My Work
เมื่อวานเล็คเชอร์เรื่องไอทีซะเป็นคุ้งเป็นแคว คนที่รู้เรื่องไอทีจริงๆคงขำๆว่า มันโม้อะไรของมันฟะไม่เป็นเรื่องเลย ก็มีความรู้แบบสเนคๆฟิชๆอยู่แค่นั้นเองอ่ะนะ แต่ดันอยากจะเล่าให้คนที่เคยมาถามๆเราว่าเรียนอะไรอยู่ได้เข้าใจง่ายๆ ก็แค่นั้น

ที่จริงพอพูดถึง Information Techonology แล้วก็นึกไปถึงตอนสมัยม. ๒ เรียนวิชาภาษาอังกฤษ อาจารย์ให้ท่องคำศัพท์ แล้วมาเขียนตามคำบอกในห้อง (Dictation) พวกเราก็จะต้องจดคำศัพท์ลงในโพย(คิอกระดาษแผ่นเล็กๆ) พกเอาไว้ เผื่อจะหยิบขึ้นมาท่องตามที่ต่างๆ วันหนึ่งเราก็ไปขอโพยของเพื่อนมาดู เขาจดไว้ว่า "Information = ข้าวสาร" เราอ่านไปก็งงๆ ข้าวสารอะไรของมันฟะ อ่านไม่รู้เรื่องก็เลยข้ามๆไป มานึกได้อีกที โน่น.. ผ่านไปหลายวันแล้ว ว่าที่เขาตั้งใจจดมันคือ Information = ข่าวสาร โอ...เพิ่งเข้าใจ

จะว่าไปแล้วเราว่าที่อาจารย์ภาษาอังกฤษม. ๒ ของ เราเขาแปลคำว่า Information ว่า ข่าวสาร นี่ก็ดีเหมือนกันนะ สมัยนี้เวลาพูดถึง Information บางทีเขาจะไปแปลกันว่า ข้อมูล "ช่วยกรอก Information เกี่ยวกับตัวเองให้หน่อย" ก็แปลว่า "ช่วยกรอกข้อมูลเกี่ยวกับตัวเองให้หน่อย" แต่ทีนี้พอจะแปลคำว่า Data ก็แปลว่า ข้อมูล อีก ทีพอเห็นคำว่า ข้อมูล ในบทความ ก็งงไปละซีว่าตกลงมันจะเป็น Data หรือมันจะเป็น Information ดี ในหลายๆกรณีคำสองคำนี้มันแทนกันไม่ได้ด้วยอ่ะนะ แต่จะให้แปลว่า ช่วยกรอกข่าวสารเกี่ยวกับตัวเองหน่อยค่ะ มันก็ฟังแปลกๆ อีกอยู่ดี อืมม์ ภาษาไทยนี่มันยากจริงๆเลยวุ้ย...

อะแฮ่ม... ไปวิเคราะห์ภาษาอีกแล้ว กลับมาเรื่องที่เราจะว่ากันวันนี้ดีกว่า เรื่องงานของเรา (ฮ้าว... แค่คิดก็ง่วงแล้ว) อย่างที่เคยเขียนไปแวบๆมั่งแล้ว เราเป็นวิศวกร ทำงานออกแบบวิศวกรรม อืมม์... พูดให้มันโก้ๆไปงั้นหละ เนื้องานจริงๆคล้ายๆกับช่างประปามากกว่า (คือต่อท่อน้ำจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง บางทีก็เป็นท่อแกส ท่อน้ำมัน ท่อไอน้ำ ต่างกับช่างประปานิดเดียวตรงที่งานของเราทำบนกระดาษ ไม่ใช่ของจริง) แล้วที่บอกว่าออกแบบเนี่ย อย่าไปเข้าใจว่ามันเป็นการออกแบบให้สวยงามนะ วิศวกร(หรืออีกนัยหนึ่ง คือ วิศวกะ --อะไรๆก็ใช้ กะ กะ เอา) เขาออกแบบ เพื่อการใช้งานเป็นหลัก ทำให้สวยงามไม่เป็นนะ

