Paint your home...

วันอาทิตย์ ไปทอดกฐินที่วัดหนองขามที่เพชรบุรี ตอนเช้าแม่ต้องมาแซะขึ้นจากเตียง ไปถึงที่วัดก็ทำตัวสมเป็นบัวเหล่าที่ ๕ (บัวใต้คอนกรีต) ระหว่างที่พระสวด เราก็นั่งพนมมือแต้ พร้อมก้มหัวเป็นจังหวะ ไม่ได้กราบพระ แต่สัปหงก พระเทศน์ให้ฟัง ก็ผงกหัวเป็นจังหวะ ไม่ใช่เข้าใจลึกซึ้งในรสพระธรรม แต่สัปหงกอีกเช่นกัน แต่ก็ได้ยินแว่วๆ (เสียงธรรมทะลุผ่านคอนกรีตได้นะท่านทั้งหลาย)

พระท่านเทศน์เรื่องให้รู้จักทำบุญทำทาน อย่างก (อ่านว่า "อย่า-งก" ไม่ใช่ "อย่าง-ก") มีเรื่องเล่าว่าเศรษฐีเป็นคนงก รวยแต่ไม่ยอมทำบุญ เอาสมบัติฝังไว้ใต้ดิน พอตัวตายไปเลยไม่ได้ไปผุดไปเกิด แต่ต้องไปเกิดเป็นจระเข้เฝ้าสมบัติ เศรษฐีเลยมาเข้าฝันน้องสาว ให้ช่วยขุดสมบัติที่ซ่อนไว้ไปทำบุญ ตัวเองจะได้ไปผุดไปเกิด น้องสาวไปขุดก็เจอสมบัติ ก็เลยเอาไปทำบุญตามฝัน ในระหว่างที่พายเรือไปทำบุญ จระเข้เศรษฐีก็ว่ายน้ำตามไปจนถึงวัด แล้วสิ้นลมไปเพราะความเหนื่อย (เอ... ว่าแต่จระเข้มี "ลม" ให้สิ้นหรือเปล่าหนอ) ได้ไปผุดไปเกิดเสียที พระท่านว่าเราก็เลยจะเห็นจระเข้ตามที่ต่างๆ ในวัด ก็มีที่มาดังนี้แล…

ตอนที่เราฟังถึงตอนที่ว่า น้องสาวพายเรือไปทำบุญ ก็สงสัยว่าเรื่องนี้จะจบยังไง คือจระเข้เศรษฐีต้องตายแน่ๆ ไม่งั้นไม่ได้ไปผุดไปเกิด แต่จะตายยังไงล่ะ ถ้ามีคนอื่นมาฆ่าจระเข้ก็ไม่ได้ คนที่ฆ่าก็บาป ปรากฏว่าพระท่านหาตอนจบจนได้ นี่ไม่รู้ว่ามีวิญญาณการดูหนังมากเกินไปหรือเปล่า แบบว่าชอบลุ้นว่า ตอนจบจะเป็นยังไง ฟังเทศน์ก็ยังลุ้น (หมายเหตุ--เรื่องเล่าอาจะมีผิดบ้างถูกบ้าง อาจมีต่อเติมเสริมแต่งบ้าง เพราะเราปะติดปะต่อเรื่องราวเอาจากตอนที่ฟังกับตอนที่หลับ)

