I am just complaining...

เมื่อวันก่อนเตี่ยถามเราว่าเมื่อไหร่จะเรียนจบ เราบอกว่าคงเรียนไม่จบหรอก เขาก็ถามว่าแล้วอย่างนี้จะได้ปริญญาเหรอ เราก็บอกว่า เรียนไม่จบก็ไม่ได้สิ เขาก็ถามว่า ทำไมไม่เรียนให้จบให้ได้ปริญญา เราบอกว่าก็มันต้องทำงานอย่างอื่นเยอะต้องทำโปรเจ็คต์ มันยาก เขาก็ถามว่า แล้วตอนแรกรู้ว่าเรียนไม่จบจะไปเรียนทำไม เราบอกว่า เราแค่อยากเรียน เราไม่ได้อยากได้ปริญญา

นี่เป็นครั้งที่ ๒ หรือ ๓ แล้วในรอบไม่กี่เดือนที่ผ่านมาที่เตี่ยถามเราเรื่องนี้ และทุกครั้งเราก็จะไม่ค่อยอยากตอบ เพราะเขาก็จะไม่ค่อยชอบที่เราจะไม่เรียนจนจบ เหมือนกับว่าทำอะไรจับจด ไม่สำเร็จ แต่เขาก็ไม่ได้บังคับอะไรหรอกนะ แค่ทำท่าให้เรารู้เฉยๆ ก็ความที่ไม่เคยบังคับกันมาตั้งกะเด็กๆ จะมาบังคับตอนนี้ก็คงยาก

ที่บ้านเราเขาจะตามใจเราตลอด อยากจะเรียนอะไรก็เรียนไป ขอให้เรียนให้จบ ไม่เกเรสอบตกก็พอ ไม่บังคับว่าต้องเรียนนั่นเรียนนี่ อย่างเพื่อนเราคนหนึ่งที่บ้านอยากให้เรียนหมอ เพราะพี่ชายคนโตเรียนหมอ แต่ตัวเพื่อนเราเขาไม่อยาก เพราะคิดว่าตัวเองหัวไม่ดีเท่าพี่ชาย ก็เลยมองไปว่าอยากเป็นพยาบาลหรืออาชีพอะไรที่เป็นงานบริการช่วยเหลือคนอื่นมากกว่า แต่ที่บ้านก็ดูเหมือนจะไม่พอใจซักเท่าไหร่ หรืออย่างเพื่อนอีกคนหนึ่งที่ที่บ้านอยากให้เรียนหมอเหมือนกัน (สมัยเรา คนเก่งๆ ต้องเรียนหมอนะ เป็นค่านิยม) แต่ตัวเองอยากเรียนอักษรศาสตร์ รบกันอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ได้เรียนอักษรฯสมใจ ตอนนี้กลายเป็นนักข่าวไปแล้ว

มีอยู่ครั้งเดียวที่เราต้องตามใจที่บ้านเกี่ยวกับเรื่องเรียน คือ ตอนที่เราต้องเข้ามาเรียนที่สตรีวิทยา ซึ่งที่จริงแล้วเตี่ยกับแม่ก็ไม่ได้บังคับเราซะทั้งหมดหรอกนะ มันมีสถานการณ์อย่างอื่นๆ พาไป เรื่องมันเกิดขึ้นเพราะตอนป. ๖ เราเป็นเด็กเก่งของโรงเรียนเดิม เขาก็อยากให้เราเรียนต่อม.๑-ม.๖ ที่บ้านเราก็คิดยังไงไม่รู้ ไปขออาจารย์บอกว่า จะลองมาสอบเข้าโรงเรียนสตรีวิทย์ดู นัยว่าเป็นการประลองวิทยายุทธ์ แบบว่าแค่อยากรู้เฉยๆ ว่าจะสอบติดไหม โรงเรียนเขาก็ตกลง

