Diving Trip -- Return To Surin
วันนี้มาโม้เรื่องที่เพิ่งไปดำน้ำมา (๗-๑๑ ธันวาคม) ให้ฟังดีกว่า ไปที่หมู่เกาะสุรินทร์ ออกเดินทางวันศุกร์ที่ ๗ ตอนเย็น ดำน้ำเสาร์-อาทิตย์-จันทร์ เย็นวันจันทร์เดินทางกลับ มาถึงกรุงเทพฯเช้าวันอังคารที่ ๑๑ คราวนี้ไปกับมนุษย์กบไทย (หลังจากที่แอบหนีไปซื้อทริปดำน้ำกับคนอื่นมาพักหนึ่ง เพราะปีที่แล้วตอนเราจะไปดำที่สิมิลัน เกิดเหตุการณ์ทริปล่ม เลยมีปัญหากันเล็กน้อย แต่ความที่ตอนนี้มีแต่มนุษย์กบเจ้าเดียวเท่านั้นที่ยังจัดทริปเจาะลึกสุรินทร์อยู่ ก็เลยต้องหันกลับไปซบอกมนุษย์กบจนได้)

ไปดำน้ำคราวนี้ก็สบายๆ เพราะคนน้อย ที่ไปกับมนุษย์กบมีลูกทัวร์ ๗ คน (คือกลุ่มเรา ๓ คน -- พี่ปุ๊ก พี่หนิง เรา และคนอื่นๆ มี ฉิงฉิง ที่เราเคยเจอมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนไปดำที่สุรินทร์ปีโน้นๆ ฉิงฉิงมากับเพื่อนชื่อเอิง ซึ่งมารู้ทีหลังว่า เอิงรู้จักกับหมูด้วย เพราะเคยฝึก SIP ด้วยกัน แล้วก็มีหมอจ๋ากับหมอต๋อง -- ขอบอกว่ากีฬาดำน้ำนี่เป็นที่นิยมในหมู่หมอๆ มาก ตั้งแต่ดำน้ำมา ไม่มีทริปไหนที่ไม่มีหมอไปด้วย ทำให้รู้สึกอุ่นใจทุกครั้งที่ไปดำน้ำ)

สตาฟฟ์ของมนุษย์กบมี ๒ คน คือ คุณอำนาจ กับ ครูกฤต (ที่พวกเราเรียกแต่ชื่อเดิมของแก คือ คุณประนอม มันชินอ่ะนะ รู้จักแกมาตั้งแต่แกยังไม่เปลี่ยนชื่อ และยังไม่ได้เป็นครูสอนดำน้ำ แม้แต่ตัวแกเองก็ยังชินชื่อเดิม เพราะบางทีเราเรียก ครูกฤตๆ แล้วแกไม่หัน) เราไปรวมกับอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นกลุ่มของเจ้าของเรือ เขามีลูกทัวร์ ๒ คนเป็นเยอรมัน ไดฟ์ลีดเดอร์ที่เป็นชาวฝรั่งเศส แล้วก็มีอีก ๒ คนรู้สึกจะเป็นเพื่อนกับเจ้าของเรือ รวมๆ แล้วก็คือมีนักดำน้ำ (ทั้งลูกทัวร์ และสตาฟฟ์) ๑๔ คน

เรือที่เราได้คราวนี้ปรากฏว่าเป็นเรือนอน ชื่อ A-one Sea World เรือเป็น ๓ ชั้น ชั้นล่างสุดเป็นห้องนอน นอนได้ ๑๖ คน ชั้นกลางเป็นห้องนั่งเล่นดูทีวี ครัว ห้องน้ำ (มี ๒ ห้อง) ตรงท้ายเรือเป็นที่แต่งตัว วางถังอากาศกับอุปกรณ์ดำน้ำต่างๆ และเป็นที่ให้โดดลงน้ำ ชั้น ๓ (ดาดฟ้า) เป็นห้องกัปตันเรือกับเป็นที่ให้เรากินข้าว นั่งเล่น นอนเล่น ถึงเรือลำนี้จะไม่ใหญ่เท่ากับเรือ คูน หรือ Scubanet ที่เราเคยไปดำทริปนอนเรือก่อนๆ แต่ว่าโอเคสำหรับปริมาณคนเท่าที่เรามี (แต่คิดว่าถ้าเขารับลูกทัวร์เต็ม ๑๖ คนเท่าจำนวนเตียงนอน คงจะลำบากเรื่องห้องน้ำแน่ๆ)