เราจบวิศวเครื่องกล ก็รู้สึกว่ามันน่าจะ Obvious ว่า เราต้องทำงานวิศวกรรม แต่บางทีจะมีคนเข้าใจผิดว่าเราเป็นโปรแกรมเมอร์ หรืออะไรๆที่เกี่ยวกับไอทีหรือคอมพิวเตอร์ไปซะได้ สาเหตุความเข้าใจผิดคงเกิดจาก ความที่บริษัทที่เราทำงานเขาพยายามทำทุกอย่างเป็นอิเลคทรอนิค (เขาพยายามจะเป็น Paperless Office หรือออฟฟิซไร้กระดาษ แต่ยังไม่สำเร็จ) เราเลยได้มีโอกาสใช้คอมพิวเตอร์ทำโน่นทำนี่เยอะแยะ ได้ใช้โปรแกรมหลากหลาย โปรแกรมที่เราใช้ในการทำงาน ก็มีทั้ง

>>โปรแกรมที่ใช้กันทั่วๆไปอย่าง พวก Microsoft Office (Word/Excel/PowerPoint) Microsoft Outlook (ใช้อ่านอีเมล์ที่ ๙๕% ไม่เกี่ยวกับเรื่องงาน ) และแน่นอนว่ามี Internet Explorer (เขาคงเผื่อให้เราใช้หาข้อมูลเกี่ยวกับงาน แต่ก็รู้ๆกันอยู่ว่าสมัยนี้ ๙๙% ของอินเตอร์เน็ตถูกใช้เพื่อความบันเทิง เราก็เลยเป็นคนส่วนใหญ่ดีกว่า)
>>โปรแกรมที่ใช้ในทางวิศวกรรม อย่าง AutoCAD (สำหรับทำงานเขียนแบบต่างๆ) และ Mathcad (สำหรับทำพวกการคำนวณต่างๆ)
>>แล้วก็ยังมีโปรแกรมของบริษัทที่เขาเขียนขึ้นมาใช้เองอีกด้วย ซึ่งก็มีทั้งโปรแกรมการจัดการจัดการเอกสาร จัดการข้อมูล และทำงานอื่นๆที่เกี่ยวกับวิศวกรรม

วิศวกรอย่างเราก็มีหน้าที่แค่เอาโปรแกรมที่ว่านี้มาใช้ทำงานให้สำเร็จ แต่เราเผอิญดันเป็นคนที่อยู่ไม่ค่อยสุข แทนที่เขามีอะไรให้ใช้ ก็ใช้ๆไป เราก็ดันไปสงสัยว่า ทำไมเขาทำแบบโน้นไม่ทำแบบนี้ ชอบจับผิดไง อะไรที่ใช้งานไม่สะดวก เราก็บ่นให้นายฟัง (โดยเฉพาะโปรแกรมที่บริษัทเขียนขึ้นมาเอง)

ในออฟฟิศเรามีคนทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ๒-๓ คน มีหน้าแก้ปัญหาทั่วๆไป แต่บางทีมันจะมีปัญหาในตัวโปรแกรม (ออกแบบไม่ดี คนเขียนโปรแกรมไม่เข้าใจการทำงาน คนที่เข้าใจการทำงาน คือวิศวกร เขียนโปรแกรมไม่เป็น) ซึ่งคนในออฟฟิซเราเขาแก้ไม่ได้ ก็จะต้องให้คนของแผนกคอมพิวเตอร์ที่อยู่ที่บริษัทแม่ที่อเมริกาแก้ให้ เวลามีปัญหาแบบนี้ก็ใช้อีเมล์ติดต่อกัน

