกี้เขาไม่ยอมให้เราขึ้น บอกว่าให้เกาะขอบเรือรอเรือใหญ่มารับ ก็ต้องโดนคลื่นโยนขึ้นๆ ลงๆ อีกตามเคย โชคดีที่เรือมาไม่ช้าเท่าไดฟ์แรก แต่เราก็รู้สึกไม่ค่อยดีอยู่ดี

ตอนกลางวัน เราขอให้พ่อครัวเอาผักเหลียงที่ซื้อมา มาผัดให้กินเป็นกับข้าว พ่อครัวเขาผัดน้ำมันธรรมดา ไม่ได้ผัดกับไข่อย่างที่พี่ปุ๊กบรรยายไว้ อาจจะเป็นความที่เรายังรู้สึกเมาๆ หรืออะไรก็สุดจะเดา แต่ชิมไปแล้วรู้สึกว่ามันไม่อร่อย พี่ปุ๊กก็บอกว่าไม่อร่อยเท่าที่เคยกิน (แบบผัดกับไข่) แต่พี่หญิงที่มากับเช็งเขาบอกว่าอร่อยดี ก็เลยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันเป็นยังไงกันแน่

ไดฟ์ที่สามดำตอนบ่ายสองโมงกว่าๆ ก็ไม่เจออะไรอีกตามเคย ทุกคนขึ้นเรือกันครบประมาณ ๓ โมงครึ่ง เรือก็มุ่งหน้ากลับฝั่ง เรารู้สึกดีใจเพราะจะได้กลับเสียที รู้สึกว่าเป็นทริปที่เหน็ดเหนื่อยมาก ทั้งๆ ที่มีเวลาแค่ ๒ วันเอง (ทริปอื่นๆ ๓ วันยังรู้สึกว่าเร็วกว่านี้) อาหารเย็นเสิร์ฟตอนห้าโมงกว่าๆ ครูกุ้งคุณจี๋และพี่หญิงขึ้นมากินข้าวช้า มารู้ทีหลังว่าไปช่วยกันปฐมพยาบาลพงศ์ เพราะเขาเป็นลม ก็ไม่รู้เป็นเพราะเหนื่อย หรือเพราะเมาคลื่น

กินข้าวเย็นเสร็จ ก็มาเก็บอุปกรณ์บางอย่างที่เก็บได้ อันไหนที่อยากให้แห้งอีกหน่อยก็ผึ่งลมไว้ก่อน แล้วแว๊บไปนอนอีกพักหนึ่ง ตื่นขึ้นมา (ที่จริงมีคนมาปลุก) ประมาณ ๓ ทุ่มครึ่ง ก็คือตอนเรือถึงท่าที่นราธิวาส บางคนจะกลับกรุงเทพฯ (หรือจังหวัดต่างๆ ที่ตัวเองมา) เลย บางคนก็รอกลับวันรุ่งขึ้น แต่ก่อนจะกลับก็มีการชวนกันไปกินข้าวต้มรอบดึกที่ตลาดก่อน ตอนกินข้าวเย็นก็ว่ากินกันอิ่มดีนะ แต่พอมากินข้าวต้มก็สั่งกันไม่ยั้งเลย กินเสร็จร่ำลากันเสร็จก็แยกย้าย คนที่ยังไม่กลับก็ไปนอนที่เรือ

อ่านต่อวันที่ ๔...

:-:-:-บันทึกมาราธอน ไปดำน้ำ๑๗–๒๐ สิงหาคม ๒๕๔๔ --- Day1---Day2---Day3---Day4-:-:-: