The birthday that marked the worst terrorist attack of the US history
อืมม์… ความจริงยุ่งๆเลย คิดว่าอาทิตย์นี้จะไม่เขียนอะไร แต่เหตุการณ์การก่อการร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้อดไม่ได้ เมื่อวานเป็นวันเกิดของเรา แต่ไม่ได้คิดว่ามันเป็นวันพิเศษอะไร แค่คิดถึงแม่อย่างเดียว ถ้าเป็นปกติ แม่ก็คงโทรมาแฮปปี้เบอเด (นี่คือตาม Accent ที่แม่พูดจริงๆ) แต่เขาไปเที่ยวเมืองจีนกับเตี่ยอยู่ ก็เลยอวยพรไปล่วงหน้าแล้ว

::งานยุ่งเล็กน้อยและน่าเบื่อ::มีการบ้านของ Class ที่เรียนจะต้องส่งจันทร์หน้า::อีก ๒ อาทิตย์จะสอบ Final:: เป็นช่วงเวลาที่ไม่ค่อยโสภาเท่าไหร่ ซึ่งค่อนข้างจะเป็นเรื่องปกติของช่วงเวลานี้ของปี สังเกตมาหลายๆ ปีแล้ว ช่วงวันเกิดเนี่ยมักจะแย่ๆ แต่ก็เล้วแต่ว่าจะแย่เรื่องอะไร ไม่เป็นเรื่องเรียน ก็เรื่องเพื่อน เรื่องงาน หรือแม้แต่เรื่องหัวใจ (อะแฮ่ม!) เวลาใกล้ๆ วันเกิดก็เลยจะเนือยๆ ไม่ค่อยออกอาการตีปีกอะไร แถมยิ่งเข้าใกล้ประตูทางออกสวนเข้าไปทุกทีๆ ก็ยิ่งพยายามไม่ใส่ใจกับมัน ปล่อยให้มันเป็นแค่วันหนึ่ง เหมือนๆ กับทุกๆ วันของชีวิต

เมื่อวานก็ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่ตั้งใจ จะมีผิดแผนไปนิดหนึ่งก็ตรงที่ปิยธิดาอวยพร(และประกาศขาย)เราในไดอะรี่ของเธอ ก็เลยมีคนตามมาอวยพรกันอีกหลายๆ คน ขอบคุณหลายๆ เด้อ (อ้อ… ประกาศตรงนี้นิดหนึ่ง… หมู Your card is right on the dot นิจได้รับตรงกับวันเกิดพอดีเป๊ะ ไม่น่าเชื่อ ขอบคุณๆ) นอกจากนี้ก็เป็นวันธรรมดาๆ เลิกงานก็ไปเรียน แต่พอใกล้ๆ ๓ ทุ่มมีน้องมาบอกว่า เครื่องบินพุ่งเข้าชนตึก World Trade Center ถึง ๒ ลำ ก็ยังพูดอยู่ว่าไม่น่าเชื่อ วันเกิดเรากลายเป็นวันที่ไม่ธรรมดาไปเสียแล้ว (เพื่อนเราบอกว่า วันเกิดเราทำไมดุจัง เฮ้อ… นั่นสินะ)

ออกจากตึกชิน ๓ ก็ฟังวิทยุตลอด เก๋โทรมาตามเราให้รีบกลับไปดูข่าวด้วยกัน อารมณ์อยากเมาท์น่ะ กลับไปถึงบ้านก็ไม่เป็นอันทำอะไร นั่งดูโทรทัศน์ กดรีโมทไปทุกช่องเลย สลับไปสลับมา ไล่จาก Nation Channel, CNN, BBC, CNBC แถมช่องฝรั่งกับจีนไปด้วย ตอนหลังๆ โทรทัศน์ไทยช่องต่างๆ ก็หยุดรายการปกติมาเสนอข่าวนี้สลับกันไปด้วย