วันอาทิตย์เย็น ไปกินข้าวกับ "๔ สาวเกลสตรีท" คือ พี่ๆ ที่เคยเรียนที่ Sheffield ด้วยกัน มีพี่เอ (ที่แนะนำเราให้เอารถไปซ่อมกระจกไฟฟ้าที่ร้านโชว์ตง) พี่บี เป็นฝาแฝดของพี่เอ (เวลาเรียกรวมกันก็เป็นพี่เอบี) พี่หมวย แล้วก็พี่หนิง ที่เรียก ๔ สาวเกลสตรีท เพราะสมัยอยู่ Sheffiled หลังจากที่ต้องย้ายออกจากหอพักที่มหาวิทยาลัยจัดให้ (เขาจะมีหอพักให้เฉพาะช่วงเปิดเทอมปกติของ Undergrad พวก Postgrad ต้องทำ Dissertation ต่ออีก ๓ เดือน ต้องหาที่พักเอง) ก็ช่วงกันหาที่พัก ไปได้ Flat อยู่ที่ Gell Street เขาอ่านว่า "เจลสตรีท" นะ (ที่เรารู้เพราะเจ้าของเขาอ่านแบบนั้น) แต่ก็ยังมีคน (ฝรั่ง) อ่านผิดเป็น "เกลสตรีท" ด้วย ประมาณว่า ฝรั่งก็อ่านผิดอ่านถูกได้เหมือนกัน หลังๆ เราก็จะเรียก Flat ที่เราอยู่เกลสตรีทบ้าง เป็นมุขที่รู้กันเอง

เราไปกินกันที่ร้าน รถเสบียง เราไปถึงคนแรก ตามด้วย พี่เอบี (พี่เอบีเดินมาโต๊ะที่เรานั่งได้ถูก เพราะเขาเห็นรถเราจอดหน้าร้าน เลยบอกพนักงานว่ามีเพื่อนมาก่อนแล้ว คนสวยๆ น่ะ –เอิ๊กๆๆ) แล้วก็พี่หมวย พี่หนิงมาเป็นคนสุดท้ายทั้งที่เป็นคนเลือกร้านและรู้จักทางดีกว่าคนอื่น อ้างว่าติดรอรถไฟ (ร้านอยู่ใกล้สถานีรถไฟสามเสน) พี่หมวยมาถึงก็บ่นว่า สงสัย Birthday Syndrome ของเราจะเป็นจริง เพราะช่วงนี้ซวยเหลือเกิน วันจันทร์รถแกโดนต้นไม้ล้มมาทับ (จากเหตุการณ์ฝนตกหนักที่เราเล่าไปเมื่อวันก่อน) เอารถไปทำเพิ่งเสร็จ แต่เหม็นสีกลิ่นระงมไปหมด ก็เลยเปิดกระจกโล่งทุกบาน ปรากฏว่ากระจกเสีย เอาลงแล้วเอาขึ้นไม่ได้ (รู้สึกว่าเหตุการณ์คุ้นๆ ละซี)

พี่หมวยเอาไปให้ที่ศูนย์(ไม่)บริการดู เขาบอกว่าต้องเปลี่ยนมอเตอร์ ราคาสี่พันห้าค่ะ แถมเขายังไม่ยอมทำให้เลย บอกให้มาอีกทีวันอังคาร พร้อมกับเอากระจกขึ้นให้ แล้วเอาเทปกาวติดยึดกระจกไว้ พี่หมวยก็เดือดสิคะ แต่ในที่สุดก็โทรหาพี่เอถามเรื่องร้านโชว์ตง เพราะรู้ว่าเราเพิ่งเอารถไปซ่อมกระจกมา แล้วพี่หมวยก็เลยซิ่งรถลุยฝนไปที่ร้าน ปรากฏว่าเขาปิดวันอาทิตย์ แต่พี่หมวยก็กลั้นใจไปกดกริ่ง เจ้าของร้านก็ดีใจหาย ยอมละจากเกมโชว์ทางทีวีที่ดูอยู่มาซ่อมให้ แกคงเห็นว่าฝนตกๆ พี่หมวยเสียตังค์ไปสี่ร้อยห้าสิบบาท สี่ร้อยห้าสิบบาทกับสี่พันห้าที่อู่ตีราคาแถมไม่ยอมทำให้เลย คิดดูก็แล้วกันจะไม่ให้เรียกว่าศูนย์ไม่บริการได้ยังไง

