Soooooo Forgetful...!!!
จะมีใครขี้ลืมเหมือนเรามั่งไหมเนี่ย??

เหตุการณ์ที่ ๑: เกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง :เราล้างเครื่องต้มกาแฟ วิธีการคือ

๑. เอาน้ำส้มสายชูประมาณ ๓ ถ้วย ใส่ในช่องเติมน้ำของที่ต้มกาแฟ
๒. เปิดสวิตช์เครื่องให้น้ำส้มสายชูไหลออกมาประมาณ ๑ ถ้วยครึ่ง แล้วปิดสวิตช์เครื่อง ทิ้งไว้ประมาณ ๓๐ นาที
๓. หลังจากนั้นเปิดสวิตช์เครื่องอีกรอบ ให้น้ำส้มสายชูที่เหลือไหลผ่านออกมาให้หมด แล้วเทน้ำส้มสายชูร้อนๆ ทิ้งไป
๔. เติมน้ำสะอาดในช่องเติมน้ำของที่ต้มกาแฟจนเต็ม
๕. เปิดสวิตช์เครื่องให้น้ำไหลออกมาจนหมด เทน้ำร้อนๆ นี่ทิ้งไป
๖. ทำซ้ำ ข้อ ๔ และ ๕ อีก ๑-๒ รอบ เพื่อให้หมดกลิ่นและรสของน้ำส้มสายชู

ปรากฏว่าเราทำไปได้ถึงข้อที่ ๒ แล้วก็มานั่งดูทีวี ทำการบ้าน ฯลฯ หลังจากเวลาผ่านไปประมาณ ๓ ชั่วโมง เรากำลังจะเข้านอนแล้ว เพิ่งนึกได้ว่าล้างเครื่องต้มกาแฟไว้า ต้องลุกขึ้นมาทำต่อให้เสร็จ เซ็งจริงๆเลยตู

เหตุการณ์ที่ ๒: เกิดขึ้นตอนเรียนเทอมที่สอง (๒/๒๕๔๔) :สอบวิชา Advance Database ตอนเย็น

ความที่เป็นข้อสอบ Open Book อาจารย์ให้เอาตำราเข้าห้องสอบได้ เราก็เลยไม่อ่านหนังสือมาก เปิดผ่านๆ แล้วกะว่าไปอ่านต่อในห้องสอบ แต่พอมาทำงานก็หยิบเอาหนังสือมาในที่ทำงานด้วย กะว่าเอาไว้เปิดๆ ดูตอนพักเที่ยง แต่ก็ไม่ได้ดูหรอก ขี้เกียจไง

พอตอนเย็นเลิกงานก็ขับรถไปสอบ ขับไปถึงจอดรถเรียบร้อย เตรียมจะหยิบปากกาดินสอ ตำราออกมา เอ๊ะ… ตำราหายไปไหน?? อ้าว.. ชิบเป๋ง.. ลืมไว้ที่ออฟฟิซ ต้องขับรถกลับมาเอาอีก โชคดีที่ตึกที่สอบกับที่ทำงานอยู่ใกล้ๆ กัน ขับรถซัก ๑๐ นาทีได้ ไม่งั้นคงไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน เพราะความรู้ไม่มีติดหัวอยู่เลย

ความจริงเรื่องลืมหนังสือนี่มีอีกครั้งหนึ่ง เคยเล่าไปแล้วตอนที่เขียนเรื่อง Murphy's Law ไง ตอนนั้นก็โชคยังเข้าข้างเหมือนกัน

เหตุการณ์ที่ ๓: เกิดขึ้นซ้ำๆ เป็นประจำ :ลืมกระเป๋าตังค์

บางทีก็ลืมไว้ที่ทำงาน เพราะตอนกลางวันหยิบกระเป๋าตังค์ออกมา เอาแต่ตังค์ไปกินข้าว แล้วกระเป๋าตังค์ก็วางทิ้งส่ง วางไว้บนโต๊ะทำงานบ้าง บนเก้าอี้ตัวที่เราเอาไว้วางของบ้าง พอทำงานๆ ไปก็เอาของมาสุมๆ พวกกระดาษบ้าง หนังสือบ้าง มันทับไว้ มองไม่เห็น ก็กลับบ้านไปโดยลืมกระเป๋าตังค์ไว้ โชคดีที่บริษัทเรามียามอยู่ประจำ ไม่ค่อยมีของหาย ไม่งั้นเราคงหมดเนื้อหมดตัว กับต้องคอยแจ้งอายัดบัตรเครดิต ทำบัตรประชาชนบัตรนักศึกษาใหม่ อยู่นั่นแล้ว แน่ๆเลย

