Nitchawan Says...

เราเพิ่งไปดู A.I. มา ทั้งๆ ที่คนส่วนใหญ่ที่ไปดูมาแล้ว บอกว่า อย่าไปดู ไม่สนุก ยาวไป น่าเบื่อ ก็เลยคิดว่า ไม่ไปดูดีกว่า แต่มันมีเหตุให้ "ต้อง" ไปดู คือ พี่ปุ๊กกับพี่หญิงเขาไปดูมาก่อน แล้วก็บอกว่า "ง่วงมาก ไม่สนุก อยากเดินออก" แต่พี่หนิงไปดูแล้วบอกว่า "สนุก ไม่รู้สึกเลยว่า หนังยาว พอหนังจบออกมา ดูนาฬิกายังตกใจว่า เฮ้ย.. หนังยาว" พี่ปุ๊กกับพี่หนิงคุยกัน แล้วในที่สุดก็บอกว่า "อย่างนี้ต้องให้นิจวรรณไปดู…" นิจวรรณในฐานะ "สมาชิกชมรมวิจารณ์บันเทิง" ก็เลยต้องไปดู A.I.

กว่าจะได้ดูก็ต้องใช้ความพยายามมากเลยนะ ต้องไปดูที่เมเจอร์ซีเนเพล็กซ์ เนื่องจากที่ UA แถวๆ บ้านเขาเลิกฉายไปแล้ว แถมวันแรกๆ ที่พยายามจะไปดู เขาดันเอามันไปฉายในโรงที่มีแต่ Honeymoon Seat เราก็คิดว่า ถึงแม้จะมีหน้าที่ของการเป็นกรรมการชี้ขาด แต่ก็ไม่ควรต้องทุ่มเทจ่ายค่าตั๋วเข้าไปนั่ง"ซี๊ด" อยู่ในโรงหนังที่เขาไปกันเป็นคู่ๆ (นั่งซี๊ด เพราะตาร้อนและเพราะแพง ก็เขาขายตั๋วหนังทีละ ๒ ใบอ่ะนะ ถ้าไปคนเดียวก็ต้องซื้อ ๒ ใบ เราก็เคยบ่นๆ ว่าทำไมแบบนี้ฟะ ถือเป็นการเลือกปฏิบัติกับคนที่ไปดูหนังคนเดียวอย่างเรา แต่มีคนบอกว่า "แล้วคนที่ไม่รู้จักกัน ใครที่ไหนเขาจะอยากมานั่ง Honeymoon Seat กับเธอ" อืมม์… มีเหตุผล… แต่พอเขาว่าเราจบ เขาก็ดันได้ไอเดียปิ๊งออกมาว่า "เฮ้ย… อย่างนี้แทนที่จะทำ Honeymoon Seat น่าทำ Blind Date Seat ขายแต่คนมาเดี่ยวๆ จัดให้ผู้ชายนั่งกับผู้หญิง น่ากลัวขายดีเป็นเทน้ำเทท่า" ดูสิ ว่าเข้าไปนั่น ว่าแต่ว่า ท่าทางจะมีเพื่อนๆ หลายๆ คนเริ่มสนใจ Blind Date Seat แล้วใช่ไหมล่ะ เอิ๊กๆ) อ้าว… ออกนอกเรื่องไปอีกแล้ว… ก็ในที่สุดก็ได้ไปดูจนได้อ่ะนะ เมื่อวันพุธที่ผ่านมานี่เอง

ปกติเรากับพี่ปุ๊กมักจะมีความคิดคล้ายๆ กัน และมักจะไม่ค่อยตรงกับพี่หนิง คราวนี้ก็เช่นกัน เราอุตส่าห์เข้าไปดู A.I. ด้วยความคาดหวังที่ต่ำสุดๆ แต่ปรากฏว่าก็ยังไม่วายรู้สึกว่าน่าผิดหวัง หนังไม่มี Chemistry ระหว่างเดวิด เด็กที่เป็น Mecha (สะกดอย่างนี้หรือเปล่า? เห็นเขาบอกว่า หุ่นยนต์เป็น เมกก้า Mechanical ส่วนคนเป็น ออก้า Organic) กับมอนิก้า ผู้หญิงที่รับเดวิดมาเลี้ยงเลย ไม่รู้สึกว่ามอนิก้าจะมีความรักความผูกพันกับเดวิดสักเท่าไหร่ เพราะถ้ารักจริงๆ ก็น่าจะพยายามเลี้ยงต่อ แต่นี่เอาไปทิ้งได้ลงคอ แล้วก็ทำไมไม่เอาไปคืนให้เขาทำลายทิ้ง เอาไปปล่อยยิ่งแย่ใหญ่ โดนไล่ล่าอุตลุดเลย จะว่าไปก็เหมือนเป็นความจงใจที่จะทำให้หนังสามารถมีเรื่องมาดำเนินต่อๆ ไปได้