ตอนนี้ทุกคนก็คงรู้ว่าความเสียหายมันหนักหนาสาหัสขนาดไหน ยิ่งดึกก็ยิ่งมีภาพข่าวจากมุมต่างๆ มาให้เห็นกันจะๆ ลำดับเหตุการณ์กันเป็นฉากๆ คนที่เห็นภาพจากข่าว คงมีความเห็นไม่ต่างกัน ดูแล้วเหมือนในหนัง Hollywood ไม่มีผิด ต่างกันก็คือ ตรงนี้ไม่มีฮีโร่มา Save the World คนที่ตายก็คือ คนจริงๆ ไม่ใช่ Stunt ที่น่าเศร้า คือว่า ในขณะที่คนส่วนหนึ่งดูโทรทัศน์ด้วยความตกตะลึง และเศร้าสลดใจ มีคนอีกกลุ่มหนึ่งตีเกราะ เคาะไม้ ดีอกดีใจกับหายนะที่เกิดขึ้น ไม่เข้าใจว่าเขาคิดอะไรกัน เขาเห็นว่า ความสูญเสียของชีวิตของคนที่เขาเชื่อว่าเป็นศัตรูเป็นเรื่องน่ายินดี อย่างนั้นหรือ ทำไมคนเราถึงสามารถโกรธหรือเกลียดใครที่เราไม่เคยรู้จัก ไม่ได้เห็น ไม่ได้สัมผัส ได้มากๆ ขนาดคิดว่าอยากจะเข่นฆ่ากันให้หมดสิ้นไป

เราเคยคิดว่า รัฐบาลสหรัฐชอบแส่ไปหาเรื่อง ทำตัวเป็นตำรวจโลก รังแกคนอื่นๆ เขาไปทั่ว แต่การตอบโต้รัฐบาลสหรัฐโดยใช้ชีวิตของคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ (ความจริงอาจมีคนพูดว่า คนสหรัฐก็เลือกตั้งรัฐบาลสหรัฐเข้ามาบริหารประเทศ) ก็เป็นเรื่องที่น่าประนาม แย่ที่สหรัฐก็ต้องตอบโต้อย่างรุนแรงกับใครก็แล้วแต่ที่ก่อการนี้แน่นอน แล้วก็จะมีการมาล้างแค้นกลับ กลายเป็นวงเวียนกันต่อไป น่าเศร้าที่มนุษย์ก็ยังคงจะทุ่มเทกำลัง สมอง ความคิด ที่จะทำลายล้างกันต่อไป บางทีอาจจะไม่จบจนกว่าจะไม่มีอะไรเหลือให้ทำลาย...


Imagine -- John Lennon And The Plastic Ono Band

Imagine there's no heaven
It's easy if you try
No hell below us
Above us only sky

Imagine all the people
Living for today...

Imagine there's no countries
It isn't hard to do
Nothing to kill or die for
And no religion too

Imagine all the people
Living life in peace...

You may say I'm a dreamer
But I'm not the only one
I hope someday you'll join us
And the world will be as one

Imagine no possessions
I wonder if you can
No need for greed or hunger
A brotherhood of man

Imagine all the people
Sharing all the world...

::ภาพจาก CNN.com:: (Click to see bigger picture)
Another slightly smaller plane approaches the World Trade Center 18 minutes after the first collision.

A second plane, an American Airlines jetliner, crashes into the WTC's south tower, causing a massive explosion.



The two burning towers send thick smoke and ash throughout lower Manhattan.

About an hour after the World Trade Center was first hit, a fire erupted in the Pentagon -- located just outside Washington -- after a plane hits the Defense Department headquarters.

With the south tower down, the north tower continues to burn.


::สวนดอกไม้::
มีคนเคยพูดว่าผู้หญิงพออายุเข้ายี่สิบก็เหมือนเดินเข้าประตูสวนดอกไม้ แต่ละปีที่ผ่านไปก็คือระยะทางที่เดินลึกเข้าไปในสวน ระหว่างทางก็มีดอกไม้ตามรายทางให้เลือก เส้นทางของบางคนก็มีดอกไม้แน่นขนัด เลือกเด็ดกันไม่หวาดไม่ไหว เส้นทางของบางคนก็แห้งแล้งเหลือเกิน ตลอดทางไม่มีดอกไม้เลย คนที่เห็นดอกไม้สวยถูกใจก็เด็ดไปเป็นเจ้าของ บางคนยังไม่ถูกใจก็รอหวังว่าเดินเข้าไปลึกหน่อยจะเจอที่ถูกใจกว่า (ซึ่งบางทีก็เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด เพราะดอกต่อๆ มาที่เจอยิ่งแย่กว่าเดิม หรือบางที่ไม่มีดอกไม้อีกแล้ว) บางคนกว่าจะรู้ตัวอีกที เห็นประตูทางออกสวน (อายุ ๓๐) อยู่ตรงหน้าแล้ว พอมือจับประตูทางออกสวน เหลือบตาเห็นดอกหญ้าขึ้นอยู่ใกล้ปากประตู อืมม์.. เด็ดขึ้นมาก็ได้(วะ) ดีกว่าออกจากสวนไปมือเปล่า แต่บางคนไม่เจอดอกไม้ถูกใจ ก็เต็มใจจะเดินออกจากสวนมือเปล่า… (I am allergic to flowers ^_^ )