Last Week Roundup

อาทิตย์ที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้นหลายๆ อย่าง วันจันทร์ฝนตกหนักสุดๆ ในย่านสุขุมวิท-อโศก เราต้องไปงานศพที่วัดหัวลำโพง ขึ้นทางด่วนเห็นรถติดยาวมาถึงหน้าด่าน รถเต็มทุกเลน ตัดสินใจอ้อมไปทางด่วนขั้นที่ ๒ กะจะไปลงด่านพระราม ๔ ตรงหัวลำโพง ใช้เวลาประมาณ ๒๕ นาทีบนทางด่วนก็มาถึงตรงทางลงพระราม ๔ แต่ใช้เวลาอีก เกือบ ๒ ชม. บนพื้นราบของถนนพระราม ๔ ทั้งที่ระยะทางไม่กี่กิโลเมตร ฟังรายงานจราจรทางวิทยุ ได้ความว่าน้ำท่วมไปหมด ทั้งอโศก สุขุมวิท พระราม๔ ทำให้รถในเมืองติดสุดๆ มีพี่อีกคนหนึ่งเขาไปที่วัดนี่ด้วยเหมือนกัน แต่เขาเลือกไปทางด่วนขั้นที่ ๑ ถึงแม้จะเห็นรถเต็มไปหมดทุกช่องทาง ปรากฏว่าเขาตัดสินใจถูก เขาใช้เวลาน้อยกว่าเราเกือบชั่วโมง นานกว่าที่ควรจะเป็นแต่ก็ไม่ใช่ ๒ ชั่วโมงกว่าอย่างเรา ไม่น่าเป็น Murphyist เลย เวลามี Choice ให้เลือกทีไร เราก็มักเลือกทางที่มันไม่ Work ทุกทีไป

วันพุธตั้งใจว่าจะต้องทำข้อสอบ Take Home (การบ้านชิ้นสุดท้ายก่อนจะเรียกว่าเป็นการปิดเทอมอย่างแท้จริง) เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมา เสียงอ่านฮาร์ดดิสก์ดังแกรกๆ น่าประหลาดใจ และใช้เวลานานมากในการ Load Windows แล้วก็พบว่า Load Startup Menu ไม่ได้ ทำอะไรต่อไม่ได้ เห็นไฟอ่านฮาร์ดดิสก์ ติดอยู่ตลอดเวลา แต่ "มัน" ไม่ยอมทำอะไรต่อ ก็เลยปิดเครื่องแล้วเปิดใหม่ "มัน" ก็ทำท่าหาฮาร์ดดิสก์ไม่เจอ โอย.. ตายแน่เลยเรา คอมพิวเตอร์เป็นสุดยอดนวัตกรรมของยุคนี้ ช่วยเราทำงานสารพัดสารเพ แต่พอมัน Fail ขึ้นมา มันคือ สาเหตุของอาการหัวใจวายและช็อค เนื่องจากการขาดข้อมูล สาเหตุของอาการตัดสินใจไม่ได้ ว่าควรยกซีพียูขึ้นมาทุ่มออกไปทางหน้าต่าง หรือควรเตะตัวเองแรงๆ ที่ไม่รู้จัก Backup ข้อมูล ฯลฯ

บางคนอาจรู้ว่าเรากำลังเรียนด้าน IT อยู่ แต่อาจจะไม่รู้ว่า ความสามารถทางด้านคอมพิวเตอร์ของเราอยู่ในระดับ Virtual นั่นคือ Virtually Zero ไม่มีความรู้ฮาร์ดแวร์อะไรเลย ประมาณว่า CPU กับ RAM หน้าตาเป็นยังไง ต่างกันยังไง ไม่รู้ Hard Disk อยู่ตรงไหน การ์ดจอ Sound Card อะไรไม่รู้ทั้งสิ้น พอคอมพิวเตอร์เจ๊งแบบนี้ มีทางเดียวที่จะแก้ปัญหาได้… เอาไปให้คนอื่นซ่อม