ตอนแรกที่เราซื้อทริปกับมนุษย์กบเขาบอกว่าเราได้บ้านพักที่เกาะสุรินทร์ แต่พอตอนไปถึงท่ารถสายใต้ใหม่ เขาบอกว่า บ้านพักเต็ม ต้องนอนในเต๊นท์แทน แถมรถที่จะไปก็เป็นรถทัวร์ธรรมดา (เมื่อก่อนมนุษย์กบเขาจะเช่ารถวีไอพีเหมาคัน) ก็เลยดูจะกลายเป็นทัวร์ซำเหมาเล็กน้อย (เราบ่นกันว่า บนเรือจะมีขนม มีน้ำให้ไหม อาจต้องอดๆ อยากๆ เพราะทริปนี้มนุษย์กบขาดทุนแน่ๆ เลยเกรงกันว่าอาจมีการลด Cost) แต่พอเราได้เรือที่มีที่นอน ทริปนี้ก็ดูดีขึ้นมาถนัดตา เพราะคุณประนอมเขาบอกว่า ถ้าไม่อยากนอนเต๊นท์จะนอนบนเรือก็ได้ พอเราเห็นสภาพเรือแล้ว ตัดสินใจได้เลย ว่านอนบนเรือสบายกว่าเต๊นท์แน่นอน (สรุปว่าเราค่อนข้างโชคดี เพราะปกติทริปนอนเรือ จะแพงกว่าทริปนอนเกาะ)

จุดดำน้ำที่ไปดำคราวนี้ก็เป็น Typical สำหรับคนที่จะไปดำน้ำสคูบาที่สุรินทร์หละนะ คือ วันแรกออกจากท่าเรือคุระบุรี จังหวัดพังงา (บอกไว้เผื่อมีใครเชยๆ เหมือนเรา ไม่รู้ว่าหมู่เกาะสุรินทร์อยู่จังหวัดอะไร) ก็ไปดำไดฟ์แรกที่กองหินริเชลิว (ซึ่งเป็นทางผ่านที่จะไปสุรินทร์หรือสิมิลัน ทุกทริปที่ไปทางนั้นจะต้องแวะดำที่ริเชลิวทั้งขาไปขากลับ) แล้วก็ไปดำต่อที่สุรินทร์อีก ๓ ไดฟ์ (ที่จริงตามตารางเดิม เขาให้ดำวันแรกแค่ ๓ ไดฟ์ คือ ที่สุรินทร์มีไดฟ์บ่าย กับไนท์ไดฟ์ แต่เราเปลี่ยนเป็นนอนบนเรือ เลยมีเวลาเหลือเลยได้แถมอีกไดฟ์เย็นอีกไดฟ์นึง)

วันที่สองไปดำที่เกาะตาชัย (ห่างจากสุรินทร์ไปประมาณเกือบๆ ๓ ชั่วโมงได้มั้ง) ดำที่ตาชัย ๒ ไดฟ์ แล้วกลับมาดำไดฟ์ที่ ๓ ของวันที่เกาะสุรินทร์ พอวันที่ ๓ ก็ดำไดฟ์เช้าที่สุรินทร์ แล้วเรือก็มุ่งหน้ากลับฝั่ง แวะดำที่ริเชลิวเป็นไดฟ์สุดท้าย เที่ยวนี้เรามาแปลกเล็กน้อย คือแทนที่จะกลับไปท่าเรือคุระบุรี เรากลับไปขึ้นฝั่งที่ท่าเรือระนอง (เพราะเจ้าของเรือเขาอยู่ที่นั่น และเขาต้องการไปส่งฝรั่งชาวเยอรมันที่เกาะพะยาม -- หรือพยาม??-- ซึ่งเราก็เพิ่งเคยได้ยินชื่อเป็นครั้งแรก แต่เห็นฝรั่งเขาบอกว่ามีบังกาโลเต็มหาดและมีฝรั่งมาเที่ยวเต็มเลย สรุปว่าฝรั่งพวกนี้รู้จักเมืองไทยเยอะกว่าเราอีก)