เราก็ไปสอบแบบแทบไม่ได้เตรียมตัวอะไร ไม่ได้เรียนกวดวิชา(แต่จะว่าไปแล้วเด็กสมัยก่อนเขาก็ไม่เรียนกวดวิชากันเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนสมัยนี้หรอกนะ เด็กสมัยนี้ต้องเรียนกวดวิชาเตรียมสอบเข้าป.๑ อะไรจะปานนั้น) ตอนไปสมัครสอบเราซื้อหนังสือเก็งข้อสอบเข้าม.๑ ที่เขาวางขายอยู่ที่ตรงหน้าประตูโรงเรียนไปเล่มหนึ่ง เราก็เอามาทำผ่านๆ (เป็นข้อสอบวงกลม) ในช่วงไม่กี่วันก่อนสอบ แต่ดันบังเอิญโชคดี (ฟ้าลิขิตไว้แบบนั้น) เราสอบได้ เป็นหนึ่งในหกร้อย จากจำนวนนักเรียนที่มาสอบพันกว่าคน (หรือสองพันคน?? ใครจำได้วานบอก…::update:: เก๋บอกว่าจำนวนนักเรียนที่มาสอบเข้าในปีนั้นคือ สองพันสี่ร้อยคน นั่นคืออัตราการแข่งขัน ๔:๑ พวกเรานี่ก็เก่งใช้ได้เหมือนกันนะ....โฮะๆๆ )

ตอนแรกก็จะสละสิทธิ์ กลับไปเรียนที่โรงเรียนเดิมตามที่ตกลงกับเขาไว้ เราก็ชอบแบบนั้น เพราะไม่อยากจากบ้านมาอยู่กรุงเทพฯกับคนอื่น แต่พอเตี่ยกับแม่เขาไปคุยกับญาติๆ และคนรู้จัก ใครๆ ก็บอกว่า โรงเรียนนี้สอบเข้ายากจะตาย ใครๆ เขายอมจ่ายเงินเป็นหมื่นๆ ให้ได้เข้าเรียน นี่เราสอบได้เองจะมาสละสิทธิ์เฉยๆ ได้ไง (อีกอันหนึ่งที่เรายังจำได้ คือวันที่เรามาฟังผลสอบ เรากับแม่นั่งแท็กซี่จะกลับมาขึ้นรถที่สายใต้ คนขับเขาก็ชวนคุย พอรู้ว่าเราสอบเข้าได้เองโดยไม่ใช้เส้น เขาก็ชมว่าเก่งอย่างโง้นอย่างงี้ แต่พอแม่เราบอกว่า จะสละสิทธิ์ เขาโวยวายใหญ่ บอกว่า อุตส่าห์สอบได้ สละสิทธิ์ได้ไง ยังไงๆ ก็น่าจะเรียน โรงเรียนชื่อดังขนาดนี้ เขาเคยแต่ได้ยินผู้โดยสารขึ้นมาแล้วบอกว่าต้องจ่ายเงินเท่าโน้นเท่านี้ให้ลูกได้เข้าเรียน ฯลฯ ตอนหลังๆ เวลาที่แม่เล่าให้ใครๆ ฟังถึงประวัติวีรกรรม --ที่จะเล่าต่อไป-- ก็ไม่พ้นต้องอ้างคำพูดของคนขับแท็กซี่คนนี้ด้วยทุกทีไป)

พอเตี่ยกับแม่ฟังคนอื่นๆ มากเข้าก็ชักคล้อยตาม ก็เลยมาเกลี้ยกล่อมให้เรายอมไปเรียนที่สตรีวิทยา (เขาไล่คำพูดที่คนอื่นๆ พูดมาเป็นฉากๆ อาอี๊คนนั้นว่าอย่างนี้ คนข้างบ้านคนนั้นว่าอย่างนั้น เห็นไหมคนขับแท็กซี่ที่เจอเรายังว่าน่าไปเรียนเลย ฯลฯ) ในที่สุดเราก็เลยต้องทำตามเขาไปทั้งที่ไม่อยากเลย ใจหนึ่งก็รู้ว่ามันก็เพื่ออนาคตของเราเองหละนะ ถ้าเขาตามใจเรา เราก็คงไม่มีวันนี้ (นี่แหละพ่อแม่สมัยก่อน พยายามทำสิ่งที่ดีให้กับลูก ถึงแม้มันจะหมายถึงการฝืนใจกันบ้าง แต่มันดีกับเรา ไม่ใช่รักลูกมาก ตามใจมาก จนกลายเป็นพ่อแม่รังแกฉันไป สมัยนี้มีเยอะ พวกลูกบังเกิดเกล้าที่พ่อแม่ทั้งรักเคารพและเกรงใจ) อ้อ… แต่อีกส่วนหนึ่งก็ต้องเป็นเครดิตของคนขับแท็กซี่คนนั้นด้วย :-) เพราะแม่เอาคำพูดของเขามาพูดบ่อยมาก นัยว่าเป็นความเห็นที่เป็นกลาง ไม่มีนอกไม่มีในกับใคร