เรารู้สึกว่าหนังไม่มีเอกภาพ แรกๆ บรรยากาศเหมือนกับว่า ชีวิตประจำวันไม่ได้ต่างไปจากปัจจุบันเท่าไหร่ แต่พอหลังจากที่เดวิดโดนทิ้ง โทนหนังเปลี่ยนไปเป็นแบบอนาคตแฟนตาซี ที่ออกแนวหม่นๆ บ้านเมืองแย่ๆ ไม่น่าอยู่ (ให้อารมณ์คล้ายๆ กับ Escape from NY/LA ที่ Kurt Russell เล่น หรือ Total Recall และเรื่องอื่นๆ) แล้วก็มีเรื่องอะไรต่ออะไรที่ไม่จำเป็น เป็นต้นว่าตัวละครที่เป็นหุ่นยนต์ขายบริการ Joe น่ะ ไม่ต้องมีก็ได้ ความจริงมีแค่ Supertoy เท็ดดี้ก็พอแล้ว (สงสัยต้องการจะให้ Jude Law สุดหล่อของเราได้แสดงด้วย) พวกบทหรือคำพูดของ Joe ก็ Cliche สุดๆ การเอา Cliche มาใช้เนี่ย ถ้าใช้ดีๆ นี่มัน "โดน" เลยนะ แต่ถ้าใช้ไม่ดี (อย่างในเรื่องนี้) มันกลายเป็นเฝืออ่ะนะ

มีหลายคนบอกว่าหนังยืดยาวไม่จบซะที เราเห็นด้วยอย่างยิ่ง ก็คิดดูสิว่าเคยเจอไหม หนังที่ทำให้คนดูรู้สึกว่าหนังจบแล้ว ได้ตั้ง ๒ รอบ ๓ รอบ (เราได้ยินเสียงคนขยับเตรียมลุกออกจากโรง) ความจริงหนังควรจะจบได้ตั้งแต่ตอนที่เดวิดกลับมาที่แมนฮัตตัน พบว่าตัวเองเป็นเพียงหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง แล้วก็กระโดดน้ำตาย แล้ว เพราะแค่นั้นก็ proof ประเด็นที่ว่า หุ่นยนต์สามารถที่จะรักได้ และคิดอะไรๆ ที่เป็นเรื่องของอารมณ์ได้ แต่เขาไม่ยอมจบ เขายังไปต่ออีก

เราก็คิดว่า ถ้างั้นพอถึงตอนที่เดวิดไปติดอยู่ในเฮลิคอปเตอร์ที่ดำน้ำได้ จมอยู่ใต้ทะเลหน้า Blue Fairy แล้วก็เพียรขอพรนางฟ้า ให้เสกให้ตัวเองกลายเป็นเด็กจริงๆ ก็จบได้แล้วนะ หุ่นยนต์ก็มีความเชื่อแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ยอมจบ ต้องรอให้ทะเลกลายเป็นน้ำแข็ง เวลาผ่านไปอีก ๒๐๐๐ ปี มนุษย์มีวิวัฒนาการจนไปคล้ายกับเอเลี่ยน ตัวยาวๆ มือไม้ไม่มี มีแต่แขนขายาวๆ เป็นแท่งๆ แล้วก็ใช้การสื่อสารโดยการสัมผัสแทนที่จะใช้เสียง มนุษย์พวกนั้นมาขุดเดวิดออกจากซากน้ำแข็ง เดวิดกลายเป็นสิ่งมีค่าที่สุด เพราะข้อมูลที่มีอยู่ใน Memory ของเดวิดเป็นที่เก็บอดีตกาลของมนุษยชาติ ฯลฯ เขายืดหนังออกมาอีกสิบกว่านาที เพียงเพื่อจะบอกว่า หุ่นยนต์ก็ฝันเป็น!?!

เราได้ยินว่า Project นี้เป็น"สมบัติ" ที่ Stanley Kubrick ทิ้งไว้ให้ Steven Spielburg เป็นคนสานต่อ เห็นทีเราคงจะไม่ค่อยถูกอารมณ์กับไอเดียของ Kubrick ในยุคหลังๆ เพราะตอนที่ดู Eyes Wide Shut ก็ไม่ได้ปลื้มซักเท่าไหร่ รู้สึกว่ามันเป็น Controversy เพียงเพราะว่าเป็นหนังเรื่องสุดท้ายของ Kubrick ก็เท่านั้นเอง