ไปคราวนี้ได้เจออะไรเด็ดๆ หรือเปล่า?? ก็ไม่เด็ดซะทีเดียว เพราะไม่เจอแมนต้าเรย์หรือฉลามวาฬอย่างที่หวัง (หวังไว้ทุกทริป แล้วก็ผิดหวังมันทุกทริป) แต่ก็มีอะไรดีๆ ที่คาดไม่ถึงเหมือนกัน อย่างที่ริเชลิวนี่คราวนี้กลายเป็นไฮไลต์ไปเลย ทำเอาเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับริเชลิวไปเลย คือก่อนทริปนี้เนี่ย พี่ปุ๊กบอกว่าเบื่อริเชลิวมาก เพราะมันไม่ค่อยมีอะไรให้ดู มีคนเขาว่ากันว่าริเชลิวเป็นบ้านของแมนต้าเรย์ (ปลากระเบนราหู) แต่เรามาทีไรไม่เคยได้เจอซักที (คาดว่าแมนต้าชอบลาพักร้อนตรงกับเรา ก็เลยไปเที่ยวอื่นๆ ทุกครั้งที่พวกเรามาดำน้ำ) แต่คราวนี้ลงไปไดฟ์แรกปลาเยอะแยะ ปะการังอ่อนสีสวยก็เยอะ ดูสวยงามกว่าครั้งก่อนๆ มาก

อีกอันหนึ่งที่น่ารักคือเราได้ไปเห็น "ศึกชิงนาง(ปลาหมึกกระดอง)ใต้น้ำ" ปกติเราก็ชอบดูปลาหมึกกระดอง (Cuttlefish) อยู่แล้ว มันว่ายน้ำเดินหน้าก็ได้ ถอยหลังก็ได้ เหมือนรถถัง น่ารักดี ทีนี้ไดฟ์ที่ริเชลิวเราไปเจอปลาหมึกกระดอง ๒ ตัว ตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ตัวเล็กตัวหนึ่ง มันกำลังเอาหนวดชนกันว่ายน้ำไปพร้อมๆ กัน เราก็ว่ามันแปลกดีคิดว่ามันคุยกัน แต่พอซักพักเห็นปลาหมึกกระดองอีกตัวหนึ่งว่ายรี่เข้ามา ไอ้เจ้าตัวใหญ่ตัวแรกก็เลยรีบผละหนวดจากตัวเล็ก หันมาทำท่าไล่เจ้าตัวหลัง ทำท่าจะสู้กันใหญ่ แต่สุดท้ายเจ้าตัวหลัง (หรือตัวแรกหว่า? ปลาหมึกกระดองมันหน้าตาคล้ายๆ กันอ่ะนะ) สู้ไม่ได้เลยว่ายจากไป ตัวที่เหลือก็หันมาเอาหนวดชนกับตัวเล็กใหม่ เราลอยตัวเฝ้าดูเหตุการณ์แล้วก็เริ่มเก็ต ... เดาได้ว่ามันต้องกำลัง “มีอะไรกัน” แน่ๆ เลย พอขึ้นมาบนเรือมาถามคุณอำนาจ เขาก็บอกว่าใช่แล้วๆ

ตอนกลับมากรุงเทพฯแล้ว พี่ปุ๊กส่งลิงค์ที่ทะเลไทยมาให้ บอกว่าน่าจะได้อ่านก่อนไปดำน้ำคราวนี้ ก็คือเขาเขียนเรื่องเมื่อหมึกมีรักอ่ะนะ เราอ่านแล้วก็รู้สึกว่าอืมม์... ช่างสังเกตดีจัง คือที่เขาเล่ามาเนี่ย เป็นสิ่งที่เราได้เห็น In Action เลยนะ เขาเล่าได้ตรงเป๊ะๆเลย