พอเกลี้ยกล่อมเราสำเร็จ เตี่ยก็ไปบอกโรงเรียนเดิมว่าจะขอลาออก ครูใหญ่ที่เป็นซิสเตอร์เขาโกรธมาก ว่าเตี่ยเรามากมาย หาว่าเป็นผู้ใหญ่แต่พูดจาไม่อยูกับร่องกับรอย กลับไปกลับมา ไหนบอกว่าแค่จะไปลองๆ สอบ แต่นี่กลายเป็นจะย้ายไปเรียนจริงๆ แล้วก็พาลไม่ยอมให้ลาออก ซิสเตอร์เขาพูดจาไม่ดีมากๆ เตี่ยบอกว่าถ้าเขาพูดจากับเตี่ยดีๆ เกลี้ยกล่อมหาเหตุผล เตี่ยก็อาจจะเปลี่ยนใจ เพราะที่จริงเตี่ยก็รู้สึกว่า การจะให้เรามาเรียนในกรุงเทพฯ มันก็เป็นการบังคับเราอยู่เหมือนกัน แต่พอเขาพูดไม่ดีแบบนี้ เตี่ยก็ฉุนขาด บอกว่ายังไงๆ ก็ไม่ให้เราเรียนต่อที่นั่นแล้ว… อย่างนี้ต้องลาออก!!!

โรงเรียนเก่าเขาก็ยังร้ายไม่เลิก บอกว่าจะออกก็ออกไปสิ แต่เขาไม่ยอมออกใบสุทธิป.๖ ให้เรานะ ประมาณว่าถ้าไม่มีใบนี้ เราก็มามอบตัวที่สตรีวิทย์ไม่ได้ (ทำไมเอาเด็กนักเรียนมาเข้าโรงเรียนเขาเรียกมอบตัวเนอะ ไม่ได้ทำผิดอะไรซักหน่อย) แต่ทางสตรีวิทย์เขาก็ดีนะ (อันนี้แม่ชม) พอเล่าให้เขาฟัง เขาบอกว่าไม่เป็นไร เขารับมอบตัวก่อนได้ แต่พอจัดการเรื่องได้แล้วต้องเอาใบสุทธิมายื่นให้เรียบร้อย

ปรากฏว่าเรื่องมันก็โอละพ่อ (หรือโอละเตี่ยดี) จนสุดท้ายเตี่ยเราต้องใช้เส้น ให้คนรู้จักไปคุยกับศึกษาธิการจังหวัด ให้ศึกษาฯสั่งให้โรงเรียนออกใบสุทธิให้เรา เขาบอกว่าโรงเรียนไม่มีสิทธิ์ที่จะไม่ออกเอกสาร พอเรื่องมันถึงขนาดนี้ โรงเรียนก็จำใจต้องออกเอกสารให้เรา แต่ก็ไม่วายว่ากล่าวที่บ้านเราอีกเยอะแยะ แม่บอกว่าเขาเอาเรื่องของเราไปพูดตอนเข้าแถวเคารพธงชาติด้วย แต่เราไม่ยักกะจำได้ สงสัยเก๋จะเอามาเล่าให้แม่ฟัง เพราะเก๋ยังเรียนโรงเรียนนั้นต่อจนม.๓--คืออีก ๒ ปีต่อมา (เอ… มานึกดู ที่แม่เคยบอกใครว่าเราเข้าเรียนทีสตรีวิทย์เอง ไม่ได้ใช้เส้นก็ไม่จริงซะทีเดียว ใช้เหมือนกันนะเนี่ย)