ความจริงเราว่าจะ Upgrade เครื่องที่บ้านมาตั้งพักใหญ่แล้ว แต่มันยังพอใช้การได้ ก็แค่พิมพ์งาน กับ Surf Internet ซึ่งไม่ได้ต้องการเครื่องที่เริ่ดซะแมนแตนอะไร แต่พักหลังๆ มันชัก Hang บ่อยๆ และ ฮาร์ดดิสก์ก็ชักใกล้เต็ม (มีแค่ ๒ กิ๊กเองอ่ะ) ก็เลยว่าจะซื้อดิสก์ใหม่ซักลูก แล้วก็ว่าจะลง Windows ใหม่ด้วยเลย (ยังใช้ Win 95 อยู่เลย) ก็มัวแต่ว่าจะๆ อยู่นั่นแล้ว พอมาเกิดเหตุการณ์แบบนี้เข้า เห็นจะเป็นบัญชาจากสวรรค์ว่า ถึงเวลาอัพเกรดเครื่องแล้วเฟ้ย สรุปว่าคืนวันพุธไม่ได้ทำการบ้าน ต้องส่งวันศุกร์ นิจวรรณเกิดอาการปวดกระบาลเพิ่มขึ้นมานอกเหนือจากอาการอยากเตะตัวเอง

เช้าวันพฤหัสโทรคุยกับก๊อใหญ่ (ก๊อ เป็นภาษาจีนแคะหรือจีนฮากกา แปลว่าพี่ชาย) ขอเบอร์หมอโกร่งเพื่อนก๊อที่เป็นหมอฟันมีคลีนิกอยู่แถวหลักสี่ เราจะเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ไปให้เขาดูให้ อืมม์… ฟังแล้วประหลาดใช่ไหม เอาเครื่องคอมพิวเตอร์ไปให้หมอฟันซ่อมให้ คือหมอโกร่งเนี่ยแกจบทั้ตแพทย์ แต่ทำฟันเป็นงานอดิเรก งานหลักคือรับแก้ปัญหาคอมพิวเตอร์ให้เพื่อนๆ น้องๆ (ก๊อใหญ่พี่ชายเราก็จบทันตแพทย์ แต่ตอนนี้มาขายไม้ เพื่อนๆ ของเขาที่จบทันตแพทย์มาด้วยกันก็มีแต่แปลกๆ ส่วนใหญ่ทำฟันเป็นงานอดิเรกกันทั้งนั้น ไม่รู้ว่าตอนเอ็นท์ทรานซ์ ที่บ้านบังคับให้เลือกเรียนหมอฟันกันหรือไง ทำไมไม่เลือกอะไรที่ตัวเองอยากทำให้รู้แล้วรู้รอดกันไป)

โทรไปหาหมอโกร่ง เขาอยู่ที่พันทิพย์ (งานหลักอีกอย่างของหมอโกร่งคือ ไปพันทิพย์) เขาบอกว่า ให้เอาเครื่องไปทิ้งไว้ให้เขาดู แล้วถ้ายังไงเขาจะจัดการให้ สรุปว่า คืนวันพฤหัสเราต้องขอยืมโน้ตบุ๊คของเก๋มาทำการบ้าน นั่งทำไปก็กระดุ๊กกระดิ๊กไป เพราะรู้สึกเหมือนไฟดูด คิดว่าไฟมันรั่วมาจากเครื่องคอม แต่ที่จริงมันเป็นความผิดปกติของตัวเราเอง สงสัยว่าตัวเราคงจะมีความต่ำศักดิ์ เอ้ย ความต่างศักย์ (ไฟฟ้า) ต่ำ ทำให้ไฟฟ้ามันจะไหลเข้ามาที่ตัวเรา เพราะอย่าง เวลาที่เราจับตัว Casing ของคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าตอนจะถอดสายไฟ ก็จะรู้สึกว่าโดนไฟดูด นึกโมโหว่า ทำไมคนขายเครื่องไม่ยอมต่อ Ground ให้ฟะ แต่พอเรียกเก๋มาถอดให้ เก๋ทำหน้าเฉยๆ ไม่เห็นมีอาการสะดุ้งสะเทือน

