3 Rules

เมื่อวันก่อนฟังวิทยุ ชวลิตออกมาพูดกรณีที่ลูกเหลิมไปมีเรื่องกับกลุ่มตำรวจ จนมีนายดาบตำรวจถูกยิงเสียชีวิต เขาบอกว่าถ้าลูกเหลิมทำผิดจริง ก็ต้องถูกจับมาดำเนินคดีตามกฏหมาย แล้วก็บอกว่ามีกฏ ๓ กฏที่คนเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ หนึ่งก็คือกฏหมาย แล้วก็มีกฏสังคม คือถ้าคนทำผิดสังคมก็ต้องลงโทษ แล้วสุดท้ายก็คือกฏแห่งกรรม เราฟังแล้วก็สงสัยว่า เขาไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า เพราะคราวนี้พูดจาเข้าท่า ปกติเขาจะพูดจาไม่รู้เรื่อง เวลาพูดอะไรออกมาซักทีหนึ่ง ตีความไปประมาณ ๓ กระบวนก็ยังไม่เข้าใจ

เราชักสงสัยว่ากรณีลูกเหลิม กฏหมายอาจจะเอาผิดไม่ได้ เพราะตอนนี้คงไม่มีพยานวัตถุจะมามัดตัวแล้ว (ตอนแรกที่บอกว่ามีวิดีโอเทปถ่ายภาพในที่เกิดเหตุไว้ ก็ไม่มีแล้ว แถมจนบัดนี้ยังตามหาตัวไม่เจอ จะเอามาตรวจเขม่าดินปืนที่มือคนยิงก็ไม่ได้แล้ว เพราะเขม่ามันติดอยู่แค่วันเดียว) พยานบุคคลก็หวังผลได้ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะอาจมีการกลับคำให้การ ไอ้จะหวังกฏสังคม คือให้คนทั่วๆ ไปลงโทษ ด่าว่าประนาม ไม่คบค้าสมาคม ก็คงไม่ได้ ไม่ใช่ว่าคนทั่วไปไม่ประนามหรอกนะ แค่เหตุการณ์อื่นๆ ก่อนหน้านี้ก็ก่นด่ากันระงมอยู่แล้ว แต่ต่อมความละอายแก่ความผิดบาปพวกเขาคงฝ่อไปหมดแล้ว คิดดู คนที่โดนเหยียบหัวแม่เท้า แล้วโกรธควักปืนขึ้นมายิงน่ะ เป็นคนประเภทไหนกันแน่ คงไม่ได้มีการกลั่นกรองความคิดความรู้ผิดชอบชั่วดีอะไรเลย คนประเภทนี้ไม่น่าจะให้ออกมาคบค้าสมาคมกับคนอื่นด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ให้มีโอกาสพกปืนไว้ในครอบครองเลย

ตอนนี้ที่หวังได้ก็คือกฏแห่งกรรม ซึ่งจะว่าไปแล้ว คนที่โดนกฏนี้เล่นงานไปเต็มๆ ก็คือคนที่เป็นพ่อ ใครจะว่ายังไงก็ไม่รู้ แต่เราว่านะ คนที่มีลูกอย่าง ๓ คนนี้ (จริงๆ อยากเรียกว่า ๓ ตัวมากกว่า… เป็นตัวๆ เหมาะสมดี) นี่มันอภิมหากรรมเลยนะ แค่มีลูกเกเรคนเดียว พ่อแม่ก็กลุ้มแย่แล้ว นี่แสบคูณ ๓ เลยนะ ที่เห็นๆ เขาออกมาปกป้องลูก วิ่งเต้นทำโน่นทำนี่ เราว่าเขากำลังใช้กรรมของเขาอยู่ ว่าแต่ว่าทายาททั้ง ๓ นี่จะต้องเจออะไรข้างหน้าเป็นการตอบแทน เราก็ยังคิดไม่ออก แต่คิดว่าคงไม่ใช่ย่อยแน่นอน


Massage

เมื่อคืนมีเหตุการณ์ประหลาด ตอนสี่ทุ่มกว่าๆ เรากำลังนั่งดูอย่างขี้เกียจตัวเป็นขน (นอกเรื่อง>> กอล์ฟเขียนเรื่อง ขี้เกียจ ขี้เกียจ ตอนนี้นิจวรรณก็เป็นเอามากเหมือนกัน กลับถึงบ้านแทนที่จะทำการบ้าน ก็เปิดทีวีเจอ Autumn in New York ฉายทางเคเบิ้ล ความจริงเรื่องนี้ไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ แต่ความที่เป็น Richard Gere ที่ทำให้เรานึกถึง Pretty Woman เรื่องนี้มาเล่นบทวัวแก่กินหญ้าอ่อน กับ Winona Ryder ที่ยังน่ารักเหมือนเดิม ก็เลยดูซะ แล้วก็ติดพันไปเรื่องอื่นๆ แบบว่ารากงอกติดโซฟา) ก็พอดีเจ้าหน้าที่ของคอนโดเขาโทรศัพท์ขึ้นมาบอกว่า มีคนมาหา เราก็งงๆ ใครจะเกิดพิศวาสมาหาเราตอนสี่ทุ่มกันนี่ ก็ถามว่า เขามาหาเรื่องอะไร แทนที่เขาจะถามให้เรา เขาบอกว่า "เป็นผู้หญิงน่ะครับ ผมให้เขาขึ้นไปนะครับ" เรายังงงๆ อยู่ก็เลยไม่ทันได้ตอบ เขาก็วางหูไป