หลังจากที่เราต้องตามใจที่บ้าน ยอมมาเรียนที่กรุงเทพฯแล้ว ต่อๆ มาเขาก็ไม่เคยบังคับอะไรเราอีกเลย เราเลือกแผนการเรียนเอง (เรียนวิทย์-ศิลป์ เพราะคนหัวดีๆ ส่วนใหญ่เขาก็เรียนวิทย์กัน เราก็อยากอยู่ในกลุ่มคนหัวดีๆ เรียนศิลปะ อยากเรียนสถาปัตย์ เพราะมันโก้ดี) เลือกคณะตอนเอ็นทรานซ์เอง (เลือกวิศวะ เพราะตอนนั้นกำลังเริ่มฮิตใกล้เคียงกับหมอ, สถาปัตย์ เพราะอยากเรียน แต่โชคดี—หรือที่จริงคือโชคไม่ดี—ที่เอ็นท์ไม่ติดเพราะไม่มีฝีมือเอาเสียเลย, วิทยาศาสตร์ เอาไว้กันเหนียวเผื่อพลาดอันดับแรกๆ) เลือกเรียนต่อปริญญาโทเอง (อันนี้เป็นความทะยานอยากส่วนตัว อยากพูดภาษาอังกฤษเก่งๆ)

ที่บ้านไม่เคยมาจุกจิกจู้จี้อะไรเลย จนบางทีเกิดเป็นความเครียด เพราะเราไม่รู้ว่าอยากเรียนอะไร ไม่แน่ใจว่าที่เลือกไปมันจะถูกหรือเปล่า คิดๆ ว่าอยากให้โดนบังคับเสียบ้าง เพราะถ้าเลือกผิดผลออกมาไม่ดีจะได้โทษว่า เพราะเราโดนบังคับ เราว่าการที่ที่บ้านไม่บังคับเรา ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเราไม่ค่อยทำตัวให้เป็นปัญหา พวกพี่ๆ เขาก็เรียนกันดีๆ ทุกคน มันกลายเป็นเราต้องบังคับตัวเองโดยอัตโนมัติ แบบว่าจะทำอะไรก็คิดไว้ก่อนเลยว่า จะต้องไม่ทำให้ที่บ้านผิดหวัง (แต่ที่จริงเขาก็ไม่เคยคาดหวังอะไรมากเลยนะ แค่มีมาถามๆ ว่าทำข้อสอบได้ไหม คะแนนเป็นยังไง ก็เป็นเรื่องธรรมดา) พอเขาเห็นว่าเราเรียนอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี เขาก็วางใจ ขอแค่ให้เรียนจบมหาลัยก็พอ

พอจบป.ตรี เราบอกว่าเราอยากไปเรียนต่อที่อังกฤษ เขาก็ให้ไปนะ ชีวิตอะไรจะสบายขนาดนี้ ตอนที่เราไปเรียนที่อังกฤษ ความจริงเราไม่ได้อยากได้ปริญญงปริญญาอะไรเลยนะ หลักๆ คืออยากจะไปเรียนรู้ภาษาอังกฤษ แต่ถ้าจะขอไปเรียนเมืองนอก แล้วไม่ได้อะไรกลับมานอกจากภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งมันก็จะยังไงอยู่ เราก็เลยทำงานแลก คือยอมเรียนเป็นปริญญาให้ที่บ้านชื่นชม (เป็น Win-win solution) พอเรียนจบไปได้ปีหนึ่ง ก็เกิดอารมณ์เอาแต่ใจตัวเอง อยากอยู่ต่ออีกปี ก็ต้องทำงานแลกอีก เรียนมันอีกปริญญาหนึ่ง ที่บ้านแสนดี ยอมตามใจเราหมด