วันศุกร์หมอโกร่งโทรมาบอกว่า ฮาร์ดดิสก์เจ๊งไปเสียแล้ว จากเดิมที่พออ่านได้บ้าง ตอนนี้อ่านอะไรไม่ได้เลย มันใช้เวลา Access นานมาก มีข้อมูลอะไรที่สำคัญหรือเปล่า?? จ๊ากก… (อันนี้ร้องอยู่ในใจ) อืมม์… ก็มีอ่ะค่ะ จะกู้อะไรขึ้นมาได้บ้างล่ะคะ ฯลฯ สรุปว่า เราก็ให้เขาแก้ไขจัดการกับคอมพิวเตอร์ของเราตามที่เห็นสมควร

วันเสาร์ก๊อโทรมาบอกว่า คอมพิวเตอร์ของเรา (ที่หลงคิดว่ายังดีอยู่เลย) เหลือแต่ RAM อย่างเดียว อย่างอื่นๆ เก่าแก่เกินกว่าจะใช้การได้ เขาต้องซื้อฮาร์ดิสก์ให้เราใหม่ พอดีเราบอกว่า อยากได้จอ ๑๗ นิ้วด้วย ก็เลยต้องเปลี่ยนการ์ดจอ อืมม์อย่างนี้ CPU ก็ชักไม่ค่อยไหวแล้วนะ อัพเกรดไปด้วย อ้าว… Sound Card ก็เก๊า เก่า ฯลฯ ฯลฯ พอเรามาเห็นเครื่องตัวเองก็ตกกะใจ กลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม แม้แต่ Casing ก็ต้องเปลี่ยนเหรอนี่ สรุปว่าที่ก๊อบอกว่าเหลือแต่ RAM ก็คือเหลือแต่ RAM จริงๆ

หมอโกร่งบอกว่า เครื่องเรา ๓ ปีแล้ว ถ้านับเป็นรุ่นๆ ก็ตกรุ่นไปประมาณ ๑๐ รุ่น คน Minimalist และ Anti-Technology อย่างเรารับไม่ค่อยได้อ่ะ ก็มันยังใช้ได้อยู่เลยนี่ แค่พิมพ์งานก็เล่นอินเตอร์เน็ทเอง เราว่าเป็นเพราะพวกคนขายคอมพิวเตอร์กับพวกคนขายซอฟต์แวร์ที่พยายามผลักดันเราให้ไปทางนี้ เขาพยายามสร้างความต้องการที่ไม่จำเป็นขึ้นมา (ต้องใช้รุ่นนี้สิ ไม่งั้นตกยุค) แต่ถามว่าใช้ของทันสมัยเจี๊ยบแล้วทำงานได้เร็วขึ้นไหม เราว่าไม่น่าจะใช่ อย่างน้อยก็ไม่น่าจะเร็วมากจนคุ้มกับการลงทุน แต่ก็มีคนเห็นเป็นเรื่องคุ้ม อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์เขียนไว้ว่า "…ถ้าจะมีคอมพ์เพียงไว้แทนพิมพ์ดีดชั้นดี เก็บข้อมูลบ้างนิดหน่อย ทำบัญชีบ้าง ก็ใช้รุ่น 486 ที่เขากำลังโละทิ้งกันก็พอแล้วไม่ใช่หรือครับ จะบ้าตามเครื่องตามโปรแกรมไปทำไม คำตอบก็คือ ถ้าไม่ตามไปจะอยู่ที่ยอดคลื่นของไฮเทคได้อย่างไร แต่บังเอิญลืมถามตัวเองว่า แล้วจะทะลึ่งขึ้นไปอยู่บนนั้นทำไม…" เราเห็นด้วยจังเลย (อ่านที่บทความอาจารย์นิธิเขียนต่อ คลิกที่นี่ ถ้ามัน Error ให้ลองคลิก Refresh/Reload ดู เพราะเว็บของมติชนมักมีปัญหา Load ไม่ค่อยได้เสมอเลย ว่างๆ ต้องอีเมล์ไปบ่นซะแล้ว)

