Lead Foot

เมื่อวานมีคนถามเราว่าใช้เวลาขับรถมาทำงานเท่าไหร่ พอเราบอกว่าประมาณ ๒๕ นาที เขาทำท่าตกใจ พร้อมกับถามลับมาว่า เราขับเฟอรร์รารี่หรือเปล่า(ประชด!) ถึงได้ถึงได้เร็วขนาดนั้น (บ้านเราอยู่ถนนพระราม ๓ ที่ทำงานอยูใกล้ๆ เซ็นทรัลลาดพร้าว) เคล็ดลับของเราอยู่ที่การใช้ทางด่วน ซึ่งที่จริงจะว่าไปก็ไม่ลับเลิบอะไรหรอก แต่เป็นการเอาเงินแก้ปัญหาตะหาก แค่จ่ายค่าทางด่วน ๔๐ บาท เราก็มีเวลานอนตอนเช้าอีกประมาณ ๑ ชม. ซึ่งนับว่าคุ้มในความคิดของเรา

แต่คนที่มาถามเราเรื่องเวลาที่เราใช้เดินทาง ก็ยังไม่วายคิดว่าเราขับรถซิ่งอยู่ดี เราบอกว่า "เนี่ย วันไหนโชคดีๆ หน่อย ใช้เวลาแค่ ๑๕ นาทีเองหงะ" เขาบอกว่าเราเป็น "ตีนผี" ดีๆ นี่เอง เราต้องรีบอธิบายว่า นี่ๆ บ้านเรากับที่ทำงานเนี่ยระยะทางแค่ไม่ถึง ๒๕ กม. ถ้าเราใช้เวลา ๑๕ นาที นั่นคือเราขับด้วยความเร็วประมาณ ๑๐๐ กม./ชม. เท่านั้นเอง มีคนตั้งเยอะแยะที่ขับเร็วกว่านั้น (แต่ความจริงเราจะขับประมาณ ๑๑๐-๑๒๐ อ่ะนะ ซึ่งเราคิดว่าเป็นความเร็วที่ปลอดภัยในการขับช่องทางขวาบนทางด่วน เพราะมันเป็นความเร็วที่เท่าๆ กับคนอื่น ถ้าขับเร็วกว่านี้ก็ต้องคอยไปจี้ท้ายคนอื่นหรือเที่ยวไปปาดหน้าเขา ซึ่งเราเซ็งคนขับรถประเภทนี้มาก แต่ถ้าขับช้ากว่านี้ก็จะเป็นการทำให้การเลื่อนไหลของจราจรแย่ลง)

คนไทยเรียกคนขับรถเร็วว่า "ตีนผี" ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคิดว่าถ้าขับเร็วมากไป อาจไม่ถึงที่หมายแต่แค่"ถึงที่" เฉยๆ "ตีนคน" ที่เหยีบคันเร่งจะกลายเป็น"ตีนผี" ไปได้ หรือจะเป็นเพราะว่ามีแต่"ผี"เท่านั้นที่ไม่กลัวตายกันแน่ สำหรับฝรั่งเขาคนขับรถเร็วๆ เรียก "ตีนหนัก heavy foot" หรือ "ตีนตะกั่ว lead foot" นะ แบบว่า pedal to the metal คือเหยีบคันเร่งซะมิดเลย ตอนที่เราได้ยินคำว่า lead foot เราก็เถียงฝรั่งคนที่บอกเราว่า อย่างนี้ทำไมไม่เรียกว่า gold foot ล่ะ เพราะเราคิดว่า ทอง เป็นโลหะที่หนักที่สุด เถียงกับเขาแทบเป็นแทบตาย พอไปเปิดตารางธาตุดู เออ… ตะกั่วหนักกว่าทองจริงๆ ด้วยแฮะ หน้าแตกไปเลยเรา

