Winter has arrived

หน้าหนาวมาแล้วๆๆๆ สังเกตได้จากรอยแตกลายงาตามตัวตามแขนขา ปากแห้งแตก ออกไปยืนที่ระเบียงก็มีลมเย็นๆ พัดมาแล้ว เวลานอนก็ไม่ต้องเปิดแอร์ เวลาตื่นนอนมาก็ไม่อยากลุก นอนซุกในผ้าห่มสบายจัง (แต่อันนี้ใช้วัดว่าหน้าหนาวมาแล้วไม่ค่อยได้ เพราะถึงไม่ใช่หน้าหนาวก็ไม่อยากลุก… โตขึ้นหนูอยากเป็นบังอร จะได้เอาแต่น้อน… เอาแต่นอน… อิอิ)

สองสามวันที่ผ่านมานี้เรายังสามารถเปิดหน้าต่าง ปิดแอร์ ตอนขับรถไปเรียนได้ แบบว่าขับรถกินลมไง แต่จะทำได้แค่ตอนขับรถไปเรียนเท่านั้นนะ เพราะระยะทางจากที่ทำงานไปที่เรียนมันใกล้มาก แล้วก็ขับแต่ในซอย ถ้าจะขับรถแบบไม่ปิดหน้าต่างกลับบ้าน ไปถึงอาจมีสภาพกระเซิงเหมือนบริดเจ็ต โจนส์ ฉบับหนัง ตอนที่นั่งรถเปิดประทุนแล้วดันทำผ้าคลุมผมปลิวไปซะก่อน

พูดถึงขับรถหน้าหนาวแล้วก็นึกถึงตอนสมัยที่ไปทำงานที่แคนซัส หน้าหนาวเป็นเรื่องทรมาน ทุกเช้าก่อนจะไปทำงาน ต้องขูดน้ำแข็งออกจากกระจกรถ แต่ได้ประสบการณ์ไปอีกแบบหนึ่ง เพราะเพิ่งเคยเจอหิมะตกแบบจริงๆ จังๆ ก็ตอนนั้นเอง (ที่อังกฤษหิมะตกไม่มาก ส่วนใหญ่เป็น Sleet หรือหิมะปนฝนมากกว่า) เลยได้รู้ว่าเกล็ดหิมะเนี่ยมันสวยนะ มองใกล้ๆ จะเห็นว่ามันเป็นเหมือน Crystal เลย ไม่ได้เป็นกลมๆ หรือแผ่นๆ หรือผงๆ อย่างที่เราคิด รูปทรงเหมือนกระดาษที่เขาตัดเป็นหลายๆ แฉกเอาไว้ประดับตามงานคริสต์มาสหรือปีใหม่ ยังไงยังงั้น

ตอนที่เราสังเกตเห็นว่าเกล็ดหิมะเป็น Crystal เป็นครั้งแรก เราตื่นเต้นมาก ก็เลยไปเล่าให้เพื่อนฝรั่งฟัง โดนทำหน้าเหยียดหยาม แล้วบอกว่า เพิ่งรู้เหรอ เขารู้ตั้งแต่ตอนสมัยอายุไม่ถึงเจ็ดขวบ เขาจำได้ว่ารีบวิ่งแจ้นไปบอกแม่ว่า "Mom… mom!!! Snow is NOT round!!!" เอ้อ… ก็บ้านเราไม่มีหิมะนี่หว่า ตั้งใจว่าจะไปเปิดตู้เย็นดูซิว่า น้ำแข็งในตู้เย็นมันเป็น Crystal ด้วยหรือเปล่า แต่ว่าตู้เย็นสมัยนี้มันเป็นแบบไม่มีน้ำแข็งเกาะอ่ะ!!

เราเอารูปเกล็ดหิมะจาก snowcrystals.net มาให้ดูเป็นตัวอย่างด้วย เพราะหลายๆ คนอาจจะไม่เคยเห็น ดูแล้วอาจจะนึกถึงที่คำพูดว่า No two snow flakes are alike

แก้ข่าว…

ตอนโน้นเคยบอกว่า คนปกติต้องฝันเป็นขาวดำ ส่วนคนไม่ปกติฝันเป็นสี ปรากฏว่า เมื่อวันก่อนไปเรียนวิชา Hypermedia อาจารย์พูดเรื่องภาพ เสียง ฯลฯ แล้วก็พูดว่า คนสมัยก่อนฝันเป็นขาวดำ แต่คนสมัยนี้ฝันเป็นสี เพราะว่าสมัยก่อน มีแต่รูปขาวดำให้ดู โทรทัศน์ หนัง รูปถ่าย เป็นขาวดำหมด แต่เดี๋ยวนี้ อะไรๆ ก็เป็นสีหมดแล้ว เพราะฉะนั้น คนก็ฝันเป็นสีด้วย (เรียกว่าเป็นวิวัฒนาการทางความฝันได้ไหมเนี่ย)

ดังนั้นทุกๆ คนที่เคยมาสารภาพว่าฝันเป็นสี ทั้งๆ ที่เราบอกว่า เป็นคนผิดปกติ ขอแสดงความยินดีด้วย ท่านไม่ได้ผิดปกติ นอกจากนี้ยังทันสมัยไม่ตกยุคอีกตะหาก แต่เห็นอาจารย์ว่า ถ้าจะให้ทันสมัยยิ่งกว่า ต้องฝันเป็นมัลติมีเดียแล้วนะ ต้องภาพสี เคลื่อนไหว และมีเสียง (และในอนาคตอาจมีกลิ่นด้วย)