จากการไปดู A.I. ทำให้ได้ข้อสังเกตขึ้นมาอีกข้อหนึ่งว่า ความสนุกจากการหนังบางทีไม่ได้เกิดจากตัวหนังอย่างเดียว แต่อาจเกิดจากคนที่เราไปดูด้วยก็ได้ ถ้าไปดูหนังกับคนที่ถูกใจ หนังห่วย ก็ไม่ห่วยเท่าไหร่ๆ หนังดีก็ยิ่งดีใหญ่ (เขาว่าความรักทำให้โลกดูสดใสไง) อันนี้เป็นข้อสังเกตอีกแล้ว ไม่มีหลักฐานมายืนยัน เพราะเราดูหนังคนเดียวซะเป็นส่วนใหญ่ :-)


End of Season

วันนี้ออกเจแล้ว กินอะไรๆ ได้ตามปกติเสียที กินเจคราวนี้รู้สึกว่าไม่นาน แต่เกือบเจแตกไปหลายรอบ วันเสาร์ที่แล้วกลับไปบ้าน เขาทำก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำแดงกัน ก๊อใหญ่ซึ่งปกติไม่ค่อยกินข้าวกลางวันที่บ้าน ก็ยังปรุงก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่ เข้ามากินในห้องแอร์ เราก็กลืนน้ำลายเอื้อก… "โห… ก๊อ.. หอมฉุยเลยอ่ะ" ก๊อตอบว่า "อ้าว… ก็ไปทำมากินสิ ตอนนี้ยังว่าง" (หมายถึงว่า คนที่ทำงานในออฟฟิซเขายังไม่พักเที่ยง ในครัวไม่มีคน) เราบอกว่า "ไม่ได้หรอก… กินเจ" ก๊อก็ทำหน้าแบบว่า "แล้วพูดทำไมฟะ"

พอวันจันทร์ก็มีนัดกับเพื่อนๆ ที่ลาดกระบัง คนนัดก็ช่างกระไรเลย นัดที่ร้านสมบูรณ์โภชนา (อาหารจีน+อาหารทะเล) เราบอกไปว่า "ไปก็ได้ แต่นิจกินเจนะ" เขาก็บอกว่า "แหม… เขาน่าจะมีอาหารเจหรอก ที่ไหนๆ เขาก็มีทั้งนั้นหละ" เราเล่าให้เพื่อนอีกคนหนึ่งฟังว่า เรากินเจ แต่มีนัดที่สมบูรณ์ เพื่อนบอกว่า "คนกินเจ แต่ดันไปสมบูรณ์ บ้าแน่" ก็คงบ้าจริงๆ ทั้งคนชวน และคนรับชวน เพราะไปถึงเขาก็ไม่มีอาหารเจ แต่เพื่อนๆ ผู้แสนดี (ไม่รู้ว่าจะกลัวบาปถ้าจะทำให้นิจต้องเจแตกหรือเปล่า) รีบเอาเมนูมาดูพร้อมกับปรึกษาบริกรสาว ในที่สุดนิจวรรณก็รอดมื้อนั้นมาได้ด้วย ผัดผักบุ้งไฟแดง กับเต้าหู้ทอด

วันพุธพี่หมวยแวะมากินข้าวกลางวันด้วย เพราะเป็นวันเกิดของเจ๊แก… เราเลยเลี้ยงอาหารกลางวันเจ๊ที่เซ็นทรัล เพราะเขามีเมนูเจ ปรากฏว่าเจ๊ชวนไปกินสตาร์บัคส์ต่อ บอกว่าเจ๊เลี้ยงเอง โห.. ถ้าเป็นธรรมดานี่ไม่ลังเลเลย เพราะว่าเป็น Coffee Addicted ขั้นสุดท้ายอยู่แล้ว แต่กินเจนี่มันกินกาแฟไม่ได้ (คงมีคนสงสัยว่าทำไม กินกาแฟไม่ได้… เพราะกาแฟมันคั่วด้วยเนยจ้ะ) เรารอดตัวมาได้ด้วยน้ำฝรั่ง… ทั้งๆ ที่อยากกินกาแฟใจจะขาด เฮ้อ…

วันนี้นิจวรรณกินได้ทุกอย่างแล้ว ใครอยากจะชวนไปกินอะไรว่ามาเล้ยยยย แต่สงสัยคงไม่มีใครชวนหรอก ก็ตามกฏของเมอร์ฟี่ไง ตอนมีคนมาชวน กินไม่ได้ ตอนกินได้ ไม่มีคนชวน อ้อ.. วันนี้ที่บริษัทมีเค้กวันเกิดอีกแล้ว (เย้!!) หลังจากที่เดือนที่แล้วต้องงดไป เพราะเจ้านายที่เป็นอเมริกันเขาบอกว่า เราต้องงดเค้กวันเกิดของเดือนกันยา เพื่อเป็นการไว้อาลัยให้กับเหตุการณ์วันที่ ๑๑ กันยายน ใครว่าเหตุการณ์นี้มันไกลตัว เนี่ยกระทบเราตรงๆ เลยนะเนี่ย