แล้วก็มีตอนไดฟ์สุดท้ายที่ริเชลิวอีกเหมือนกัน ที่มีเหตุการณ์ระทึก เราได้เห็นกุ้งตัวตลก ๒ ตัว ไม่เห็นจะน่าระทึกได้เลยใช่ไหม แต่กว่าจะได้เห็นนี่สิ โหย ... ต้องว่ายทวนน้ำแบบตีฟินเต็มสตีมไปประมาณ ๑๐ นาที คือเวลาเราลงไปดำเนี่ย เขาจะแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม บางทีก็ดำตามๆ กันไป บางทีก็แยกกัน ไดฟ์ที่ว่านี่แยกกัน กลุ่มเรานี่คุณอำนาจเป็นคนพาดำ แต่พอซักพักก็วนมาเจอกัน คุณอำนาจกับคุณประนอมก็ทำท่าคุยกันว่าเจออะไร คุณประนอมเอากระดานออกมาเขียนบอกว่า เจอกุ้งตัวตลก ตะแรกแกจะทำท่าบอกว่าอยู่ตรงไหน แต่คงกลัวคุณอำนาจหาไม่เจอ (มันอธิบายตำแหน่งยากนะ ใต้น้ำพูดกันไม่ได้) เขาก็เลยพาว่ายไปดูซะเลย

ไอ้เราก็คิดว่าอยู่ใกล้ๆ ว่ายไปๆ ทำไมไม่ถึงซะที(วะ) คิดจะเลิกตามไปตั้งหลายรอบเพราะกระแสน้ำแรงมาก แต่ดูท่าทางสองคนนั่นเขาจะไปให้ได้ ไม่สนใจท่าทางของเราเลย (ทำท่าไม่อยากไปได้อย่างเดียวอ่ะนะ ตะโกนบ่นไม่ได้) ก็เลยต้องเถือกว่ายตามไป เขาทำท่าบอกให้พวกเราว่ายลงไปต่ำๆ ติดๆ กับพื้น กระแสน้ำจะต้านแรงน้อยลง เราก็ลงไปต่ำจนพุงจะติดปะการังแล้ว ต้องเอามือจับตามก้อนหินแล้วค่อยๆ สาวตัวไป พอไปถึงที่ที่มันอยู่ เจอเสียทีกุ้งตัวตลก มันเป็นสีชมพูอมส้ม มีลายจุดใหญ่ๆ สีขาว เพิ่งเคยเห็นตัวจริงเป็นครั้งแรก น่ารักดี

นอกจากริเชลิวแล้วที่อื่นๆ ก็โอเค มีปลาโน่นปลานี่ให้ดูเรื่อยๆ สรุปว่าตอนนี้เราเลื่อนอันดับให้หมู่เกาะสุรินทร์ขึ้นมานำหน้าหมู่เกาะสิมิลันในด้านแหล่งดำน้ำสคูบาแล้ว เพราะสภาพโดยรวมๆ ดีกว่าเยอะ ไม่ค่อยมีปะการังหักๆ โทรมๆ คราวนี้เราไม่ได้ขึ้นเกาะสุรินทร์ แต่ครั้งที่แล้วที่ไป (สงกรานต์ที่ผ่านมา) และจากที่จำได้เลาๆ เมื่อปีก่อนโน้นๆ เรารู้สึกว่าสภาพบนเกาะ พวกบ้านพัก หาดทรายเขาก็ดูแลได้ดีด้วยเหมือนกัน เราว่าการบริหารของเจ้าหน้าที่อุทยานของสุรินทร์เจ๋งกว่าสิมิลันเยอะเลย