สัตว์บางประเภท…

ต่อเรื่องที่ไปเรียนมาเมื่อวันก่อนอีกหน่อย วิชาที่เราเรียนชื่อว่า Hypermedia ตอนลงทะเบียนไปยังไม่รู้เลยนะ ว่ามันเป็นวิชาอะไร เห็นมีคนบอกว่า เป็นการผสมผสานกันระหว่าง Multimedia กับ Internet กว่าจะได้เรียนก็ วุ่นวายกันน่าดู มันเป็นวิชาเลือก คนอื่นๆ เขาเห็น Course Outline แล้วบอกว่าน่าเรียนกัน เพราะดูทันสมัยดี เลยแย่งกันลงให้อุดตลุด เราก็ไปแย่งกับเขาเหมือนกัน แต่ไม่เกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียนหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าวิชานี้เรียนตอนเย็นที่ตึกชินวัตร ไม่ได้เรียนที่ลาดกระบัง คนขี้เกียจขับรถอย่างเราก็เลยเลือกอย่างไม่ลังเลใจ (แต่เพื่อนๆ หาว่าเห็นชื่อวิชาก็ต้องลงแล้ว เพราะเหมาะกับคนไฮเปอร์อย่างเรา)

สรุปว่ามีนักเรียนลงชื่อเรียนวิชานี้เข้าไป ๖๐ กว่าคน ห้องเรียนปกติรับได้ประมาณ ๕๐ คน จะหาคนสละสิทธิ์ก็ไม่มี จะให้จับฉลากเอาบางคนออกก็มีคนไม่ยอม หาว่าไม่แฟร์ ฯลฯ แต่สุดท้ายก็ได้เรียนกันทุกคนนะ เพราะเขาเอาโต๊ะเรียนธรรมดาออก แล้วเอาเก้าอี้เล็คเชอร์แบบที่เป็นโต๊ะพับๆ ติดกับเก้าอี้เข้ามาตั้งแทน ก็นั่งได้ ๖๐ กว่าคน (แต่พอมาเรียนจริงก็นั่งกันไม่เต็มหรอก โดดกันเยอะเหมือนกัน ติดธุระบ้าง รถติดมาไม่ทันบ้าง)

พอเรียนไปได้ ๒ ครั้ง เพื่อนๆ เราบ่นผิดหวังกันตรึม เพราะว่าอาจารย์สอนเนื้อหาพื้นฐานมากๆ เป็น Introduction สำหรับคนที่ไม่เคยได้เรียนได้รู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มัลติมีเดีย อินเตอร์เน็ต มาก่อน พวกเพื่อนๆ เราเขาเขาจบสายคอมพิวเตอร์กันมาทั้งนั้น ก็เลยอยากจะเรียนเนื้อหาลึกๆ พวกเขียนโปรแกรม ออกแบบสื่อต่างๆ ที่เอาใช้งานจริงๆ อะไรทำนองนั้น แต่สำหรับเรา เราว่าก็ OK เพราะเราไม่ค่อยรู้เรื่องคอมพิวเตอร์เท่าไหร่ ฟังแล้วก็สนุกดี

ส่วนใหญ่อาจารย์จะสอนเหมือนเรื่องเล่าใช้คำศัพท์ง่ายๆ ไม่ค่อยเป็นเทคนิคัลเท่าไหร่ แถมมีเกร็ดโน่นนี่แทรกตรึม ก็พอจะเข้าใจได้หรอกว่าทำไมคนอื่นเขาผิดหวังกัน เพราะมันเอาไปใช้ทำมาหากินอะไรก็คงไม่ได้ แต่เรากลับชอบ เพราะทำให้เรามีเรื่องไปโม้ให้คนที่รู้เรื่องคอมพิวเตอร์น้อยกว่าเราฟังได้ (ถ้าอาจารย์ใช้คำศัพท์ที่เป็นเทคนิคัลมากๆ เราก็ไม่เข้าใจอยู่ดี)

อย่างมีเรื่องหนึ่งที่อาจารย์เล่าเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ยุคแรกๆ ว่าเขาเริ่มจากใช้หลอดไฟก่อน (แล้วตอนหลังๆ ก็พัฒนามาเป็นสวิตช์ วงจรไอซีต่างๆ อะไรต่ออะไรในปัจจุบัน) เขาบอกว่าหลอดไฟมันสว่างและดึงดูดให้แมลงมาเกาะ พอเกาะนานๆ เข้า ก็เจ๊งใช้การไม่ได้ เขาก็บอกว่า คอมพิวเตอร์มี Bug … อะฮ่า… เข้าใจเลยว่าทำไมคอมพิวเตอร์ถึงมี Bug

อีกตอนหนึ่ง อาจารย์พูดเรื่องการเก็บภาพเคลื่อนไหวในรูปดิจิตัล ว่าภาพเคลื่อนไหวที่เราเห็นในจอคอมพิวเตอร์ ที่จริงแล้วมันเป็นภาพลวงตา คือเป็นภาพนิ่งๆ หลายๆ ภาพ ที่ถูกแสดงในอัตราที่เร็วกว่าที่ตาคนเราจะจับได้ เพราะฉะนั้นพวกหนังหรือภาพทางโทรทัศน์ต่างๆ ที่เราเห็น มันเกิดขึ้นได้เพราะความ(ไม่)สามารถในการแยกแยะสิ่งที่มองเห็นของคน คนก็เลยดูหนังสนุก แต่ถ้าเป็นสัตว์บางประเภทอย่างแมลงวันจะดูหนังไม่สนุก เพราะมันจะเห็นเป็นภาพนิ่งหลายๆ ภาพ ฉะนั้นตอนนี้ถ้าไปดูหนังเรื่องไหนแล้วไม่สนุก บางทีเขาอาจจะไม่ได้ให้คนดู แต่อาจทำมาให้แมลงวันดู