พี่หนิงเพิ่งย้ายงาน ตำแหน่งงานเป็นอะไรยังคลุมเครือมาก แต่ได้ทำอะไรแปลกๆ (ที่ไม่คิดว่าคนที่จบวิศวฯจะต้องมาทำ) เยอะเลย แกเล่าว่าที่บริษัทมีให้ไปอบรม (อะไรซักอย่างพอดีตอนแรกที่แกเล่าฟังไม่ทัน) ประมาณว่า เกี่ยวกับบุคคลิกภาพ มารยาทต่างๆ คนอบรมเขาบอกว่า ผู้หญิงน่ะ ต้องแต่งหน้า นะถึงจะดูดี (พวกเราไม่มีใครแต่งหน้าเลย ยกเว้นพี่หมวย) "ผู้หญิงที่ไม่แต่งหน้าก็เหมือนกับบ้านที่ไม่ได้ทาสี" พวกเรา (พี่เอบี กับเรา) ก็บ่น แหม... เกินไปแล้วมั้ง พี่หนิงบอกว่าไม่ใช่แค่นั้น ยังมีผู้ชาย (ปากจัด) ที่ไปด้วยต่อให้ฟังว่า “บ้านไม่ได้ทาสี ก็ขายไม่ด้ายยยย” จ๊ากกกก พี่หมวยบอกว่า “ดูสิ มีพี่คนเดียวที่แต่งหน้า พวกน้องๆ ไม่แต่งหน้ากันไม่เป็นไร แต่พี่น่ะไม่ได้หรอก พี่ต้องแต่งหน้า” พวกเราก็พยักหน้า “ใช่ค่ะๆ พี่หมวยเป็นถึงครูบาอาจารย์ต้องดูดี” พี่หมวยบอกว่า “ไม่ใช่... บ้านพี่เก่าแล้ว!!” หึหึ


เรื่องหน้าแตกเมื่อวันก่อน

เอารถไปจอดหน้าร้านขายอาหารตามสั่งตรงแถวเกษตรฯ เขาเขียนป้ายติดไว้ว่าอย่าจอดรถใกล้ร้านมากเกินไป แต่เราก็เอารถเข้าไปจอด เพราะตรงอื่นมันไม่ว่าง ก็เลยเกิดอาการเกรงใจ พอดียังไม่ได้กินข้าวด้วย ตอนเสร็จธุระจะกลับ ก็เลยสั่ง “ข้าวผัดกระเพราหมูสับใส่กล่องค่ะ” คนขายบอกว่า “ไม่มีหมู” เราก็อึ้งๆ ไป อืมม์... สงสัยเย็นแล้วโปรตีนคงหมด “งั้นมีอะไรบ้างล่ะคะ มีไก่ไหม เอาไก่ก็ได้” เขาบอกว่ามี “เอาไก่สับใช่ไหม” เราก็พยักหน้า ระหว่างที่ยืนรอ ก็มองโน่นมองนี่ มองไปก็เห็นตัวหนังสือยึกยือเป็นภาษาอาหรับ เริ่มสำเหนียกถึงความผิดปกติ แล้วก็เหลือบไปเห็นป้ายรายการอาหารเบ้อเริ่มที่อยู่หลังคนขาย เขียนว่า “อาหารตามสั่ง ร้านอาหารอิสลาม” โอ๊ย... ตายๆๆๆ ดีเขาไม่เอาตะหลิวมาเคาะหัวเรา (แต่ความผิดนี้ก็ยังรุนแรงน้อยกว่า อดีตสส. ที่แนะนำให้เอาระเบิดน้ำมันหมูไปถล่มอัฟกานิสถานอ่ะนะ) เราก็เลยบอกคนขายว่า “ขอโทษนะคะ พอดีไม่รู้ว่าเป็นร้านอิสลาม” คนขายยิ้มหวาน บอกว่าไม่เป็นไรแต่เราว่าเขาคงคิดว่า “ไม่รู้ได้ไงวะ ป้ายเบ้อเริ่มเทิ่มขนาดนั้น” เฮ้อ....