เรารู้สึกว่าคนสมัยนี้เขาขับรถกันเร้วเร็ว เมื่อก่อนถ้าเราขับรถกลับแม่กลอง แล้วขับซัก ๑๒๐ นี่แทบไม่มีใครแซงผ่านหน้าเราเลย แต่เดี๋ยวนี้ขับๆ อยู่ จะมีรถวิ่งฉิวๆ ผ่านเราไปเยอะแยะมาก แถมมีการแซงแบบปาดไปปาดมาน่าหวาดเสียว (เอ… หรือเขาจะคิดว่าเราขับรถช้า แล้วยังมาเกะกะขวางทางเขา เลยปาดหน้าซะให้เข็ด) แม่เราเคยบอกว่า พวกที่ขับรถเร็วๆ ปาดหน้าคนอื่นเนี่ยเขาคงท้องเสียหรือเมียจะคลอดลูก เลยต้องรีบขนาดนั้น

เราคิดเอาว่าสมัยนี้คนขับรถเร็วเพราะรถมัน "แรง" ขึ้น และคนขับก็ "แรง" ขึ้นด้วย คนที่ขับๆ รถกันสมัยนี้น่าจะอายุเฉลี่ยน้อยลงกว่าสมัยก่อน พวกเด็กๆ วัยรุ่นมีรถขับกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน พ่อแม่สมัยนี้เขาตามใจลูกๆ พออายุครบทำใบขับขี่ได้ก็ซื้อรถให้ขับ (ของเรานี่ต้องรอให้มีงานมีการทำก่อน ที่บ้านถึงยอมซื้อรถให้ ไม่ใช่ว่าเขาซื้อให้ไม่ได้หรอกนะ แต่เขาต้องการสอนให้เรารู้ว่า อะไรๆ มันก็ต้องทำงานแลกมาทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่เราได้มาฟรีๆ อยากจะขับรถแทนการนั่งรถเมล์ ก็ต้องมีปัญญาจ่ายค่าน้ำมันรถ ไม่ใช่ยังแบบมือขอสตางค์อยู่)

พวกเด็กๆ นี่เวลาทำอะไรก็จะใจร้อนน่ะนะ ขับรถก็ใจร้อน จะไปให้มันเร็วๆ ขับรถกันปรู๊ดปร๊าด หงุดหงิดง่ายแล้วก็มีศักดิ์ศรีเยอะมาก แบบว่าโดนขับรถปาดหน้า ก็โมโหต้องเร่งพรืดขึ้นมาปาดหน้าคืน แถมบางทีจ้องหน้าหรือบีบแตรใส่ ไม่ทำแบบนี้มันไม่หายโมโห มันเสียศักดิ์ศรี สมัยเราเรียนมหาลัยรู้สึกจะมีเพื่อนคนหนึ่งโดนต่อยตาแตก ประมาณว่ามีการไปขับรถปาดหน้ารถอีกคันหนึ่ง เขาเลยปาดกลับแล้วเรียกให้หยุด คนขับก็ลงมาบอกให้เปิดกระจก พอเพื่อนเราเปิดกระจก ฝ่ายโน้นเขาก็ต่อยโครมเข้ามา ตาแตกเลยเพราะใส่แว่นด้วย โชคดีที่กระจกแว่นไม่เข้าในตาจนตาบอด ไอ้ที่โดนต่อยนี่ก็ยังดี หลังๆ นี่มีรุนแรงกว่า มีขนาดหยุดรถแล้วเอาปืนขึ้นมายิงกันก็มี นี่ก็เกินไป

จะว่าไปเมื่อก่อนเราก็ใจร้อนขับรถเร็วเหมือนกัน อย่างเวลาขับรถกลับบ้านที่แม่กลองแล้วถนนว่างๆ เราเคยเหยียบไปถึง ๑๕๐-๑๖๐ แต่พอหลังๆ นี้เราขับช้าลงเยอะ เพราะรู้สึกว่าเกิดอุบัติเหตุทีหนึ่งนี่มันไม่คุ้มกันเลย (มีประสบการณ์ตรง รู้ดีมากกกกก) การขับรถที่ความเร็วขนาดนั้น ถ้าเกิดอะไรขึ้นมันมีเวลาน้อยกว่าเสี้ยววินาทีเสียอีกในการที่จะแก้ไขสถานการณ์ คนปกติน่ะแค่คิดว่าจะทำอะไรก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว ต้องอาศัยโชคและความเมตตาของคุณพระคุณเจ้าอย่างเดียว