บางทีเราก็ลืมกระเป๋าตังค์ไว้ที่บ้าน พอตอนจะไปกินข้าวแล้วไม่มีตังค์ ต้องของยืมคนอื่น หลังๆนี่ชักรู้ตัว หาวิธีแก้โดยเอาบัตรเอทีเอ็ม แยกออกมาต่างหากใส่ไว้ในกระเป๋าสะพาย พอลืมกระเป๋าตังค์ก็เอาบัตรเอทีเอ็มไปกดเงินออกมา แก้ขัดไปพลางๆ แต่ปัญหาก็คือ ลืมเก็บบัตรเอทีเอ็มให้เป็นที่ เวลาจะใช้ก็หาให้วุ่นวายไปหมด

บางที่เราก็ลืมกระเป๋าตังค์ไว้ที่บ้านที่แม่กลอง อันนี้เคยมาแล้ว ๒ ครั้ง ลำบากหนักสุด เพราะจะไม่มีกระเป๋าตังค์ไปตลอดอาทิตย์ (จนกว่าเราจะกลับไปบ้านที่แม่กลอง) นอกจากไม่มีตังค์แล้ว ก็ไม่มีบัตรเครดิต ไม่มีคูปองดูหนัง บัตรลดราคาตั๋วหนัง ไม่มีบัตรลดราคาตามร้านต่างๆ ปกติใช่ว่าเราจะช็อปปิ้งบ่อยหรอกนะ แต่พอมันรู้ว่าลืมกระเป๋าตังค์ไว้ ไม่มีบัตรลดพวกนี้ มันก็เกิดความจำเป็นฉุกเฉินขึ้นมาว่าจะต้องไปซื้อของ แล้วก็จะซื้อไม่ได้ แล้วก็จะอึดอัดๆ ไม่รู้ว่าเป็นโรคจิตหรือเป็นอะไรกันแน่

เหตุการณ์ที่ ๔: เกิดขึ้นซ้ำๆ เป็นประจำ :ลืมโทรศัพท์มือถือ

ความจริงโทรศัพท์มือถือ น่าจะมีไว้ถือ แต่เราไม่ชอบ รู้สึกว่ามันเกินความจำเป็นของชีวิตเรา ก็เลยชอบวางไว้ตามที่ต่างๆ แล้วก็ลืมมันไปเลย

เราลืมโทรศัพท์ไว้ที่ทำงานบ่อยมากๆๆๆ บางทีดีหน่อยเราไปนึกได้ตอนไปถึงที่รถแล้ว ก็จะกลับขึ้นมาเอา แต่ส่วนใหญไปนึกได้ตอนกลับถึงบ้านแล้ว ลำบากเป็นภาระของพี่ยามที่ต้องมาคอยเก็บโทรศัพท์ให้เรา (เขากลัวว่า จะมีคนอื่นมาหยิบไปไง) พอตอนเช้าเดินเข้าประตูมา ก็เจอยิ้มหวานของพี่ยาม พร้อมกับคำทักว่า ลืมอะไรหรือเปล่า?? เราก็หัวเราะแหะๆ เขาก็จะหยิบโทรศัพท์มาคืนเรา

บางทีก็ลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน บางทีก็ลืมไว้ในรถ แบบว่าพอมีคนโทรมาตอนกำลังขับรถ ถ้าพอจะรับได้ก็จะรับ พอคุยเสร็จ แทนที่จะเก็บกลับไว้ในกระเป๋า ก็วางพึ่บลงไปตรงที่สะดวก แล้วพอถึงที่หมาย ลงจากรถโทรศัพท์เราก็นอนแอ้งแม้งอยู่ในรถนั่นแหละ แล้วเราก็ไม่รู้ตัวอะไรเลยจนกว่าเราจะนึกอยากใช้มัน แล้วก็หาๆในกระเป๋าสะพายจนทั่วไม่เจอ ก็จะนึกว่า เอ… ลืมไว้ที่ไหน? ที่บ้าน ที่ทำงาน ในรถ??