หมอโกร่งกู้ข้อมูลมาได้บางส่วน ตอนที่ลองพยายาม Access ฮาร์ดดิสก์ แกมองเห็น Folder ชื่อ nitchawan ก็เลย Copy ออกมาก่อน แต่ปรากฏว่าข้อมูลอีกส่วนหนึ่งเป็นของเก๋ อยู่ใน My Document พอเราไปบอกเก๋ว่าท่าทางข้อมูลคงเอากลับมาไม่ได้แล้ว เอาออกมาได้แค่ที่อยู่ใน nitchawan เก๋ทำหน้าแบบจะหัวเราะก็มิได้จะร่ำไห้ก็มิออก บ่นบอกว่า นี่ถ้าเขารู้จักสร้าง Folder ชื่อ naraporn ขึ้นมาเก็บไฟล์ คงจะได้อะไรคืนมาบ้าง คุยกับหมอโกร่งก่อนที่แกจะกลับบ้านไป ก็ยังจะมีความหวังว่า แกอาจจะพยายามกู้ไฟล์ขึ้นมาได้เพิ่มอีก (เอาเฉพาะ My Document ก็พอค่ะ นะคะ นะคะ ฮือๆ เสียงฮือๆ หลังนี่เป็นของเก๋)

บ่ายวันเสาร์เอารถไปซ่อมกระจกไฟฟ้า รถเรากระจกเสียมา ๒ อาทิตย์แล้ว ตอนแรกก็ยังเสียไม่มาก กดขึ้นลงสะดุดเล็กน้อย เราไปถามที่ศูนย์บริการรถใกล้ที่ทำงานเรา เขาบอกว่าต้องเปลี่ยนมอเตอร์ ค่าอะไหล่เจ็ดพัน ฟังแล้วกระอักเลือด บอกเขาว่ายังไม่เปลี่ยนดีกว่า เพราะมันก็ยังพอใช้การได้ แต่ต่อมามันก็เสียอย่างสมบูรณ์แบบ คือกดลงแล้วกดขึ้นไม่ได้ (ต้องทุลักทุเลเอามือดันขึ้นไปแทบตายกว่าจะปิดได้ ต่อจากนั้นเราก็ไม่กล้าเปิดมันอีก) ก็เลยต้องยอมจำนน เจ็ดพันก็เจ็ดพันวะ แต่พอดีเราคิดว่าจะให้เก๋เอาไปทำที่อู่ที่เก๋เคยใช้ประจำดีกว่า เนื่องจากว่าอู่นี้ค่าแรงกับค่าอะไหล่จะถูกกว่าเล็กน้อย (จากเจ็ดพัน อาจจะเหลือหกพัน) แต่ปรากฏว่าเขาไม่มีอะไหล่ ต้องรอสั่งประมาณ ๑ อาทิตย์ ในระหว่างที่รอ เวลาผ่านเข้าออกตึก จะต้องเปิดประตูรถออกไปทั้งบาน เพื่อรับบัตรผ่านเข้าตึก หรือเวลาจ่ายค่าทางด่วนก็ต้องเปิดประตูออกไปทั้งบานเหมือนกัน ช่วงนี้ฝนก็ตกบ๊อย บ่อย เหมือนเทวดาฟ้าดินจะกลั่นแกล้ง เวลาเปิดประตูรถออกไปฝนก็ตกเปียกแขน…