เรื่องที่คนชอบถามเวลารู้ว่าเราดำน้ำ

คนถาม: ดำน้ำมานานหรือยัง
นิจวรรณตอบ: เริ่มเรียนตั้งแต่ปี ๓๙ ได้ License ตอนปี ๔๐ แล้วก็ดำมาเรื่อยๆ ก็ ๔ ปีแล้วสินะ
คนถาม: ดำมากี่ไดฟ์แล้ว
นิจวรรณตอบ: ถึงทริปสุดท้ายนี่ ได้ ๗๐ ไดฟ์ เพราะว่าได้ดำแค่ปีละทริป หรือสองทริปเป็นอย่างมาก มีอยู่ปีกว่าๆ ที่หายไปไม่ได้ดำน้ำเลย (ก็ตอนที่ไปเป็นกระเหรี่ยงทำงานอยู่ที่แคนซัสไง)
คนถาม: ไปดำน้ำที่ไหนมาบ้างแล้ว ชอบที่ไหนมากที่สุด
นิจวรรณตอบ: ในเมืองไทยนี่ก็ดำมาเกือบทั่วแล้วนะ ตอนสอบไปสอบที่พัทยา ทริปแรกไปสิมิลัน ทริปสองไปเกาะเต่า แล้วก็รู้ว่าชอบทางฝั่งอันดามันมากกว่า เพราะมีสีสันกว่ากันเยอะ ตอนไปเกาะเต่านี่จำได้แต่ว่ามีเต่ากับมีปลาวัวบ้า ที่เหลือนี่จำไม่ค่อยได้แล้ว ต่อจากเกาะเต่าก็ไปสุรินทร์ แล้วก็ไปเกาะพีพี ห้าใหญ่ แล้วก็ไปตะรุเตา หินม่วงหินแดง โลซินก็ไปมาแล้ว ที่ยังไม่ได้ไปก็เห็นจะเป็นทะลฝั่งตะวันตก แถวๆ ตราด แล้วก็คิดว่าถ้ามีโอกาสก็อยากไปดำเรือจม Vertical Wreck ด้วย

คนถาม: ดำน้ำยากหรือเปล่า ต้องเรียนไหม
นิจวรรณตอบ: ไม่ยากเท่าไหร่นะ (บางทีเราจะบอกว่ามันง่ายสำหรับเรา เพราะเวลาทำงานเราก็ “ดำน้ำ” อยู่บ่อยไป ... ฮ่าๆ) แต่ว่าต้องเรียนนะ (ดูคำถามถัดๆไป) แล้วก็ต้องมีใบอนุญาตดำน้ำด้วย เราว่าที่ยากที่สุดก็ตอนที่ต้องสอบเอาใบอนุญาตน่ะนะ แต่พอมาดำเที่ยวนี่ก็สบายๆ