หลายๆครั้งเรารู้สึกว่าเขาไม่ได้แก้ปัญหาให้เราให้ตรงประเด็น (ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากปัญหาในการสื่อสาร ปกติแค่พูดกันเห็นหน้ากันจะๆ ยังเข้าใจผิดได้ นี่ไม่เห็นหน้าค่าตา อยู่กันคนละซีกโลก พูดกันคนละภาษา มีหรือจะไม่พลาด) เราก็จะไปบ่นให้นายเราฟัง ปัญหาไหนที่ไม่ได้รับการแก้ไขเราก็โวยไม่เลิก นายเราคงเซ็งๆ เห็นมันซ่านัก เลยบอกว่า เอางี้รับหน้าที่เป็นผู้ประสานงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (IT Co-ordinator) กับทางอเมริกาไปเสียด้วยเลยละกัน วิศวกรอย่างเราก็เลยมาสัมพันธ์กับไอทีและคอมพิวเตอร์ด้วยประการละฉะนี้

IT Class

หลังจากที่เรารับหน้าที่ IT Cow-ordinator เอ้ย Co-ordinator แล้ว เราก็ได้เจอกับปัญหาซ้ำๆซากๆ ทั้งที่เกิดกับตัวเองและที่ต้องประสานงา(น)ให้คนอื่น และพบว่าบางทีมันเกิดจากความไม่เข้าใจกันระหว่างคนใช้งานโปรแกรมกับคนเขียนโปรแกรม/พัฒนาระบบ ประมาณว่าพูดกันคนละภาษา เจอการแก้ปัญหามั่วๆบ้าง ไม่ยอมแก้ให้อ้างโน่นอ้างนี่บ้าง เราเลยเกิดความอยากรู้ว่า ไอ้เจ้าคอมพิวเตอร์เจ้าไอทีมันมีอะไรกันนักกันหนา ทำไมเขาทำให้มันดูเป็นเรื่องยากเย็น จนวิศวกรอย่างเราเข้าใจไม่ได้ เราก็เลยตัดสินใจไปสมัครเรียนวิชาไอทีเสียเลย

ฟังเหตุผลเราแบบนี้ คงมีคนสงสัยวิธีการคิดและการใช้ตรรกกะของเราแน่ๆเลย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นการตัดสินใจผิดหรือถูก เหมือนขี่ช้างจับตั๊กแตนหรือแกว่งเท้าหาเสี้ยนยังไงชอบกล แต่เราก็มีความสนุกสนานกับการเรียนพอสมควร ได้ความรู้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย (พอคุยกับใครๆเขาได้ ไม่ตกยุค ไม่เหมือนกับเด็กในโฆษณาทางวิทยุที่เราได้ยินวันก่อน) ได้เห็นการมองปัญหาจากมุมของคนไอทีบ้าง

การที่เรามีความสนุกสนานกับการเรียนเรื่องที่เราไม่รู้ได้ ก็เพราะเราเข้าไปเรียนในฐานะคนดูมากกว่าคนทำงาน คือไม่ได้คิดว่าจะเอาความรู้ที่ได้มาใช้ประกอบอาชีพ แต่คิดว่ามันมีความรู้อะไรบ้างที่เขาใช้ๆกัน ก็เลยไม่ได้เครียดว่า เฮ้ย เรื่องนั้นเราก็ไม่รู้ เรื่องนี้เราก็ทำไม่เป็น ไปเรียนเอาเฮฮามากกว่า (แต่บางทีก็เฮฮาไม่ค่อยออกเหมือนกัน อย่างเวลาต้องส่งการบ้านหรือมีสอบ) สาระยากๆ เราก็ทิ้งไว้ในห้องเรียนเพราะขี้เกียจจำ เราเลยเก็บเอาแต่เรื่องไร้สาระออกมาเล่าให้คนอื่นฟัง อย่างเรื่องช้างที่จะเล่าต่อไปนี้ ไม่เกี่ยวกับไอทีเลย แต่ได้ฟังมาจากในชั้นเรียน