พอเราเรียนจบกลับมา เตี่ยอยากให้เรากลับไปทำงานที่บ้าน แต่ก็อีกหละ เราไม่อยากทำเขาก็ไม่บังคับ พอเราได้งานทำเราก็รู้สึกว่า ความกดดันตัวเองน้อยลง เริ่มคิดทำอะไรตามใจโดยไม่ต้องคิดว่าที่บ้านจะหวังอะไรกับเรา เพราะเราว่าโดยรวมๆ แล้ว เราก็นับว่าเป็นลูกที่ทำให้เตี่ยแม่สมหวังพอประมาณ คือเรียนจบมีการมีงานทำ (แม่บ่นว่าจะผิดหวังอยู่อย่างก็ตรงยังไม่หาลูกเขยมาให้แม่ อันนี้เราออกตัวไปแล้ว ว่าไม่ต้องหวังเลย เพราะโอกาสสมหวังมีประมาณ ๐.๐๐๐๐๐๑%) เราก็เลยหันมาทำอะไรอย่างที่อยากทำตามใจตัวเองเพียวๆ เป็นต้นว่า ไปเรียนภาษาจีน (ปรากฏว่าอันนี้เตี่ยหนับหนุนมาก แต่เราโง่เอง ตอนนี้เลิกเรียนไปแล้ว เตี่ยผิดหวังเล็กน้อย ว่างๆ ก็มาถามๆ ว่าจะกลับไปเรียนอีกไหม นี่ก็ยังลังเลอยู่) ไปดำน้ำ (แรกๆ เขาก็กลัวว่าอันตราย แต่เราก็ทำนิ่งๆ เหมือนไม่มีอะไรสลักสำคัญ เวลาจะไปก็บอกว่าจองทริปไปแล้ว เขาก็ว่าอะไรไม่ได้ เงินเราก็ออกเอง ไม่ได้ต้องขอแบบตอนเด็กๆ หลังๆ เขาก็ชินๆ แล้ว) หรืออันที่มาเป็นประเด็นให้เราต้องบ่นยาวยืดวันนี้ก็คือ ไปเรียนเกี่ยวกับไอที

ตอนที่เราไปเรียนเกี่ยวกับไอทีนี่ก็ไม่ได้บอกอะไรกับที่บ้านมากนะ เพราะรู้ว่าเขาต้องบ่นว่าจะเรียนอะไรกันไม่เลิกไม่รา แล้วยิ่งประเด็นหลักของเราคือว่า เรียนๆ ไปงั้นหละ ปริญญาก็ไม่ได้หวัง เพราะไม่รู้จะเอาไปทำไม แบบว่าโง่ๆ อย่างเรา เป็น User ให้พวกทีมคอมพิวเตอร์ด่าลับหลังดีกว่า ตอนแรกๆ แม่ก็ไม่เข้าใจว่า ถ้าไม่เรียนให้ได้ปริญญาจะเรียนไปทำไม เราก็เกลี้ยกล่อมอยู่เป็นนาน ว่าปริญญามันก็แค่กระดาษใบเดียว เราก็มีปริญญาอื่นๆ ให้เขาภูมิใจแล้วตั้งหลายใบ อันนี้เป็นแค่กิเลสความอยากรู้ส่วนตัว แม่ก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แต่ความเป็นแม่น่ะนะ รักลูก ก็ตามใจลูก

แต่เตี่ยนี่เขาไม่ค่อยได้สนใจถามเราเท่าไหร่ เราก็เลยไม่บอก เพิ่งจะมาหลังๆ นี้แหละ ที่เขาชักมาถามบ่อยๆ เราว่าเขาคงเห็นว่าเราหายหัวไม่ค่อยกลับบ้านหลายสัปดาห์ แบบว่าเสียเวลาความเป็นส่วนตัวที่จะใช้กับครอบครัวไป ก็น่าจะได้อะไรกลับมา เราก็อธิบายให้เขาฟังไม่ค่อยได้ (เพราะมันไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไหร่ ออกแนวข้างๆ คูๆ มากกว่า) ว่าบางทีสิ่งที่ได้มามันไม่จำเป็นต้องเป็นรูปธรรมจับต้องได้อย่างกระดาษแผ่นเดียวเสียเมื่อไหร่ แต่ทำไปทำมา ยิ่งอธิบายเหมือนยิ่งจะแย่ลง เหมือนเขาจะยิ่งคิดว่าเราน่าจะพยายามเรียนให้จบ และการที่เราเรียนไม่จบ ไม่ได้เป็นเพราะว่าเรา”เลือก” ที่จะเรียนเท่าที่เราอยากเรียน แต่มองมันเป็นความจับจดไม่ตั้งใจจริงมากกว่า