คนถาม: อันตรายหรือเปล่า
นิจวรรณตอบ: จะว่าอันตรายก็อันตรายนะ เพราะเรากำลังทำอะไรที่ฝืนธรรมชาติ พยายามไปอยู่ในที่ที่เราอยู่ไม่ได้ มีคนเสียชีวิตจากการดำน้ำเยอะเหมือนกัน มีความเสี่ยงในการเมาไนโตรเจน หรือมีฟองอากาศในเส้นเลือดด้วย แต่ ถ้าพอเราไปเรียนดำน้ำ เขาก็จะสอนเราว่าต้องทำอะไรอย่างไร เราก็ควรทำตามที่เราเรียนมา ถ้าเรารู้ลิมิตของตัวเอง ไม่ทำอะไรกล้าบ้าบิ่น ไร้สติ เราว่าไม่อันตรายนะ ส่วนใหญ่ที่ได้ยินมาว่ามีอันตรายก็เพราะไม่ทำตามที่ควรจะทำอ่ะนะ
คนถาม: ว่ายน้ำไม่เป็น จะดำน้ำได้ไหม
นิจวรรณตอบ: ต้องถามว่าว่ายน้ำไม่เป็นแล้วกลัวที่จะลงน้ำหรือเปล่า ถ้าไม่กลัวก็ดำน้ำได้ ความจริงแล้วคนเราเนี่ย ถ้าไม่ตกใจกลัวเสียอย่างเดียว แทบทุกคนลงไปอยู่ในน้ำแล้วน่าจะว่ายน้ำได้ (แต่จะว่ายท่าอะไรนี่อีกเรื่องหนึ่งนะ) เพราะว่าตัวมนุษย์เรามีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำ (พวกในปอดในกระเพาะมันมีช่องว่างเป็นอากาศด้วยอ่ะนะ มันก็เลยเบา) มันมักจะลอย แต่คนส่วนใหญ่ที่ว่ายน้ำไม่เป็น มักตกใจ อ้าปาก ตะเกียกตะกายผิดท่า น้ำเข้าปากเข้าจมูก ตกใจหายใจไม่ออก เลยจมน้ำตาย ว่าเสียยาวเลย จะสรุปแค่ว่า ถ้าไม่ตกใจกลัว ดำน้ำได้แน่นอน เพราะมีอากาศให้หายใจเป็นถังๆ เลย ไม่ต้องกลัวน้ำเข้าปากเข้าจมูก หายใจไม่ออก
คนถาม: ต้องว่ายน้ำเก่งไหม
นิจวรรณตอบ:ไม่ต้องว่ายน้ำเก่งแบบนักกีฬาหรอกนะ แต่ถ้าว่ายได้อึดๆ หน่อยก็จะดี จะได้มีแรงว่ายทวนน้ำไปดูกุ้งตัวตลก หรือว่ายตามปลาฉลามไง
คนถาม: ค่าเรียนดำน้ำเท่าไหร่
นิจวรรณตอบ: เดี๋ยวนี้ถูกลงเยอะนะ เมื่อก่อนเราเรียนรู้สึกจะหกพันห้า แต่ตอนนี้ประมาณสามสี่พันก็น่าจะเรียนได้แล้วนะ
::3/1/2002 :: มาแก้ข่าว พี่ปุ๊กทักท้วงว่า ค่าเรียนดำน้ำของเราคือ เจ็ดพันหน้า (แกบอกว่า จำได้แม่นเพราะโดนบังคับให้เรียน ใครไปบังคับแกฟะ ขอบอกว่าไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนบังคับพี่ปุ๊กได้ อิอิ) ส่วนสมัยนี้ ค่าเรียนดำน้ำคือประมาณ ๖,๐๐๐-๖,๕๐๐ บาท อ้อ.. แต่ที่แน่ๆ สมัยนี้เรียนดำน้ำ ไม่ต้องมีอุปกรณ์เองนะ อย่างสมัยก่อนที่เราเรียน ต้องมีอุปกรณ์พื้นฐานเอง คือ หน้ากาก (Mask) ท่อสนอร์คเกิล (Snorkel) และ Fin (หรือที่ใครๆ เขาเรียกว่า ตีนกบ ไง) แค่ไม่กี่อย่างนี่ก็ราคาหลายพันอยู่ เดี๋ยวนี้ไปเรียนดำน้ำเขามีให้ยืมหมดเลย จำได้ว่า ตอนที่เราไปเรียนก็กลัวๆ อยู่ว่า ถ้าไม่ชอบขึ้นมาต้องแย่แน่ๆ เพราะลงทุนไปเยอะ โชคดีที่ไปดำแล้วก็ชอบ
คนถาม: ไปดำน้ำครั้งนี่หนึ่งแพงไหม
นิจวรรณตอบ: ถ้าซื้อเป็นทริปอย่างที่เราไปดำนี่ก็แพงเหมือนกัน ไปดำสามวันนี่ก็ประมาณหมื่นนิดๆ (เป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงไปดำได้แค่ปีละทริปสองทริปอย่างมาก) แต่เขารวมค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเรือ ค่าอะไรต่างๆ ทุกอย่างหมดแล้ว แล้วก็ค่อนข้างสบาย คือไม่ต้องทำอะไรเอง อย่างการประกอบอุปกรณ์ก็มีคนทำให้ มีคนพาดำด้วย แต่ถ้าไปดำเองก็จะถูกกว่า เราก็ไปติดต่อที่ร้านดำน้ำ เช่าถัง เช่าเรือ อะไรต่ออะไรเอง เราเป็นพวกรักสบายก็เลยยอมจ่ายแพงหน่อย

คนถาม: เห็นบ่นว่า ตีฟินทวนน้ำว่ายดูปลาแล้วเหนื่อย บางไดฟ์ก็ไม่เจออะไรเลย ขึ้นมาบนเรือก็เมาเรือ แถมบางทีปวดหัวเพราะหน้ากากรัดมาก แล้วทำไม่ยังไปดำน้ำอยู่อีก มันดียังไงเหรอ
นิจวรรณตอบ: มันดีกว่าต้องทำงานไง อิอิ