ช้าง

อาจารย์ที่สอนวิชา Performance Evaluation (การวัดสมรรถนะของเครื่องคอมพิวเตอร์) เขาเปรียบเทียบการใช้งานคอมพิวเตอร์ให้เข้าใจง่ายๆ ก็ยกตัวอย่างการใช้ถนน ว่าถ้าถนนมีหลายเลนก็ให้มีรถวิ่งได้เยอะ เปรียบได้กับเวลามีเครื่องคอมพิวเตอร์หลายเครื่อง ก็ทำงานได้หลายงานพร้อมๆ กัน

พูดเรื่องนี้อยู่ดีๆ ไม่รู้แกไปนึกถึงช้างได้ยังไง แกเล่าว่าถนนแถวๆรามอินทรา มักจะมีช้างมาเดินตอนมืดๆ คนขับรถไปแถวๆนั้นต้องระวัง เพราะบางทีช้างจะข้ามถนน ก็ต้องข้ามไปทีละเลนทีละเลน แกบอกว่าอันตรายมาก เพราะว่าบางทีรถมาเร็วๆไม่ทันเห็นเพราะช้างมันจะสีดำๆมืดๆ ต้องเบรคกันตัวโก่งเลย แถมช้างข้ามถนนไม่เป็นที่ไม่เป็นทางอีกต่างหาก (ช้างไม่ยอมข้ามทางม้าลาย ไม่รู้ว่าถ้าทำทางช้างลาย จะแก้ปัญหานี้ได้ไหม หรือจะให้รณรงค์ให้ช้างข้ามสะพานลอยดี!?!?)

อาจารย์บอกว่า เวลาแกขับรถไปแถวรามอินทรา จะต้องคอยส่องช้าง เหมือนส่องสัตว์ตามเขาใหญ่เลย (ไปเขาใหญ่บางทียังส่องไม่เจอช้างเลย มาเจอตามถนนในกรุงเทพฯนี่หละ) ส่องเจอแล้วก็ต้องคอยหลบให้ดี แกบอกว่า สมัยก่อนเวลาทำศึก เขามีการชนช้างกัน สมัยนี้ก็มี ชนช้าง เหมือนกัน เวลาขับรถมาเร็วๆแล้วเบรคไม่อยู่ไง ชนโครมเข้าไปเลย

เก็บตกจากโฆษณา-เด็กยุคไอที

อันนี้เป็นโฆษณาโรงเรียนสอนการใช้คอมพิวเตอร์และไอทีน่ะ เขาสมมติเป็นห้องเรียน แล้วครูเรียกเด็กผู้ชายคนหนึ่งให้ตอบคำถาม ประมาณคล้ายๆ แบบนี้นะ

ครู: เด็กชายสมชาย บอกซิ WWW คืออะไร
สมชาย: ไม่รู้ครับ
ครู: Hard disk คืออะไร
สมชาย: ไม่รู้ครับ

ถามอะไรๆ เด็กก็ตอบแต่ว่า ไม่รู้ครับๆ ครูก็เลยถามอีกว่า

ครู: แล้วคอมพิวเตอร์เอาไว้ทำอะไร หา..
สมชาย: (ทำเสียงอ่อยๆ) เอาไว้เฝ้าบ้านครับ

ทำเอาเพื่อนๆ หัวเราะเยาะกันครืน เราฟังโฆษณานี้ก็เข้าใจอ่ะนะว่าเขาพยายามจะสื่อว่า มาเรียนการใช้คอมพิวเตอร์กับฉันสิ จะได้รู้อะไรๆเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ แต่เราก็ยังไม่ค่อยชอบค่านิยมแอบแฝงที่แสดงการดูถูกหรือเยาะเย้ยคนที่ไม่รู้ เขาไม่รู้เรื่องไอทีวันนี้ ก็ใช่ว่าเขาจะไม่มีความาสามารถในการเรียนรู้เพิ่มเติม เขาอาจยังไม่มีโอกาสได้เรียนก็ได้ ถ้าเมื่อไรเขามีโอกาส อาจเรียนได้และรู้เยอะกว่าเราก็ได้ ... อืมม์ เราจะเอาสาระกับโฆษณามากไปหรือเปล่าเนี่ย...