นอกจากลืมตัวโทรศัพท์แล้ว แบตเตอร์รี่โทรศัพท์ก็ลืมบ่อย ด้วยเหตุผลเดียวกันคือ ใช้แล้วก็จะชอบวางไว้ตามที่ต่างๆ แล้วจำไม่ได้ว่าวางไว้ที่ไหน หลายๆคนบ่นว่าโทรหาเราช่างยากเย็นแสนเข็ญ โทรแล้วไม่รับบ้างหละ(ก็โทรศัพท์มันอยู่คนละที่กับเจ้าของหนิ ลืมไว้ที่ไหนหว่า?) โทรแล้วไม่มีสัญญาณบ้างหละ(แบตหมดไง ก็เลยต้องปิดเครื่องไป) มันมีเหตุมาจากความขี้ลืมของเรานี่เอง

เหตุการณ์ที่ ๕: เกิดขึ้นซ้ำๆ เป็นประจำ :ลืมกุญแจบ้าน+รถ

ยังดีที่เราจับเอากุญแจบ้านกับกุญแจรถไว้พวงเดียวกัน ชีวิตเลยวุ่นวายน้อยลงไปครึ่งหนึ่ง แต่ขนาดนี้ก็เถอะ เราลืมกุญแจรถไว้ที่ที่ทำงานบ่อยๆ เพราะตอนมาทำงานพอล็อครถแล้วก็ชอบถือกุญแจไว้ แทนที่จะเอาใส่กระเป๋าสะพาย พอมาถึงที่โต๊ะวางกระเป๋าก็วางกุญแจไม่เป็นที่ (อีกตามเคย) แล้วมันก็จะโดนอะไรต่ออะไรทับ แล้วเราก็ลืมมันไปเลย ไปนึกได้อีกทีตอนจะกลับบ้าน ไปยืนอยู่ที่รถ ไม่มีกุญแจเปิดรถ ก็ต้องค้นๆๆ ในกระเป๋าจนทั่ว พอไม่มีก็เดินกลับขึ้นมาเอากุญแจที่ออฟฟิซ สบตาพี่ยามด้วยความละอายเล็กน้อย เพราะแกรู้ว่าเราต้องลืมอะไรแน่ๆเลย ถึงกลับขึ้นมาอีก

เราไม่ลืมกุญแจตอนออกจากบ้าน เพราะประตูหน้าต้องใช้กุญแจล็อค แต่ก็ยังไม่วายมีปัญหาวุ่นวาย เพราะหากุญแจไม่เจอ จำไม่ได้ว่าตอนที่กลับบ้านเมื่อคืนเอากุญแจไปทิ้งไว้ที่ไหน เก๋พี่สาวเราอุตส่าห์หาวิธีช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น โดยเอากล่องแขวนกุญแจมาติดไว้ข้างประตูห้อง เข้าบ้านมาจะได้เอากุญแจแขวนไว้เลย เป็นที่เป็นทางสะดวกสวยงาม แต่ปรากฏว่าเราก็มักจะลืมเอามันไปแขวนอยู่ดี… เฮ้อ..!!!

ทำยังไงถึงจะไม่เป็นคนขี้ลืม

เขาว่าคนแก่ขี้ลืม เพราะสมองเสื่อมโทรมไปตามสภาพ แต่เรายังไม่แก่ขนาดนั้นเลยหนิ เราคงไม่ได้ขี้ลืมเพราะสมองเสื่อม (เอ…หรือว่าเรามีเชื้อโรควัวบ้าติดมาตั้งกะสมัยที่เราไปเรียนที่อังกฤษ) จะว่าเป็นกรรมพันธุ์ก็ไม่ใช่ เพราะเตี่ยเราความจำดีมากๆๆๆๆ

เราพยายามหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองว่า ที่เป็นคนขี้ลืม เพราะมีอะไรหลายๆ อย่างเข้ามาในสมองพร้อมๆ กัน มันเลยมีเรื่องบางเรื่องหลุดกระเด็นออกไปจากความทรงจำ สังเกตว่าเราจะไม่ค่อยลืมอะไรที่เป็นเรื่องสำคัญๆ อย่างเรื่องงาน หรือเรื่องส่วนตัวที่"ต้อง"ทำ แต่เรื่องที่ลืมมักจะที่เป็นเรื่องกระจุกกระจิกเล็กน้อย ที่เรามักจะทำไปด้วยสัญชาติญาณ มากกว่า

สรุปว่าถ้าเรามีสติรู้คิดตลอดเวลา ทำอะไรอยู่ก็รู้ว่าทำอะไร ไม่ใช่ว่าเอาแต่ทำอะไรไปโดยสัญชาติญาณ (เข้าโหมด Auto Pilot ตลอด) ความขี้ลืมก็น่าจะลดลงได้… หรือใครจะมีคำแนะนำวิธีแก้ขี้ลืมอะไรอย่างอื่น??