อีกอย่างหนึ่งคงเป็นเพราะอายุเยอะขึ้น ความบ้าบิ่นน้อยลง รักชีวิตมากขึ้น เวลามีคนมาอวดความเจ๋งของรถยี่ห้อโน้นยี่ห้อนี้ว่า ขับได้ถึง ๑๕๐-๑๖๐ ยังนิ่งอยู่เลย เราก็บอกว่า ไม่เห็นเหมือนรถเราเลย ขับแค่ ๑๔๐ ก็สั่นจะแย่แล้ว เขาก็ทำหน้างงๆกัน เฟอรร์รารี่สั่นได้ไง เอ้ย… ไม่ใช่ รถนิจวรรณเนี่ยนะสั่น…(อิอิ) เราบอกว่า "ไม่ใช่รถสั่นหรอกค่ะ คนขับรถสิ สั่น ใจสั่นน่ะ" :)

New Year Present

วันนี้เราได้ของขวัญปีใหม่เป็นชิ้นแรก จาก… คนล้างรถที่ใต้ตึกที่เราทำงาน คือที่ตึกที่เราทำงานเขามีคนมาเปิดรับล้างรถน่ะ เราก็เอาไปล้างกับเขาค่อนข้างบ่อย แต่คำว่าบ่อยของเรานี่คือ ประมาณ ๒ อาทิตย์ครั้งหนึ่ง คือเรากลัวรถจะผุไวน่ะนะ (อิอิ) เราจะให้เขาล้างสีภายนอกและดูดฝุ่น เขาคิดครั้งละ ๑๐๐ บาท ซึ่งถ้าดูคุณภาพและความสะดวกที่ได้ เราก็ว่ามันเป็นราคาที่สมเหตุสมผลดี คุณภาพเขาดีขนาดที่มีอยู่ครั้งหนึ่ง เราเพิ่งเอารถไปล้างมาใหม่ๆ แล้วมีคนถามเราว่าเราซื้อรถใหม่เหรอ เราต้องบอกว่า "เปล่าหรอก ไม่ได้ซื้อรถใหม่ แต่ว่าเอารถไปล้างน่ะ" คิดดูว่าล้างแล้วดูดีขนาดไหน และที่ว่าสะดวกก็คือ วันไหนเราจะล้างรถ ตอนเช้าก็ไม่ต้องขับขึ้นตึกแต่ขับไปจอดด้านล่างให้เขาล้าง พอตอนกลางวันลงไปกินข้าว แล้วก็แวะรับรถ ขับขึ้นมาจอดบนตึก ก็สะดวกดี

ตอนเราไปกินข้าวกลางวันวันนี้ ตอนที่จะกลับขึ้นมาก็เดินผ่านที่ล้างรถ คนที่เขาล้างรถก็แถเข้ามาหาเรา พร้อมยื่นกล่องของขวัญให้ บอกว่า ของขวัญปีใหม่ครับ เราก็งงไปวินาทีหนึ่ง พอตั้งตัวได้ก็คว้ากล่องของขวัญหมับ โดยไม่ลังเล ของขวัญใครๆ ก็ชอบนี่นา นี่ถ้าเขาเอาระเบิดใส่มาในกล่องเราคงต้องตายเพราะความงกแน่ๆ เลย โชคดีที่มันเป็นของขวัญจริงๆ ปรากฏว่าเขาให้ถ้วยซุปเซรามิค เป็นลายการ์ตูนน่ารักดี นี่ก็จวนจะครบ ๒ อาทิตย์อีกแล้ว ได้เวลาเอารถไปล้างอีกแล้วสินะ