พอดีเราคุยกับพี่เอ (พี่ที่เคยไปเรียนที่ Sheffield ด้วยกัน) เรื่องจะนัดกันกินข้าวอาทิตย์นี้ เราก็เลยบ่นให้พี่เอฟังเพราะใช้รถยี่ห้อเดียวกัน พี่เอเลยแนะนำว่าให้ลองไปที่ร้านโชว์ตงที่ถนนจันทน์ บอกว่า เป็นร้านซ่อมประตูรถยนต์ เราก็เลยคิดว่าจะลองไปดู ปรากฏว่าต้องขอขอบคุณพี่เอ และขอชื่นชมเจ้าของร้านโชว์ตงอย่างสุดซึ้ง เจ้าของร้านนี้เขาแปลกๆ นะ ไม่ค่อยพูดค่อยจา พอเราบอกว่ากระจกไฟฟ้าพัง เขาก็มาลองกดๆ ดู แล้วก็บอกว่าซ่อมได้ แต่เขาทำท่าลังเลไม่อยากซ่อม เพราะมีงานค้างอยู่ ประมาณว่าคงทำให้เราไม่ทัน ไม่งั้นก็ต้องผิดสัญญากับลูกค้าคนอื่น แต่เขาคงเห็นเราทำหน้าละห้อย ก็เลยบอกให้ลูกชายเขามาจัดการซ่อมให้เรา

เรานั่งรอไป ดูเขาทำงานไป ถอดโน่น ไขนี่ออกมา ตอกสกรูโป๊กเป๊ก ในที่สุดก็ถอดชุดมอเตอร์ออกมาได้ เขาแกะมอเตอร์ออกมาดูปรากฏว่า เฟืองที่เป็นพลาสติกมันแตก เขาเปลี่ยนเฟืองให้เรา แล้วใส่กลับเข้าไป กระจกเราก็กดขึ้นลงได้อย่างเดิม เขาใช้เวลาทำนานเหมือนกัน ประมาณชั่วโมงกว่าๆ ระหว่างนี้ก็มีลูกค้าอื่นๆ เข้ามา แต่เขาต้องปฏิเสธไป บอกว่าให้มาใหม่วันจันทร์ เพราะเขาทำไม่ทันแล้วจริงๆ เราโชคดีที่มาก่อน แล้วก็ทำหน้าละห้อยได้เก่ง

พอทำเสร็จ เราถามเถ้าแก่เจ้าของร้านว่าเท่าไหร่คะ แกเหมือนจะอึ้งๆ ไปเล็กน้อยก่อนจะบอกว่า "หนึ่งพันบาท" เราแทบจะร้อง "ฮูเร!!" ออกมา รีบหยิบเงินจ่ายให้แกแทบไม่ทัน แบบว่าจากเจ็ดพันเหลือ พันเดียว เป็นเพราะเขา"ซ่อม" ให้เรา ถ้าไปที่อู่ เขาไม่ได้ซ่อมหรอกนะ เขาเปลี่ยนมอเตอร์ชุดใหม่ให้เลย ทั้งๆ ที่ตัวที่เสียมันคือแค่เฟืองอันเดียว เราว่าศูนย์บริการรถยนต์ต่างๆ สมัยนี้เขาไม่ได้มีไว้ซ่อมรถหรอก เขามีไว้ขายอะไหล่ราคาแพงๆ ช่างประจำศูนย์ไม่ได้ทำหน้าที่ซ่อม แต่ทำหน้าที่ถอดอะไหล่เก่าออก แล้วก็ใส่อะไหล่ใหม่เข้าไป เขาทำเป็นแค่นั้นหละ อ้อ… ไม่ใช่สิ ทำเป็นอีกอย่างหนึ่ง คือคอยจับผิดว่าอุปกรณ์อะไรใกล้จะเจ๊งแล้ว ก็จะรีบมาบอกเรา (ด้วยสำเนียงขู่ๆ) ว่า ไอ้นั่นมันเสื่อมสภาพแล้วนะ ถ้าไม่เปลี่ยนจะเป็นอันตราย ตอนก่อนเราจะขับรถเข้าไปเช็คสภาพที่ศูนย์ (ไม่) บริการ เราว่ารถเราก็ยังดีๆ อยู่ แต่พอให้เขาเช็ค เขาจะบรรยายอะไรต่ออะไรซะจนเหมือนรถเราจะพังไม่มีชิ้นดี เรายังงงๆ ว่าแล้วเมื่อเช้าเราขับมาได้ยังไงฟะ อืมม์… ไม่เกิดมาเป็นช่างซ่อมรถมั่งก็แล้วไป!!!