เราคงต้องสู้กับกระแสความคิดนี้ต่อไปเรื่อยๆ เพราะแม้กระทั่งเพื่อนๆ หลายๆ คนที่ฟังไอเดียของเรา ก็ยังพยายามจะเปลี่ยนความคิดเรา เขาคิดว่าเราน่าจะเรียนให้จบ เขาอาจจะไม่ได้คิดว่า การที่เราเรียนไม่จบเป็นความล้มเหลว แต่เขามักจะมีเหตุผลว่า เขาเชื่อว่าเรามีความสามารถที่จะทำได้ แล้วทำไม่ไม่ทำ เราไม่รู้ว่าเราเข้าใจผิดไปคนเดียวหรือเปล่าว่า การทำได้ กับ ความอยากจะทำให้ได้ มันเป็นคนละเรื่องกัน เราจะมีความสามารถที่จะทำมันสำเร็จได้หรือไม่ เราก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ เราไม่ได้มี ความอยากจะทำให้ได้ อยู่เลย อย่างน้อยมันก็ไม่ได้มีอยู่ตอนที่เราไปจ่ายเงินลงทะเบียนเทอมแรก แต่ตอนนี้มันอาจจะมีขึ้นมาหน่อยๆ แต่มันเกิดขึ้นมาจากความรู้สึกไม่อยากทำให้คนอื่นผิดหวังมากกว่า ตอนนี้กลายเป็นความรู้สึกสู้กันระหว่างจะตามใจตัวเองหรือจะตามใจคนอื่นดี

เฮ้อ…นี่เลยทำให้เรามาคิดๆ ว่า เรานี่ช่างไม่มีความกระตือรือล้นและทะเยอทะยานในตัวเองเสียเลย มีแต่คนอื่นคิดว่าเราน่าจะเป็นแบบโน้นดีกว่า น่าจะทำแบบนี้ได้ดี เราไม่ค่อยเคยคิดถึงว่าอะไรดีกว่า จะคิดแต่ว่าอะไรสบายกว่า อะไรตรงกับที่เราอยากทำมากว่า แล้วชีวิตก็เป็นไปตามยถากรรม (Underachiever ตัวจริงอยู่ที่นี่) นี่ถ้าตอนจบป.๖ ที่บ้านไม่ให้เรามาเรียนที่กรุงเทพฯแล้ว เรายังนึกไม่ออกเลยว่าชีวิตเราจะไปทางไหน ที่แน่ๆ คงไม่ได้เจอเพื่อนๆ แสนดีที่คบหากันอยู่ทุกวันนี้ ชีวิตคงเหงาหงอย ต้องขอบคุณเตี่ยกับแม่ ที่ไม่รังแกเรา (โดยตามใจเราไปหมด) และขอบคุณคนขับแท็กซี่คนนั้นด้วย (ยังไม่ลืม)


College Drop Out

ในบรรดาคนที่พยายามเกลี้ยกล่อมเราให้เรียนต่อ มีอยู่คนหนึ่งพูดไว้เด็ดมาก คือ Randy เขาเป็นคนที่เรารู้จักตอนสมัยที่ไปทำงานที่ Kansas สนิทกันพอที่จะอำกันได้แรงๆ เราก็บอกเขาไปว่า เราคงไม่เรียนจนจบหรอก เพราะคนที่เขาประสบความสำเร็จทำเงินเป็นล้านๆ ไม่จำเป็นต้องพึ่งไอ้กระดาษใบเดียวนี่หรอก ดูอย่างบิลล์ เกทส์ซิ เขาก็ลาออกกลางคัน ไม่ได้เรียนให้จบซักหน่อย เขาตอบเรากลับมาบอกว่า เอาเหอะๆ ไหนๆ ก็เรียนมาจนป่านนี้แล้ว อีกนิดเดียวก็จบ ลุยไปเลยเหอะ แล้วเขาก็บอกว่า เราจะมาเอาบิลล์ เกทส์เป็น ตัวอย่างเรื่องนี้ไม่ได้ ถึงบิลล์ เกทส์จะไม่จบมหาลัย แต่เขาเป็นไอ้รูก้น แต่นิจวรรณไม่ใช่ นิจวรรณแค่ใจโหดเฉยๆ (I know Bill Gates dropped out of school, but he's an asshole. You're not. You're just mean.) อะจ๊าก… ทำเอาเราต้องชั่งใจว่าจะพยายามเถือกเรียนให้จบดีหรือจะยอมเป็นไอ้รู้ก้นดี…