พอซัก ๒-๓ นาทีต่อมา ก็มีคนมากดกริ่ง เราก็ไปเปิดประตู เจอผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นคนที่เราไม่รู้จักแน่ๆ เขาเห็นเราแล้วก็ทำท่าตกใจหน่อยๆ แล้วก็พูดเป็นภาษาอังกฤษ (Broken เล็กน้อย) ว่า "You call for massage?" เราก็ส่ายหัวไป ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เขาก็ทำหน้างงๆ พึมพำกึ่งพูดกับเรากึ่งพูดกับตัวเอง "No?? Oh, sorry" แล้วเขาก็เดินไป เราก็เลยปิดประตู แล้วก็กลับมาดูโทรทัศน์ต่อ

ความรู้สึกก็คือ มันงงๆ เราอดคิดไม่ได้ว่า ใครก็ตามที่โทรเรียกผู้หญิงคนนั้นเขาคงไม่ได้หวังให้มาแค่ Massage อย่างเดียวแน่เลย แต่จะเกินกว่า Massage ไปแค่ไหนก็สุดจะคิด (ไม่อยากคิดมากกว่า) ในคอนโดเรามีชาวต่างชาติมาเช่าอยู่พอสมควร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน เราเดาเอาว่าคงเป็นพวกผู้ชายพวกนี้ที่เรียกใช้บริการ (เพราะผู้หญิงคนนั้นเขาพูดกับเราเป็นภาษาอังกฤษ) คิดแบบนี้แล้วก็สงสารผู้หญิงคนนั้น เดี๋ยวสิ จะว่าสงสารผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ถูกซะทีเดียว เราสงสารการที่เขาต้องมามีอาชีพแบบนี้มากกว่า (ถ้าเขามีอาชีพอย่างที่เราคิดว่าเขามี)

เราเคยได้ยินเรื่องเล่าต่างๆ นานา ว่ากรุงเทพฯ เป็นสวรรค์ของหนุ่มโสดชาวต่างชาติ (ทั้งโสดจริงและโสดชั่วคราว) ชื่อเสียงของพัฒน์พงษ์ดังกระฉ่อน กลายเป็นเทรดมาร์คของกรุงเทพฯ ในสายตาชาวต่างชาติ แต่เรารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่พูดกันเกินจริงไป เราว่าที่ไหนๆ ในโลกก็มีย่านทำนองเดียวกับพัฒน์พงษ์ สุขุมวิท หรือซอยคาวบอยกันทั้งนั้น มันก็เป็นแค่สำหรับคนกลุ่มหนึ่ง แต่มีเพื่อนฝรั่ง (แน่นอนเป็นผู้ชาย) เขาบอกเราว่า เราเข้าใจผิด เขาบอกว่าเมืองไทยมีชื่อเสียงในเรื่องนี้นำหน้าชาติอื่นๆ จริงๆ อย่างน้อยที่สุด เมืองไทยก็เป็นที่เดียวที่ ทันทีที่เขาก้าวเท้าลงจากเครื่องบินก็มีคนรี่เข้ามาเสนอบริการต่างๆ ให้เลือกมากมาย เราก็ไม่รู้จะเถียงเขายังไง เพราะเราไม่เคยเจอ เขายืนยันแบบนั้นก็คงต้องเชื่อ (ลืมถามเขาไปว่า "แล้วยูตอบรับหรือตอบปฏิเสธ?!?")

ปกติแล้วถ้าไม่มีอะไรมากระตุ้นให้ฉุกคิด เราก็มักจะโมเมว่า เรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องที่ไกลตัวมาก ไม่ได้อยู่ในวงโคจรของเราหรือคนที่มีชีวิตธรรมดาๆ ทั่วๆ ไป สถานที่ต่างๆ ที่เขาพูดถึงกัน เราก็เคยแต่ได้ยิน ไม่เคยไปดูให้เห็นกับตาซักที (แล้วก็ไม่เคยคิดจะไปด้วย) เคยขับรถผ่านไปแถวพัฒน์พงษ์ตอนกลางวันครั้งหนึ่ง ตั้งนานแล้วหละ เห็นบาร์ต่างๆ เยอะแยะเลย ถึงเขาไม่ได้เปิดบริการอยู่ แต่มีร่องรอยพอให้เห็นได้ว่ากิจการต่างๆ ในตอนกลางคืนมันจะดำเนินไปอย่างไร (ตามหน้าร้านมีป้ายโปสเตอร์รูปภาพ คำเชิญชวนต่างๆ ประตูเปิดแง้มๆ มองเข้าไปในร้านบรรยากาศดูอับๆ เห็นโต๊ะเก้าอี้วางระเกะระกะ มีเวที มีเคาน์เตอร์ขายเครื่องดื่ม ฯลฯ) เห็นแล้วเรามันเศร้าใจยังไม่บอกไม่ถูก

เหตุการณ์เมื่อคืนกระตุ้นให้เราฉุกคิดขึ้นมา ว่าจริงๆ แล้วเรื่องพวกนี้มันอาจไม่ได้ไกลตัวขนาดนั้น ซึ่งทำให้เรารู้สึกไม่ดีเลย… ยังไงๆ เราก็ยังคิดว่าถ้าเลือกได้ คนเราก็คงไม่คิดจะยึดสิ่งนี้เป็นอาชีพ ในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ทางเลือกมันก็ยิ่งน้อยไปอีก ก็ได้แต่หวังว่า สิ่งที่เราคิดหรือสงสารแทนเธอคนนั้น มันจะเป็นแค่สิ่งที่เราคิดมากเกินไป (จริงๆ แล้วผู้หญิงคนนั้นเขาอาจจะแค่มา Massage อย่างเดียว ไม่ได้มีอะไรเกินไปกว่านั้นก็ได้)